ศพ - ตอนที่ 262 หักม้านั่งด้วยมือเปล่า
ตอนที่ 262 หักม้านั่งด้วยมือเปล่า
เหตุการณ์ในเวลานี้ค่อนข้างวุ่นวาย และผู้คนในเหตุการณ์ตอนนี้ต่างก็เดากันไปต่างๆนาๆถึงตัวตนของพวกเรา ถึงขนาดที่เจ้าชายแห่งหลงฟากรุ๊ปไม่กล้าสู้ด้วย ประวัติและเบื้องหลังความเป็นมาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ในเวลานี้เหล่าเฟิงก็ปรากฏตัวออกมา
หลังจากเขาพูดจบก็บิดคอไปมาจนเสียงดัง “ กร็อบ กร็อบ ”
ภายนอกของเหล่าเฟิงนั้นเย็นยะเยือก ตลอดทั้งปีเขาสู้กับภูตผีปีศาจ ทําให้เขานํามาซึ่ง “ รัศมีแห่งความตายและน่ากลัว” โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างที่มีพลังสยบทุกสิ่งทุกอย่าง ทําให้ผู้คนรู้สึกเย็นชาและหวาดกลัว
จ้องมองไปที่ไอ้คุณหนูลูกคนรวยด้วยสายตาถมึงทึง ทําให้เขาหวาดกลัวในใจก็สั่นไหว
ไม่เพียงแค่นั้น เฟิงเฉ่วหานยังจับเก้าอี้ด้วยมือเดียวและใช้พลังอย่างลับๆ
เพียงแค่ได้ยินเสียง “ แควก ” พนักพิงของเก้าอี้ไม้ ตัวนั้นก็ถูกเขาดึงออกไป
ไอ้คุณหนูลูกคนรวยที่ทุกๆวันใช้ชีวิตอยู่บนความฟุ่มเฟือยและหรูหรา ร่างกายไม่ได้ใช้งานอะไร
ในวันธรรมดาที่ยกกระสอบข้าวยังบ่นว่าเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมือเปล่าที่สามารถฉีกม้านั่งได้
ฉากนี้เกือบทําให้พวกเขาร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
มือของเจ้าชายแห่งหลงฟายังเจ็บจนจะทนไม่ไหวแล้ว เมื่อเห็นความรุนแรงของเหล่าเฟิงที่นั่งเก้าอี้ด้วยมือเปล่าข้างเดียว
ลูกสมุนที่ติดตามเขาไม่กี่คนนี้จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้เหรอ ? ถ้าหากส่งออกไป เกรงว่าจะถูกตีจนพิการแน่ๆ
เขากัดฟันและพูดอย่างดุเดือด “ เรื่องนี้มันยังไม่จบ พวกเราจะจับตาดูพวกแก !ไปส่งฉันไปโรงพยาบาล ! ”
ผู้ติดตามสองสามคนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพยักหน้า ประคองเจ้าชายแห่งหลงฟาออกไปจากโรงแรม
หลังจากเจ้าชายแห่งหลงฟาออกไป โรงแรมก็กลับสู่ความสงบและเพลิดเพลินไปกับการกินดื่ม
เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกครึกครื้น แต่ก็เป็นแค่บทแทรกเล็กๆและไม่ได้ทําให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ
ในเวลานี้เสี่ยวม่านก็พูดอย่างตื่นเต้น “ ติงฝาน เฟิงเฉ่วหานทําไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ ?”
ผมยิ้มและตอบว่า “ ไม่ใช่แค่ฉันนะ หยางเฉ่วก็มาที่นี่ด้วย พวกเรามาทานข้าวกันหลังจากนั้นก็มีธุระนิดหน่อย สุดท้ายก็เลยมาเจอเข้ากับเธอพอดิบพอดีเลย ! ”
เสี่ยวม่านได้ยินผมพูดว่ามากันทั้งสามคน เธอก็ดีใจแล้ว ถามว่าหยางเฉ่วอยู่ไหน ?
เหล่าเฟิงพูดว่าเธอลงไปส่งอู่ฮุ่ยฮุ่ยข้างล่าง ถึงยังไงก็ตาม อู่ฮุ่ยฮุ่ยนั้นเป็นบุคคลสาธารณะคงไม่เหมาะกับการปรากฏตัวในเหตุการณ์แบบนี้
ท้ายที่สุดเธอก็มองหาหยางเฉวอย่างกระตือรือร้น ถ้าหากว่าเรื่องนี้เกิดการต่อยตีกันขึ้นมา ผลกระทบมันคงเลวร้ายมาก
“ ใช่แล้ว เธอมาเจอพวกอันธพาลแบบนี้ได้ยังไง ? ” ผมถามด้วยความสงสัย
เสี่ยวม่านถอนหายใจ “ อย่าไปพูดถึงมันเลย ฉันที่เพิ่งขึ้นลิฟต์ก็เจอเขาแล้วแถมเขายังอวดรวยไม่หยุดต่อหน้าฉัน ไล่ตามให้ฉันไปเป็นแฟนของเขาให้ได้และพูดประโยค ที่น่ารังเกียจจนฉันรําคาญมากๆ
เรื่องเมื่อกี้ขอบคุณนายมากเลยนะ !”
“ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะสองสามครั้ง “ ไม่เป็นไร ต่อไปเธอต้องระวังตัวให้มากขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาฉัน ! ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทํา งั้นฉันไปก่อนนะ ”
เสี่ยวม่านที่ได้ยินผมบอกว่าจะไปแล้ว เธอก็รีบเอ่ยปาก “ พวกเราเพิ่งจะเจอกันเอง นายก็จะไปแล้วเหรอ ? ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายสําหรับเรื่องเมื่อกี้เลยนะ !”
“ ขอบคุณอะไรกันและฉันก็ไม่เป็นอะไรนี่ ? รอฉันว่างแล้วค่อยนัดเธอก็แล้วกัน ! ” ผมพูดแล้วหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา
และเสี่ยวม่านก็เห็นว่าผมมีเรื่องที่ต้องไปจริงๆ เธอจึงไม่รั้งผมเอาไว้
ผมบอกเธอว่าจะโทรหาหลังจากที่เสร็จธุระ เมื่อเธอได้ยินแบบนั้นเธอก็บอกว่าเธอจะเชิญผมไปเที่ยวที่บ้านของเธอ
เมื่อผมได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของผมก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกสองที
ผมยังจําได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ไปบ้านของเธอในฐานะแขก ผลสุดท้ายคือผมถูกบังคับให้กระโดดออกจากตึก จนเกือบจะตายแล้ว
เมื่อเสี่ยวม่านเห็นใบหน้าที่อับอายของผม เธอก็ดูเหมือนว่าเธอจะนึกอะไรออก เธอยิ้มแล้วร้อง “ อ๋อ ” ออกมา “ แม่ของฉันไปต่างประเทศ เดือนหน้าถึงจะกลับมา ครั้งนี้ฉันจะทําอาหารให้นายกินเป็นการขอโทษดีไหม ? ”
ผมยิ้มอย่างเก้อเขิน และพูดอย่างขอไปที หลังจากนั้นก็ลงไปข้างล่างพร้อมกับเหล่าเฟิง
ในขณะที่กําลังอยู่ในลิฟต์ เหล่าเฟิงก็โพล่งคําพูดออกมาอย่างทันทีทันใด “ นายกับเธอเป็นคู่รักกันเหรอ ?
ถึงถูกแม่ของเธอโยนออกจากบ้าน ?”
ทันทีที่ผมได้ยินคําพูดของเหล่าเฟิง ผมก็มองค้อนใส่เขาทันที คู่รับกับผีน่ะสิ ! ผมไปเป็นแขกของเธอต่างหาก
ผมจ้องมองไปที่เฟิงเฉ่วหาน “ พูดอะไรไร้สาระ ฉันแค่ไปเที่ยวบ้านของเธอในฐานะแขก !”
“ ไปเป็นแขกยังต้องกลัวแม่ของเธอด้วยเหรอ ? ชายหญิงที่ทั้งคู่โสด หรือว่านายไม่ได้ทําอะไรเลย ?”
เหล่าเฟิงพูดอีกครั้ง
บ้าเอ๊ย จะเรียกว่าผมพูดไม่ออกเลยก็ได้
สําหรับเฟิงเฉ่วหาน หมอนี้ในวันธรรมดาแบบนี้ชอบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงแบบสุ่มสี่สุ่มห้าซ่อนอยู่ลึกๆ
ผมขี้เกียจที่จะอธิบายไปมากกว่านี้ “ พวกเราเป็นเพื่อนกันเฉยๆ อย่าคิดไปเรื่อยแบบสุ่มสี่สุ่มห้า !”
หลังจากพูดจบ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี ผมไม่สนใจเจ้าหมอนั้นและ เดินตรงออกจากลิฟต์ทันที
เหล่าเฟิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเดินตามอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินไปถึงประตูเรา ก็พบกับหยางเฉ่วและอู่ฮุ่ยฮุ่ย อีกครั้ง
ต่อจากนี้ เราจะไปที่บ้านของฉิงหมิงเฉ่ว เพื่อเจอกับผีตนนั้นสักหน่อย
ดูว่าเจ้านั้นมันจะมีความอดทนได้สักเท่าไหร่ ถึงยังไงความบ้ากามของมันก็อยากจะลงมือกับคนเป็น
เนื่องจากการทํางาน บ้านที่ฉิงหมิงเฉิวเช่าอยู่จึงไม่ไกล จากโรงถ่ายทําภาพยนตร์นัก มันสะดวกสําหรับการพักผ่อนและประหยัดเวลาในการมารับค่าตอบแทนในการแสดง
อย่างไรก็ตามโรงถ่ายทําภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นในเขตชานเมือง ออกจากที่นี่ไปตอนนี้ รถก็ติดมาก
กว่าจะไปถึงที่นั่นก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงแล้ว
ถึงแม้ว่าบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเมืองเราจะถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในวันธรรมดาก็มีทีมงานภาพยนตร์จํานวนมากทําฉากหรือถ่ายหนังและเป็นโรง ถ่ายทําภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตของพวกเราแล้ว
ทันทีที่มาถึง ก็เห็นนักแสดงงิ้วสวมเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดอยู่ เหมือนกําลังรอเข้าฉากหรือรอทีมงานปิดถนนกั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม
มันช่างมีชีวิตชีวามากและก็รู้สึกแปลกใหม่มาก
หลังจากเดินไปตามถนนไม่เท่าไหร่ พวกเราก็เดินมาถึงอาคารเก่าแก่อีกฝั่งหนึ่งของโรงถ่ายทําภาพยนตร์
อาคารเก่าแห่งนี้สร้างมา 80 ปีแล้ว กําแพงและผนังเต็มไปด้วยไม้เลื้อย เมื่อก่อนมันเคยเป็นหอพักของโรงงานเก่า แต่ตอนนี้กําลังรอการรื้อถอนและในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้บุคคลภายนอกมาเช่า
อาคารมีทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น แต่ว่าไม่มีลิฟต์
ฉิงหมิงเฉ่วอยู่ชั้นที่สิบเอ็ด เธอเดินขึ้นๆลงๆทุกวันจนไม่รู้สึกเหนื่อยแล้ว
เวลากลางวันแทบจะไม่มีคนอยู่ในตึก ตึกจะว่างเปล่าเพราะผู้คนส่วนใหญ่จะออกไปข้างนอกเพื่อถ่ายทําหนัง
เมื่อเดินขึ้นไปที่ชั้นสิบเอ็ด ก็ได้ยินฉิงหมิงเฉ่วพูดว่า “ ทางนี้ ห้องที่ฉันเช่าอยู่ตรงนั้น !”
หลังจากพูดจบ ฉิงหมิงเฉ่วก็ชี้นิ้วไปทางนั้น ในขณะเดียวกันก็ทําท่าทางหวาดกลัวไปด้วย
เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเธอ ผมก็ยิ้มและปลอบใจเธอ “ อย่าไปกลัว ฉันมาแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร วันนี้ฉันจะต้องจัดการมันให้สิ้นซาก !”
ในขณะที่ให้ฉิงหมิงเฉ่วนําทางไป
เมื่อเดินมาถึงประตู ฉิงหมิงเฉ่วก็หยิบกุญแจออกมาด้วยท่าทางงกๆเงินๆ แล้วมองกลับมาที่พวกเรา
พวกเราทั้งสามคนพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้เธอว่าอย่าไปกลัว
ฉิงหมิงเฉ่วลังเลอีกครั้งและในที่สุดเธอก็เปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังด้านมืดของภูตผีปีศาจ มันให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก ทําให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายมากๆ
ไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็เดินเข้าไปข้างในพร้อมกับฉิงหมิงเฉ่ว
ทันทีที่ผมเข้าไปในห้อง ประตูก็ปิดดัง “ บัง” มันปิดเองและดังมากๆ
อู่ฮุ่ยฮุ่ยและฉิงหมิงเฉ่วตกใจจนกระโดดตัวลอย พวกเราทั้งสามคนกลับยิ้มเยาะเย้ยออกมา ดูเหมือนไอ้เจ้านั้นมันจะไม่ดีใจที่พวกเรามา
บ้านนี้มีเสียงฮมฮัมดังมากและผ้าม่านก็ถูกปิดจนไม่มีแสงเลย
ผมเหลือบมองไปรอบๆ และพบว่านี่เป็นหนึ่งห้องนอนซึ่งมีพื้นที่ขนาดเล็ก
และที่มุมห้องมีโต๊ะเครื่องเซ่น บนโต๊ะมีไหสีดํา มีตุ๊กตาเด็ก “ สีทอง” ตั้งอยู่ตรงกลาง และถูกเซ่นไหว้ด้วยตะเกียงไฟและธูป นอกจากนี้ด้านหน้ายังมีจานเซ่นไหว้ที่มี แอปเปิ้ลอยู่สองสามลูก
ฉิงหมิงเฉ่วมองไปที่โต๊ะเครื่องเซ่น ดูเหมือนว่าเธอจะประหม่าและหวาดกลัวมาก เธอชี้นิ้วไปที่โต๊ะเครื่องเซ่นนั่น ในขณะเดียวกันก็พูดว่า “ ของที่ฉันอัญเชิญกลับมา ก็คือของสิ่งนั้น !”
หลังจากพูดจบ เธอก็จับแขนของอู่ฮียฮุยเอาไว้
ผมไม่รีบพูดอะไรแต่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดและสูดลมหายใจ เข้าไปหนึ่งฟอด หลังจากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องเซ่นแล้วพูดว่า “ ฉันจะไม่พูดไร้สาระ วันนี้เสี่ยวเฉ่วเชิญให้เรามา ! เพราะอยากจะให้นายออกไป”
ถ้านายยินยอมล่ะก็ ฉันจะทําลายรูปปั้นกุมารสีทองนี่ซะ แล้วจะไปไหนก็ไป ถ้าหากนายไม่ยินยอม !
งั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่านายทิ้งไปซะ…”