วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 988 ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต
จิ่งหนิงนึกออกขึ้นมาทันที
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทันใดนั้นหญิงสาวก็ย่อตัวลง สัมผัสกับท้ายทอยของผู้ตายอีกครั้ง ในใจมีแผนการบางอย่างปรากฏขึ้น
ลู่จิ่งเซินกระซิบถามเสียงเบาว่า “มีอะไรเหรอ?”
จิ่งหนิงส่ายหน้าไปมาเบา ๆ “แจ้งตำรวจ แล้วให้ทางโรงพยาบาลตรวจสอบเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณป้า ต่อให้แจ้งตำรวจไปก็ไม่เป็นไร”
ลู่หลันจือได้ยินดังนั้น ก็ใจหายขึ้นมาทันที
“หนิงหนิง แจ้งตำรวจไม่ได้นะ ฆ่าคนน่ะมันผิดกฎหมาย ถ้าแจ้งตำรวจไปชีวิตของคุณป้าเธอต้องจบแล้วแน่ ๆ”
ถึงแม้ลู่จิ่งเซินจะมีอำนาจล้นฟ้า แต่ถ้าเธอฆ่าคนจริง ๆ เธอก็ไม่อยากให้ลู่จิ่งเซินหรือท่านปู่ท่านย่าทั้งสองคนต้องมาขึ้นศาล แล้วก็รับกรรมแทนเธอ
จิ่งหนิงเอื้อมมือออกไปตบหลังมือเธอเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง คนคนนี้คุณไม่ได้ฆ่า”
“หา?”
ลู่หลันจือตกใจมาก แต่ลู่จิ่งเซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหมือนจะเข้าใจความหมายที่จิ่งหนิงพูด
ชายหนุ่มมองไปทางชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่อีกฟาก “ถ้าแจ้งตำรวจพวกคุณคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
อีกฝ่ายมองหน้ากันไปมา สองคนในนั้นสบตากัน ก่อนจะเห็นแววตาที่ชั่วร้ายของอีกคน
พวกเขาจึงตอบกลับอย่างโกรธ ๆ ว่า “ไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นตรงไหนก็จัดการตรงนั้น จะแจ้งตำรวจทำไม? วันนี้ถ้าพวกคุณไม่จ่ายเงิน พวกคุณก็ต้องทิ้งผู้หญิงคนนั้นไว้ ชีวิตแลกด้วยชีวิต ไม่งั้นใครหน้าไหนก็อย่าคิดว่าจะหนีออกไปได้!”
หลังจากที่เขาพูดจบ นัยน์ตาของลู่จิ่งเซินก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
เจ้านายหยูก็กลัวว่าทั้งสองจะสู้กันขึ้นมาจริง ๆ จึงรีบก้าวเข้าไปแทรกกลางวงทันที
“เฮ้ ทุกท่าน ฟังผมพูดสักประโยคก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความผิดของคุณลู่แน่นอน พวกคุณคงยังไม่รู้ใช่ไหม? เมื่อคืนวานเพื่อนของพวกคุณคนนี้เขาไปสู้กับคนอื่นอยู่ที่หัวถนนนู่น สู้ได้โหดมากทีเดียว เมื่อครู่นี้ผมก็เพิ่งสังเกตเห็น ตรงท้ายทอยของเขามีรอยบวมใหญ่เชียว ผมสงสัยว่าอาจจะมีเลือดคลั่งแล้วก็เข้าไปอุดตันในหลอดเลือดรึเปล่า เมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลย พอวันนี้เกิดเรื่องก็เสียชีวิตทันที เรื่องนี้ไม่มีทางเกี่ยวกับคุณลู่แน่ ๆ อีกอย่างคุณลู่ก็เป็นเพียงหญิงสาวบอบบางคนหนึ่ง แค่ผลักครั้งเดียวจะแรงสักแค่ไหนกัน เพื่อนของพวกคุณเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญหมัดมวยของประเทศ T เลยนะ คงไม่โดนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งผลักล้มหรอกใช่ไหม?”
พอพูดจบ สีหน้าอีกฝ่ายยิ่งไม่น่าดูมากกว่าเดิม
“ทำไม? แบบนี้คือหมายความว่าไม่อยากจ่ายเงินใช่ไหม?”
แม้เจ้านายหยูจะขึ้นเหนือล่องใต้อยู่บ่อย ๆ มีความใจกล้าอยู่ไม่น้อย แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นแค่นักธุรกิจอ่อนแอคนหนึ่ง
พออีกฝ่ายเพิ่มความรุนแรงขึ้น เขาก็เริ่มปอดแหก ถอยหลังกลับไปทันที
ขาก็ถอยไปพลาง สีหน้าก็ยิ้มไปพลาง “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่ว่า…..”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว! ยังไงถ้าไม่จ่ายด้วยเงิน ก็ต้องจ่ายด้วยชีวิต งั้นพวกคุณเลือกเลย!”
ในที่สุดตอนนี้ลู่จิ่งเซินก็เข้าใจ
จริง ๆ แล้วอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการหาเหตุผลหรือทวงความยุติธรรมให้เพื่อนเลยสักนิด พวกเขาเพียงแค่อยากได้เงินสักก้อนก็เท่านั้น
ในเมื่อต้องการเงิน งั้นเขาไม่รีบร้อนก็แล้วกัน
ลู่จิ่งเซินประคองจิ่งหนิง เข้าไปนั่งบนโซฟาที่ลู่หลันจือเคยนั่ง จากนั้นชายหนุ่มก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความสงบนิ่ง
“จะเอาเงินก็ได้ เรียกเถ้าแก่ของพวกคุณออกมา ผมจะคุยกับเถ้าแก่ของพวกคุณเอง”
อีกฝ่ายชะงักไปชั่วขณะ
คาดไม่ถึงเลยว่า เรื่องเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ลู่จิ่งเซินจะยังคุยอะไรได้อีก
พวกเขาสบตากัน มีสีหน้าประหลาดใจและสับสนเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงอันนุ่มนวลลอยเข้ามา
“ใครอยากเจอผมเหรอ?”
ฝูงคนที่มุงอยู่ค่อย ๆ แหวกทางออก ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอก
กลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำก่อนหน้านี้ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้าวเข้าไปแล้วเรียก “เจ้านาย”
ชายหนุ่มโบกมือไปมา ก่อนจะเหลือบมองไปทางชายหญิงที่นั่งอยู่บนโซฟา จากนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
“ลู่ ทำไมถึงเป็นนายล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินเผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมาเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า หายหน้าไปตั้งหลายปี ไม่คิดเลยนะว่าจะได้เจอนายที่นี่ ฉันล่ะดีใจจริง ๆ”
ขณะพูด อีกฝ่ายก็เดินเข้าไปสวมกอดลู่จิ่งเซินด้วย
คนทั้งหมดพากันตกตะลึง ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่จิ่งเซินผลักชายหนุ่มออกด้วยความรังเกียจเล็กน้อย ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ฉันก็ไม่คิดว่าจะได้เจอนายที่นี่เหมือนกัน จะว่าไปไม่ใช่ว่านายหนีไปทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์หรอกเหรอ ทำไมถึงได้มาเปิดบาร์อยู่ที่นี่แทน?”
ลู่จิ่งเซินดูมีความคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มพร้อมกับตอบว่า “เฮ้อ พูดยากนะ”
ขณะที่พูด เขาก็หันกลับไปมองลูกน้องของตัวเอง แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
แม้ว่าในหัวของลูกน้องเขาตอนนี้จะสับสนไปหมด แต่พวกเขาก็ยังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายหนุ่มฟังจนจบ
เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเหลือบมองไปทางลู่จิ่งเซิน แล้วก็เบนสายตาไปทางลู่หลันจือ สุดท้ายจึงก้มลงไปมองร่างของผู้ตาย
“ให้นิติเวชมาตรวจดูก่อน ดูสิว่าจริง ๆ แล้วเขาเสียชีวิตได้ยังไง”
สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดี ราวกับคิดอะไรบางอย่างออก
พวกลูกน้องพากันตกใจ จึงรีบปรามเขาไว้ทันที “เถ้าแก่ นี่…….”
“ยังไม่รีบไปอีก!”
ชายหนุ่มตะคอก อีกฝ่ายจึงรีบทำตามคำสั่งทันที “ครับ”
พูดจบ ก็สั่งให้คนยกร่างของชายคนนั้นออกไป
พอคนอื่น ๆ เห็นแบบนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องของวันนี้ไม่มีอะไรน่าดูแล้ว พวกเขาจึงพูดคุยและแยกย้ายกันออกไปสนุกสนานต่อ
บาร์ที่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเมื่อครู่ รอยเลือดสดใหม่ก็ยังคงอยู่ ตอนนี้กลับมีเสียงเต้นและเสียงเพลงกลับคืนขึ้นมาดังเดิม ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มก้าวเข้ามา พร้อมกับส่งยิ้มให้ลู่จิ่งเซิน “ตรงนี้สกปรกแล้ว เราเปลี่ยนที่ใหม่กันไหม?”
ขณะพูด ชายหนุ่มก็พาทุกคนเดินขึ้นไปชั้นสองบนห้องรับรองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงบ
คาดไม่ถึงเลยว่า ในสถานที่สกปรกที่เต็มไปด้วยมลพิษอย่างบาร์ใต้ดิน พอขึ้นมาชั้นบนจะมีห้องรับรองแบบ VIPขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ภายในห้องมีประตูกับกำแพง ส่วนอีกด้านเป็นสวนลอยฟ้าที่ทำจากกระจกทั้งหมด ให้ความรู้สึกราวกับเป็นสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มพาทุกคนเดินเข้าไป พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าเพิ่งหัวเราะกันนะ นี่เป็นที่ที่ผมสร้างเอาไว้สำหรับให้ตัวเองพักผ่อนน่ะ ข้างล่างนั่นหนวกหูเกินไป อย่าว่าแต่พวกคุณเลย ผมเองก็ไม่ชอบ ”
หลังจากปิดประตู เสียงทั้งหมดจากด้านนอกก็หายไปทันที ไม่มีเล็ดลอดให้ได้ยินเลยสักนิด
เขายิ้มพร้อมกับแนะนำว่า “เพื่อสร้างที่นี่ ผมต้องเพิ่มผนังกันเสียงกว่าสิบชั้นเลยนะ ตอนนี้รู้สึกเงียบขึ้นรึยัง?”
ทุกคนพากันพยักหน้า
ลู่จิ่งเซินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันมาทางชายหนุ่ม
“บอกมาสิ! ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่? ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนายตามพวกอาจารย์ไปเพื่อทำกลุ่มวิจัยนี่ ทำไมถึงหนีมาอยู่ในที่แบบนี้ได้?”
อีกฝ่ายตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกนายนั่งกันก่อน เดี๋ยวฉันชงชาให้”
ขณะที่พูด เขาก็พาลู่จิ่งเซินและคนอื่น ๆ เข้าไปนั่งบนโซฟาในสวน ก่อนจะชงชาให้ทุกคนด้วยตัวเอง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังชงชาอยู่ ลู่หลันจือก็แอบกระซิบถามด้วยความสงสัยว่า “จิ่งเซิน เขาเป็นใครน่ะ? คุณรู้จักเขามาก่อนเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินตอบกลับเสียงเรียบ “เขาชื่อ โจวจื่อหมิงเรียนโรงเรียนเดียวกับผม พวกเราเป็นเพื่อนกัน ผมบัญชีส่วนเขาเรียนวิทยาศาสตร์วิจัย ซึ่งเกี่ยวกับการวิจัยการเกิดของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะ แต่เราก็ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว”
สีหน้าของลู่หลันจือเปลี่ยนไปทันที “วิทยาศาสตร์วิจัย? งั้นก็เป็นอัจฉริยะน่ะสิ ทำไม…..”
ขนาดลู่หลันจือยังรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะ ส่วนลู่จิ่งเซินยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
พอคิดมาถึงจุดนี้ นัยน์ตาของลู่จิ่งเซินก็ค่อย ๆ ลึกล้ำขึ้นมาทันที