วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 981 ไปเที่ยวด้วยกัน
ใกล้ ๆ กันนั้น อานอานได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์พอดี เด็กสาวจึงรีบวิ่งเข้ามาถามว่า “หม่ามี๊ ต้องออกไปทำงานข้างนอกเหรอคะ?”
จิ่งหนิงก้มหน้ามอง ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ใช่ค่ะ”
จิ่งหนิงเอื้อมมือออกไปลูบหัวอานอานเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อีกห้าวันหม่ามี๊กับแด๊ดดี้ต้องไปต่างประเทศสักพัก พอถึงตอนนั้นหนูต้องอยู่บ้านดูแลน้องชายดี ๆ นะ ถ้าน้องพูดไม่ฟัง หนูตีน้องได้เลย แต่ถ้ามีคนจากข้างนอกมารังแกน้องล่ะก็ หนูต้องปกป้องน้องนะคะ เข้าใจไหม?”
อานอานพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“หม่ามี๊ วางใจได้เลยค่ะ หนูจะดูแลน้องเป็นอย่างดี”
จิ่งหนิงพยักหน้าอย่างโล่งใจ ก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากมนเบา ๆ “เอาล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ”
ทั้งครอบครัวทานข้าวกันอย่างมีความสุขจนเสร็จ ตกเย็น หลังจากจิ่งหนิงกลับมาถึงห้อง หญิงสาวก็หาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจรอบ ๆ เมืองหลวง จากนั้นก็โทรไปที่บริษัท เพื่อมอบหมายงานให้เสี่ยวเหอช่วยดูแลในช่วงที่เธอไม่อยู่ ก่อนจะวางสายไป
ระหว่างที่จิ่งหนิงกำลังหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต อีกด้าน ลู่จิ่งเซินก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จพอดี ชายหนุ่มเห็นเธอนั่งหันหลังอยู่ เขาจึงค่อย ๆ เดินอ้อมมาดู
“ดูอะไรอยู่เหรอ?”
จิ่งหนิงหันกลับไป พร้อมกับยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ฉันกำลังหาที่เที่ยวรอบ ๆ อยู่น่ะ”
ลู่จิ่งเซินนิ่งไปชั่วครู่
ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อย ๆ โอบเอวบางของจิ่งหนิงจากทางด้านหลัง พร้อมกับเอาคางเกยไว้บนหัวไหล่เธอ
“ช่วงสองสามวันนี้ผมไม่ได้ไปกับคุณ คุณตัวคนเดียวต้องใส่ใจสุขภาพด้วยนะ ระวังเรื่องท้องของตัวเองด้วยล่ะ”
จิ่งหนิงพยักหน้ารับ “ฉันรู้”
เธอชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางชายหนุ่ม พร้อมกับยกมือรูปผมที่ยังชุ่มน้ำอยู่เบา ๆ
“งั้นช่วงสองสามวันนี้คุณก็ต้องจัดการเรื่องในบริษัทให้เรียบร้อยนะ อีกห้าวันต้องไปประเทศ T แล้ว คุณไม่อยู่เดี๋ยวจะไม่ดีเอา”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะในจุดนี้เขาเองก็รู้ดี
เรื่องในครั้งนี้ไว้ค่อยพูดดีกว่า เพราะยังมีเรื่องของลู่หลันจือ ที่จิ่งหนิงต้องไปกับเธอแค่สองต่อสองอีก เขากลัวว่าลู่หลันจืออาจจะก่อเรื่องวุ่น ๆ ขึ้นมาได้
ยิ่งตอนนี้จิ่งหนิงเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ แค่วิ่งไปวิ่งมารอบ ๆ เมืองหลวงก็เกินพอแล้ว ไหนจะต้องไปต่างประเทศ รวมถึงที่ไกล ๆ คนเดียวอีก เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่วางใจ
เพราะงั้น ทั้งคู่ก็เลยรู้ใจกันในทันทีว่า พอถึงตอนนั้นทั้งสองจะต้องไปด้วยกัน
ลู่จิ่งเซินโน้มตัวเข้ามาหอมแก้มเธอเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปเป่าผม
พอจิ่งหนิงหาข้อมูลเสร็จ เธอก็ส่งข้อความไปหาโม่ไฉ่เวยอีกครั้ง เพื่อให้หล่อนเลือกสถานที่ที่จะไปในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเรียบร้อย หญิงสาวถึงจะไปอาบน้ำและเข้านอน
วันรุ่งขึ้น
จิ่งหนิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะมาถึงด้านนอกคฤหาสน์ของเจ้านายหยู ในเวลาต่อมา
ส่วนคนขับรถในวันนี้คือโม่หนาน ซึ่งโม่หนานก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่ไฉ่เวยแล้ว แถมยังยินดีกับเธออีกด้วย
ทั้งสองคนรออยู่ไม่นาน สักพักโม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่ก็เดินออกมา
วันนี้ชุดที่พวกเขาสวมใส่ต่างเป็นชุดที่ค่อนข้างสบาย ๆ โม่ไฉ่เวยสวมชุดลำลองสีเทาอ่อน พร้อมกับสวมหมวกไว้บนหัว ส่วน เชวซู่ก็สวมชุดสีเดียวกันกับเธอ ทั้งคู่ต่างดูแลกันเป็นอย่างดี มองไกล ๆ ไม่เหมือนคู่รักวัยกลางคนเลยสักนิด กลับเหมือนคู่รักวัยหนุ่มสาวมากกว่า
จิ่งหนิงนั่งอยู่บนรถ พลางมองภาพคนทั้งคู่ที่กำลังเดินมาแต่ไกล จากนั้นมุมปากของหญิงสาวก็ยกขึ้นเบา ๆ
ในใจอดคิดไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้วเป็นแบบนี้ก็ดี
การที่คุณแม่สามารถเดินออกมาจากช่วงเวลาที่มืดมนนั้น แล้วยังได้เจอรักแท้อีกครั้ง นี่ไม่ถือว่าเป็นตอนจบที่ดีที่สุดหรอกเหรอ?
ขอแค่คุณแม่ของเธอยอมเปิดใจ ไม่ต้องอ่อนไหวและไม่ต้องร้อนรนเหมือนที่ผ่านมา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ขณะที่ในใจกำลังคิด หญิงสาวก็เปิดประตูรถพร้อมกับก้าวลงไป กวักมือเรียกคนทั้งคู่
โม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พอทั้งสองเข้ามาใกล้ หญิงสาวจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือ เชวซู่เหมือนกับกำลังถือของชิ้นหนึ่งที่อยู่
สิ่งนั้นคือกล่องสีขาวกล่องหนึ่ง เชวซู่ยื่นกล่องใบนั้นมาตรงหน้าเธอ สีหน้าดูไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อย
“ของนี่ ให้เธอ”
จิ่งหนิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมาสบตาโม่ไฉ่เวยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรับของมา จากนั้นจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่คืออะไรเหรอคะ?”
โม่ไฉ่เวยตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ลูกบอกว่ากำลังตั้งท้องเหรอ? นี่เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่ คุณอาเชวของลูกหาเจอตอนอยู่ที่ทะเลทราย เป็นยาบำรุงที่ดีมาก ๆ สำหรับสตรีมีครรภ์ ลูกเอากลับไปเคี่ยวแล้วก็ดื่มนะ จำไว้ล่ะว่าอย่าดื่มมากเกิน บำรุงมากไปเดี๋ยวมันจะไม่ดี”
จิ่งหนิงที่เพิ่งจะรู้ตัว ในใจอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้
หญิงสาวรับกล่องมาพร้อมกับส่งให้โม่หนานเอาไปเก็บ จากนั้นจึงตอบรับพร้อมรอยยิ้มว่า “ขอบคุณ คุณอาเชวมากเลยนะคะ”
ด้านเชวซู่เอง อาจเป็นเพราะเขายังไม่ค่อยชินกับคำว่า คุณอาเชวสีหน้าของ เชวซู่เลยยิ่งประหม่ามากกว่าเดิม
เขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างลุกลี้ลุกลน โดยไม่แม้แต่จะหันมามองจิ่งหนิง ก่อนจะดึงประตูรถเปิดออกแล้วก้าวขึ้นไปอย่างรีบร้อน
หลังจากขึ้นรถแล้ว จิ่งหนิงก็ให้โม่หนานขับรถตรงไปยังจุดชมวิวแรกทันที
เนื่องจากก่อนหน้านี้โม่ไฉ่เวยได้บอกเธอเป็นพิเศษว่า หล่อนอยากไปแถวชานเมือง ดังนั้นสถานที่ที่จิ่งหนิงเลือกในครั้งนี้จึงเป็นแถบชานเมืองทั้งหมด ที่นั่นทั้งอากาศดี ทิวทัศน์ก็สวยงาม สำหรับเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างเมืองหลวง ที่แบบนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมาก
และเพราะว่าไม่สามารถขับรถยนต์เข้าไปยังจุดชมวิวได้ ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องจอดอยู่ที่ไกล ๆ
จิ่งหนิงพาโม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่เดินเข้าไปทางด้านในก่อน จากนั้นก็ให้โม่หนานเอารถไปจอดให้เรียบร้อย แล้วจึงตามพวกเธอเข้าไป
โม่หนานเองก็คุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ อีกทั้งเธอยังมีฝีเท้าที่ว่องไว เนื่องจากเป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วย เลยไม่ต้องกลัวว่าจะตามไม่ทัน
ด้านจิ่งหนิงจริง ๆ แล้วเมื่อก่อนก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับเมืองหลวงสักเท่าไร แต่หลังจากที่เธอแต่งงานกับลู่จิ่งเซิน แล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเธอก็เริ่มคุ้นกับที่ต่าง ๆ มากขึ้น
บวกกับเมื่อคืนที่เธอยังทำการบ้านมาเพิ่มอีก ดังนั้น เรื่องทิวทัศน์หรือต้นกำเนิดทางประวัติศาสตร์ในละแวกนี้ บอกเลยว่าเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเธอ
โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ ทั้งฟังทั้งพยักหน้ารับรัว ๆ
ผ่านไปไม่นาน โม่หนานก็ตามมาทัน
ในมือเธอถือขวดน้ำมาด้วยสองขวด ก่อนจะส่งให้โม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่คนละขวด แล้วจึงส่งแก้วเก็บอุณหภูมิอีกแก้วให้จิ่งหนิง
จิ่งหนิงชะงักไปชั่วครู่ “นี่อะไรเหรอ?”
โม่หนานตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่เป็นของที่คุณผู้ชายให้ฉันมาเมื่อเช้าค่ะ เห็นบอกว่าเป็นรังนก เอาไว้ดับกระหายระหว่างทาง”
จิ่งหนิงอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะเหลือบมองโม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่เล็กน้อย แล้วบ่นอุบอิบว่า “ดับกระหายอะไร? รังนกนี่ทั้งลื่น ๆ เหนียว ๆ จะดับกระหายได้ยังไง รีบเอาน้ำออกมาให้ฉันเลยนะ”
โม่หนานจึงยื่นน้ำอีกขวดให้จิ่งหนิงพร้อมรอยยิ้ม
โม่ไฉ่เวยเห็นดังนั้น จึงยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “หนิงหนิง ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้อยู่ ดื่มน้ำเย็นบ่อย ๆ ไม่ดีนะ ไหน ๆ ลู่จิ่งเซินก็เอารังนกมาให้ดื่มแล้ว ลูกก็ดื่มเถอะ ยังไงสุขภาพก็สำคัญที่สุด”
ใบหน้าของจิ่งหนิงยิ่งแดงขึ้นไปอีก ในใจก็ได้แต่คิดว่าลู่จิ่งเซินกลายเป็นคนอ้อมค้อมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร พร้อมกับตอบโม่ไฉ่เวยไปว่า “แม่คะ ไม่เป็นไร หนูไม่ดื่มแล้ว”
ขณะที่พูด ทุกคนก็เริ่มออกเดินทางต่อ
และเนื่องจากต้องคำนึงถึงสภาพร่างกายของจิ่งหนิงด้วย ดังนั้น พอเดินมาได้สักระยะ ทุกคนจึงพากันหยุดพักก่อน เพราะยังไงก็ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะต้องรีบเดินดูรอบ ๆ ให้หมดอยู่แล้ว
เชวซู่นั้นมีอาชีพเป็นหมอ แถมยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ดีมากอีกด้วย เพราะงั้นลู่จิ่งเซินถึงได้วางใจ ให้จิ่งหนิงพาพวกเขาออกมาเที่ยว
ไม่อย่างนั้น การออกมาใช้กำลังปีนเขาตากแดดตากลมแบบนี้ เขาคงไม่มีทางยอมให้จิ่งหนิงออกมาทำแน่ ๆ
ทั้งหมดเดินเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน จนฟ้ามืด ถึงจะพากันกลับเข้าเมือง
ทุกคนต่างเหนื่อยล้าเพราะพากันวิ่งวนอยู่ข้างนอกมาหนึ่งวันเต็ม
ตกเย็น พอลู่จิ่งเซินเลิกงาน จิ่งหนิงเลยจัดการจองร้านหม้อไฟ แล้วก็พาทุกคนไปทานหม้อไฟด้วยกัน
คาดไม่ถึงว่าพอทานไปได้เพียงครึ่งเดียว จิ่งหนิงจะได้รับสายโทรศัพท์จากท่านย่าเชิ๋น