วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 987 เรื่องนี้น่าสงสัย
อีกฝ่ายพยายามกดดันให้พวกเขากลัวด้วยบรรยากาศแบบนี้ แต่พวกเขาคงจะไม่รู้ว่าจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินเวลาที่ต้องวุ่นวายอยู่บนทางนี้ พวกเขาคงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น ตอนนี้พวกเขาก็ยังอยู่ในถิ่นของคนอื่นอยู่
เพราะงั้น ลู่จิ่งเซินจึงเอ่ยปากถามลู่หลันจือด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือกว่า “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น?”
ลู่หลันจือในตอนนี้กลัวมาก หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดออกไป
ที่แท้คืนนี้ลู่หลันจือก็เที่ยวเล่นอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งที่ชื่อเนเวอร์สลีฟ เหมือนเดิม
แต่พอเที่ยวไปได้สักพัก เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ต่างจากที่จีนสักเท่าไร แถมยังน่าเบื่อ ขณะนั้นหญิงสาวก็บังเอิญได้ยินผู้หญิงที่มาเที่ยวบาร์แล้วก็นั่งคุยกับเธออยู่พูดว่าที่นี่มีบาร์ใต้ดินที่สนุกมาก ๆ อยู่ เพราะงั้นลู่หลันจือถึงได้ตามพวกเธอมาที่นี่
พอมาถึงที่แห่งนี้ ลู่หลันจือก็พบว่ามีสิ่งแปลกใหม่หลายอย่างที่เธอไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน
หญิงสาวเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานทั้งคืน
สุดท้าย ไม่รู้ว่ากลุ่มผู้หญิงที่มาด้วยกันหายไปตั้งแต่เมื่อไร และในตอนนั้นเอง ที่มีผู้ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามาหาเธอ ดูท่าทางแล้วไม่ให้เกียรติเธอเลยสักนิด
ลู่หลันจือที่มักจะวุ่นวายอยู่ข้างนอกเสนอ ถึงแม้ตัวเธอจะอยู่ในฐานะคุณหนูคนโตของตระกูลลู่ แต่ในความเป็นจริง หญิงสาวก็ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายขนาดนั้น
แม้ว่าเธอจะทำหลาย ๆ อย่างไม่เป็น แต่เมื่อก่อนเธอมักจะถูกท่านย่าเชิ๋นบังคับให้ฝึกยูโดเป็นประจำ เรียกได้ว่าการป้องกันตัวเองของเธอนั้นแทบจะไม่มีปัญหา
ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ลู่จิ่งเซินยอมให้เธอออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก
ดังนั้น พอลู่หลันจือรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หญิงสาวก็รีบผลักชายคนนั้นออกไปทันที คาดไม่ถึงว่าพออีกฝ่ายถอยไปได้เพียงก้าวเดียว เขาก็จ้องมาที่เธอ ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เธออย่างหน้าไม่อาย
ลู่หลันจือได้กลิ่นเหม็นคลุ้งโชยออกมาจากตัวของอีกฝ่าย เธอรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที หญิงสาวทั้งผลักทั้งเตะอีกฝ่ายเพื่อให้เขาออกห่าง
แต่ว่าในระหว่างที่เธอกำลังผลักและเตะอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ ร่างของเขาก็โอนเอนไปมา จากนั้นก็ทรุดลงไปกับพื้น ก่อนที่หัวจะไปกระแทกกับโต๊ะกระจกข้าง ๆ แล้วก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ตอนนั้นลู่หลันจือชะงักไปด้วยความตกใจสุดขีด
ถึงแม้เธอจะชอบทำตัวเหลวไหลอยู่ตลอด แถมยังไม่ค่อยทำเรื่องดี ๆ อีก แต่หญิงสาวก็ไม่เคยฆ่าใครมาก่อนในชีวิต
เพราะงั้น ตอนที่เธอเอานิ้วเข้าไปเช็คแล้วพบว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจแล้ว ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือต้องหนี
แต่เพราะการเคลื่อนไหวของเธอตรงนี้ ถูกคนสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้ว
ตัวเธอยังไม่ทันจะหนีออกจากโซฟา เพียงพริบตาเดียวก็ถูกคนล้อมเอาไว้จนหมด
ลู่หลันจือถึงแม้จะมีการ์ดมาด้วย แต่ก็เอามาแค่สองสามคน ส่วนอีกฝ่ายมีกันตั้งหลายคน ประกอบกับสถานการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้น ดูยังไงเธอก็เสียเปรียบ ถ้าทำคนตายขึ้นมาจริง ๆ แล้วจะให้เธอหนีออกไปแบบไม่รู้สึกรู้สาก็คงไม่ได้ เพราะงั้นการ์ดเองก็จนปัญญา
สุดท้ายแล้วลู่หลันจือก็เลยต้องโทรหาลู่จิ่งเซิน เพื่อให้เขามาช่วยจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น
พอลู่จิ่งเซินได้ฟังสิ่งที่เธอเล่าจนจบ สีหน้าเขาก็มืดครึ้มลงทันที
จิ่งหนิงต้องกระตุกชายเสื้อชายหนุ่มเบา ๆ แอบเตือนเขาว่าตอนนี้พวกเรายังอยู่ข้างนอก อย่าเพิ่งตำหนิลู่หลันจือเลย
จากนั้น เธอก็มองไปทางชายอีกคนที่อยู่เบื้องหน้า
“คุณวางใจเถอะ ถ้าคุณป้าของเราเป็นคนฆ่าเขาจริง ๆ พวกเราจะรับผิดชอบจนถึงที่สุด แต่ว่าก่อนจะถึงตรงนั้น ขอฉันดูคนที่เสียชีวิตคนนั้นก่อนได้ไหม?”
อีกฝ่ายเห็นว่าพวกเขาไม่ได้โกรธเคือง และไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ แถมยังดูเป็นมิตรดี เขาจึงพยักหน้ารับเบา ๆ
จิ่งหนิงก้าวออกไปข้างหน้า พร้อมกับคุกเข่าลง จากนั้นก็ตรวจสอบผู้ตายที่นอนอยู่อย่างละเอียด
เธอสังเกตเห็นรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้าของเขาด้วย อาจเป็นเพราะรอยสัก ก่อนหน้านี้ลู่หลันจือเลยไม่ทันสังเกต
อีกอย่างบนหน้าผากของเขายังมีรอยแผลขนาดใหญ่อยู่อีก เลือดสด ๆ ไหลออกมาจากปากแผลไม่หยุด
ชายฉกรรจ์ที่อยู่หน้าสุดเอ่ยขึ้นว่า “เห็นรึยัง พวกเราไม่ได้หลอกพวกคุณหรอก ก็ญาติของคุณนั่นล่ะที่ผลักเขา จนหัวฟาดกับโต๊ะตาย แล้วยังคิดจะหนีอีก!”
หลู่หลันจือจึงรีบโต้กลับอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้คิดจะหนีนะ! พวกแกอย่ามาพูดมั่ว อีกอย่างก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเขา…….”
“คุณป้า!” จิ่งหนิงตัดบทเธอทันที เพื่อให้เธอหยุดพูดสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่
เพราะถึงยังไงคนอื่นก็เป็นเจ้าถิ่น แม้ว่าเธอกับลู่จิ่งเซินจะไม่ได้กลัวพวกเขา แต่บางทีถ้าเลี่ยงการทะเลาะวิวาทได้ ทางที่ดีก็ควรพยายามเลี่ยงให้ถึงที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตพวกเขายังต้องมาที่นี่เพื่อทำธุรกิจอยู่ พวกนักเลงเจ้าถิ่นพวกนี้ หากพยายามไม่ให้พวกเขาอารมณ์เสียได้ ก็จะลดปัญหาไปได้เยอะ
พอคิดได้ดังนี้ เธอก็กลับไปตรวจสอบศีรษะของชายคนนั้นอย่างละเอียดอีกรอบ
ในตอนที่หญิงสาวกำลังจะสัมผัสท้ายทอยของอีกฝ่าย เธอก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
จิ่งหนิงขมวดคิ้วแน่น เธอกะว่าจะตรวจดูให้ละเอียดอีกสักรอบ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งวิ่งเข้ามา
“อ้าว ท่านประธานลู่ คุณลู่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ”
ทุกคนหันหน้าไปตามเสียง ก่อนจะเห็นว่านั่นคือเจ้านายหยู
เจ้านายหยูพอได้ยินว่าพวกเขาเกิดเรื่องขึ้น ก็รีบออกจากบ้านตรงมาที่นี่ทันที เสื้อผ้าบนตัวเขายังยับเยินอยู่เล็กน้อย
จิ่งหนิงยืดตัวขึ้น ก่อนะเหลือบมองไปทางเขา นัยน์ตาลึกล้ำ
“เจ้านายหยูมาได้ยังไงคะ?”
เจ้านายหยูยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ผมได้ยินว่าพวกคุณเกิดเรื่องขึ้นไงครับ? ก็เลยรีบออกมาดู”
จิ่งหนิงหรี่ตามองอย่างละเอียด
“พวกเราเพิ่งมาถึงเอง ทำไมคุณมาถึงเร็วจัง ดูไม่ออกเลยนะคะ ว่าสายข่าวของ เจ้านายหยูจะไวขนาดนี้”
เจ้านายหยูมีสีหน้าแข็งทื่อขึ้นมาทันที
ความจริงก็คือ แม้ว่าเขาจะกลับไปแล้ว แต่ก็ยังตั้งใจส่งคนมาคอยดูความเคลื่อนไหวของพวกลู่จิ่งเซินอยู่
แต่เขาสาบานกับสวรรค์ได้เลยว่า เขาไม่ได้มีความคิดอะไรที่ไม่ดีเลย ที่เขาทำไปก็เพราะต้องการจะประจบเอาใจลู่จิ่งเซิน เพื่อให้ง่ายต่อการให้การบริการทุกคน และเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นและรู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญก็เท่านั้น
เจ้านายหยูยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน แต่เหตุผลแบบนี้พูดออกไปตรง ๆ ก็คงไม่ดี เขาเลยได้แต่ฝืนยิ้มพร้อมกับตอบว่า “งั้นนี่ก็เลยเรียกว่ามีโชคร่วมกันไม่ใช่เหรอครับ บ้านของผมอยู่แถวนี้ ผมออกมาซื้อบุหรี่ ได้ยินคนในบ้านบอกว่าที่นี่มีคนตาย ก็เลยอยากมาดูเสียหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าพอมาแล้วจะได้เจอพวกคุณ”
ขณะพูดก็ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากวนเวียนอยู่กับหัวข้อนี้ต่อไป ชายหนุ่มจึงก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะก้มลงดูชายที่เสียชีวิตอยู่บนพื้นแทน
“โอ้โห ทำไมเลือดไหลออกมาเยอะขนาดนี้?”
จิ่งหนิงรับผ้าเช็ดหน้าที่ลู่จิ่งเซินยื่นให้มาเช็ดนิ้ว ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “บนหน้าผากมีรูใหญ่ขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องมีเลือดไหลอยู่แล้วล่ะค่ะ”
เจ้านายหยูเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย เห็นสีหน้าเธอไม่เปลี่ยนดูไร้ซึ่งความตระหนกโดยสิ้นเชิง เขาจึงยกมือขึ้นคารวะเธอทันที
“คุณนายลู่กล้าหาญมากจริง ๆ ผมขอคารวะครับ”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหันไปถามลู่หลันจือว่า “คุณป้าคะ คุณเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อนรึเปล่า?”
หญิงสาวรู้สึกว่า มันแปลกไปหน่อยที่อยู่ ๆ คนคนนี้จะเข้ามาหาลู่หลันจือ
ลู่หลันจือมองไปที่อีกฝ่าย คิดไปคิดมา ก่อนจะขมวดคิ้วเบา ๆ
“ฉันรู้สึกคุ้น ๆ นะ แต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน?”
จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง เจ้านายหยูก็ทนไม่ไหว เขาก้าวเข้าไปพลิกหน้าชายผู้ตายขึ้น ก่อนจะหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
“โอ้ ทำไมถึงเป็นเขาล่ะ?”
จิ่งหนิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองหน้าเจ้านายหยู
“ทำไม? เจ้านายหยูรู้จักเขาเหรอคะ?”
“จะไม่รู้จักได้ยังไง? นี่ไม่ใช่คนที่สู้กันอยู่ตรงหัวถนนเมื่อคืนวานหรอกเหรอ? คนที่สูงร้อยห้าสิบกว่าแล้วก็จัดการพวกที่สูงร้อยแปดสิบกว่าจนต้องเข้าโรงพยาบาลไง!