ศพ - ตอนที่ 280 ไหว้ลุงหก
ศพ ตอนที่ 280 ไหว้ลุงหก
เพราะจางจึเทารู้ที่อยู่ของพวกเรา หยางเฉ่วจึงเสนอว่า ให้พวกเราย้ายบ้าน ออกจากตําบลชิงฉือ เปลี่ยนที่พักใหม่
บอกว่าถ้าพวกเราไม่ไปจากตําบลชิงฉือ รอให้อีกฝ่ายบุกมาถึงบ้านแล้ว จะต้องไม่ดีต่อเราแน่ๆ และอาจทําให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายด้วย
วิธีของหยางเฉ่วก็เป็นวิธีที่ดี แต่อาจารย์และท่านนักพรตตู้กลับครุ่นคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง
อาจารย์อยู่ที่ตําบลชิงฉือมา 20 กว่าปีแล้ว หลังออกมาจากวัด ท่านก็อยู่ในตําบลชิงฉือ ทํางานเป็นฌาปนกิจมาโดยตลอด ต่อมาได้เปิดร้าน และเลี้ยงผมจนโตมาถึงปานนี้
เขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับตําบลชิงถือมาก บวกกับตอนนี้เขาก็แก่แล้ว จึงไม่อยากย้ายไปไหนเข้าไปใหญ่
ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงไม่แน่ใจ
หันไปมองท่านนักพรตต์ เขาพเนจรมาทั้งชีวิต ตอนนี้ก็เลือกปักหลักอยู่ในตําบลชิงฉือ
อย่างแรกคือ ที่นี่เขามีญาติเป็นเหล่าฉินเพียงคนเดียว หรือศิษย์พี่ของเขานั่นเอง
อย่างที่สอง ตัวเขาเองก็เหนื่อยแล้ว ออกไปอยู่ทั่วล่ามาทั้งชีวิต ตอนนี้เพิ่งได้ปักหลัก เปิดร้านยา การค้าก็เป็นไปได้ค่อนข้างดี
แถมท่านนักพรตต์ก็มีวิชาแพทย์สูง รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลก็ถูก จึงค่อยๆมีชื่อเสียงในตําบลชิงฉือ
และเขาก็เริ่มชินกับชีวิตของที่นี่แล้ว
ถ้าจะให้ท่านนักพรตต์ไปในตอนนี้ เขาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน
พูดตามตรง อย่าว่าแต่อาจารย์และท่านนักพรตตูไม่อยากไปเลย แม้แต่ผมและเหล่าเฟิง ก็ไม่อยากออกไปจากตําบลซิงฉือเช่นกัน
ทุกคนเงียบลงชั่วขณะ หยางเฉ่วเห็นพวกเราไม่พูดไม่จา จึงบ่นอยู่ข้างๆว่า “ ออกไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น
เพราะอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี ถ้ามีตัวร้ายกาจอะไรบางอย่างปรากฏตัวขึ้นมา มันจะอันตรายมากเลยนะ!”
หยางเฉ่วเองก็ปรารถนาดี เธอพูดไม่ผิดเลยสักนิด
แต่พวกเรากลับตัดสินใจไม่ได้สักที ผ่านไปสักพัก จู่ๆเฟิงเฉวหานก็พูดกับท่านนักพรตต์ว่า
“ อาจารย์ เราจะออกไปไหม? ”
ท่านนักพรตเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันมามองเฟิงเฉิวหาน“ เจ้าอยากไปเหรอ ?”
เมื่อเหล่าเฟิงโดนถามแบบนี้ ก็ตะลึงไปเช่นกัน แต่ต่อจากนั้นเขาก็ส่ายหัว
ท่านนักพรตตู้เห็นเหล่าเฟิงส่ายหัว จึงพูดขึ้นว่า “ ในเมื่อไม่อยากไป งั้นเราครูศิษย์ก็ไม่ต้องไป ! เดินทางมาค่อนชีวิตแล้ว ฝ่าฟันอุปสรรคมานับไม่ถ้วน เห็นสิ่งต่างๆมามากมาย กว่าจะได้มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแห่งอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงองค์กรตาผีจะยกกันมาทั้งองค์กร เราก็ไม่กลัวหรอก”
เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินความรู้สึกของท่านนักพรตต์ เขาก็พยักหน้ารับ
อาจารย์เห็นท่าทีของท่านนักพรตต์ จึงพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน เราครูศิษย์อยู่ที่นี่อยู่แล้ว เราก็จะไม่ไปเหมือนกัน อีกอย่าง เราเป็นถึงคนปราบสิ่งชั่วร้ายที่มีศีลธรรม ยังต้องกลัวองค์กรชั่วพวกนี้ด้วยเหรอ? ”
“ อ๋อ ! ใช่แล้วอาจารย์ ผมก็จะไม่ไป ถ้าเจ้าจางจีเทามาหา เราก็เตรียมรอจัดการเขาเลย !” ผมพูดอย่างดุดัน
เมื่อหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆได้ยินพวกเราพูดแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา เธอคิดว่าพวกสี่คนล้วนเป็นพวกดื้อหัวรั้น
มีคํากล่าวว่า ทวนที่พุ่งออกมาจากที่แจ้งนั้นหลบหลีกง่าย แต่ลูกศรที่ยิงมาจากที่ลับนั้นยากต่อการระวัง
เธอหมายความว่าให้พวกเราย้ายออกไปชั่วคราว พอจัดการศัตรูได้แล้ว ก็ค่อยกลับมาใหม่เท่านั้น
แต่สุดท้าย พวกเราสี่คนก็ไม่มีใครอยากไปเลยสักคน
แม้หยางเฉ่วจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเลือก แต่เราตัดสินใจแล้ว เธอจึงไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
ตอนนี้พวกเรามีความคิดเดียวเท่านั้น คือทหารมาใช้ขุนพลต้านน้ํามาใช้ดินต้าน.
ต่อจากนั้น พวกเราก็มาถึงถนนใหญ่ของชานเมือง
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิม ไม่มีรถผ่านมาสักคัน
ถึงจะโทรให้รถมารับ ก็ต้องใช้เงินเพิ่มถึง 50 หยวน
หลังแยกทางกับหยางเฉ่วแล้ว พวกเราก็ตรงกลับตําบลชิงฉือทันที
ตอนอยู่บนรถพวกเราไม่ได้คุยอะไรมากนัก ทุกคนต่างเหนื่อยกันทั้งนั้น จึงพิงเบาะหลับไปตามๆกัน
เมื่อมาถึงตัวตําบล ก็เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว ผ่านไปอีกครู่เดียวฟ้าก็จะสว่างแล้ว
เมื่อกลับมาถึงร้าน ตัวผมก็สะลึมสะลือ หลังจุดธูปที่ป้ายวิญญาณสองดอกแล้ว ผมก็กลับห้องไปนอนในทันที
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
ตัวผมยังคงเหนื่อยล้า พอออกจากห้องแล้ว ก็เห็นว่าอาจารย์ตื่นแล้ว ตอนนี้เขากําลังดื่มชาอยู่
อาจารย์เห็นผมตื่นแล้ว จึงพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน ฉันเตรียมไก่เอาไว้ในแกสองสามตัว พอฟ้ามืดแล้ว แกเอาไปที่ศาลเจ้าหลักเมืองนะ ”
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงตอบ “ อืม” สั้นๆเท่านั้น
แต่อาจารย์กลับพูดกับผมว่า “ พอเอาไก่ไปให้แล้ว แกก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ปู่หูลิ่วฟังนะ! ถ้าเขาเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ได้ พวกเราจะไม่ได้มีแค่ไพ่เพิ่มมาอีกหนึ่งใบนะ แต่เราอาจหาตัวเจ้าจางจีเทาเจอเร็วกว่าเดิมก็ได้!”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนั้น ผมก็คิดมันว่าน่าจะเป็นไปได้ขึ้นมาทันที
ผมพยักหน้า “ ได้ เดี๋ยวผมจะเอาไปให้! แต่อาจารย์ เราจะไม่บอกเรื่องนี้กับน้องศพหน่อยเหรอ ? ”
อาจารย์คลี่ยิ้ม “ นั่นเมียแกนะ จะบอกหรือไม่บอกก็ตามใจแกซิ! ”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มต่อ แล้วจากนั้นก็ไม่สนใจผมอีกเลย
ผมมองป้ายวิญญาณของมู่หลงเหยียนแวบหนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องบอกมู่หลงเหยียน
รอให้หลังจากไปไหว้ปู่หูลิ่วเสร็จแล้ว ค่อยไปปากุ้ยหม่าด้วยตัวเอง
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ผมก็นั่งดูละครน้ําเน่าสุดน่าเบื่อในบ้านพักหนึ่ง หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ฟ้าก็เพิ่งมืดได้ไม่นาน ผมจึงเอาไก่สามตัวไปที่ศาลเจ้าหลักเมืองทันที
เมื่อมาถึงศาลเจ้าหลักเมือง ผมก็ไม่ได้เดินเข้าไปทันที
ในเผ่าจิ้งจอก ปู่หูลิ่วตนนี้เป็นผู้อาวุโสของผม มีรุ่นที่สูงกว่าผมเยอะ
ดังนั้นผมเลยทํามือคารวะเข้าไปในศาลเจ้าหลักเมือง ในเวลาเดียวกันก็ตะโกนเสียงดังว่า “ ศิษย์ติงฝาน มีเรื่องมาขอพบปู่หูลิ่ว !”
เสียงเพิ่งเงียบลง เสียงของชายชราคนหนึ่งก็ดังตามมาติดๆ “ เข้ามาเถอะ !”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมถึงถือไก่เดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปในตัวศาลเจ้าแล้ว ผมเห็นเพียงมีใครสองคนกําลังยืนอยู่ในศาลเจ้าที่มืดสลัวๆ
หนึ่งในนั้นคือชายชราคนหนึ่ง ส่วนอีกคนคือหญิงสาวผิวขาวสวย
ชายชราไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือปู่หูลิ่วที่ไม่ได้พบกันนาน
ใบหน้าของปู่หูลิ่วเปื้อนยิ้ม มองผมอย่างอ่อนโยน
แต่หูเหมยกลับทําหน้าอารมณ์เสีย คิ้วขมวดเป็นปม เหมือนกับผมไปติดหนี้เธอเอาไว้หลายร้อยหยวน
ผมกวาดสายตามองทั้งสองคนแวบหนุ่ง วางของในมือไว้ที่พื้น จากนั้นก็ทํามือคารวะปู่หูลิ่ว
“ ศิษย์ติงฝาน ขอคารวะปู่หูลิ่ว ! นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆโปรดรับเอาไว้ด้วยครับ ”
ปู่หูลิ่วยกมือขึ้น ท่าทางดีใจสุดๆ ไก่เป็นๆเป็นสิ่งที่พวกเขาชอบที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ แต่ปากก็ยังพูดว่า “ ชูหม่าเกรงใจเกินไปแล้ว”
“ สมควรแล้ว สมควรแล้ว! ” ผมตอบกลับด้วยความสุภาพ
ปู่หูลิ่วเห็นท่าทีของผมเป็นแบบนี้ ก็เข้าใจในทันทีว่าผมไม่ได้แค่เอาไก่มาให้เฉยๆ เลยพูดกับผมตรงๆว่า
“ ไม่ทราบว่าวันนี้ชูหม่ามีธุระอันใด ถึงได้มาถึงที่นี่?”
เมื่อเห็นปู่หูลิ่วเปิดประเด็น ผมก็ไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องที่พวกเราเจอเมื่อเร็วๆนี้ เรื่องที่ไปเจอจางจีเทา
และเรื่องที่เขาเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีให้ฟังทันที
ในเวลาเดียวกันก็บอกสิ่งที่ผมกังวล กับปู่หูลิ่วที่ละเรื่องๆ และอยากให้ตระกูลหูช่วยสนับสนุนด้วย
ปู่หูลิ่วฟังแบบจริงจังสุดๆ และยังพยักหน้ารับเป็นครั้งคราว
หลังฟังผมพูดจบ เขาก็เค้นเสียงดัง ฮึ “ องค์กรตาผี เหล่าหูเองก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน เมื่อก่อนเงียบสงบมาโดยตลอด ช่วงสองสามปีมานี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ชูหม่าสบายใจได้ ท่านเป็นคนของพวกเรา พวกเราสํานักหูครองเขาฉินมาหลายพันปี ในสถานที่แห่งนี้เราไม่เคยกลัวใครมาก่อน อย่าว่าแต่นักพรตตัวเล็กๆเลย ถึงจะเป็นนายขององค์กรตาผีมาเอง ก็ยังต้องคิดก่อน………..”