ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 146 รักษาผู้ป่วย
ชางผิงเก็บข้อสอบลงไปเงียบๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มด้วยขมขื่น “ขอบคุณอาจารย์!” รู้สึกว่ามีเลือดไหลภายในใจ แต่ก็ยังต้องรักษารอยยิ้มเอาไว้
ชวีฉิวหมิงเห็นท่าทีของอีกฝ่าย บนใบหน้าเขามีอารมณ์บางอย่างแวบผ่านไป ก่อนจะเดินหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ได้จะทดสอบฝีมือของข้าหรือ ในเมื่อมาถึงแล้วก็เริ่มกันเลยเถอะ พวกท่านอยากให้เข้าดูคนไหน”
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว แต่ก็ยังมองไปยังชางผิง “ศิษย์หลานชาง ท่านคือสหายชวีที่จะทดสอบวันนี้ ตอนนี่ผู้ป่วยอยู่ที่ใด”
ชางผิงผงะไปเล็กน้อย เขาได้ยินมาว่าวันนี้จะมีหมอรักษาพลังลมปราณแซ่ชวีมารับการทดสอบ เพียงแต่ชายหนุ่มที่ทำหน้าโกรธเคืองอยู่ด้านข้างนี้คือหมอเทวดาชวีทำล่ำลือกัน? แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ถามให้มากความ “วันนี้มีผู้ป่วยจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่ถูกทำร้ายโดยพลังวิญญาณ แต่ระดับที่ได้รับบาดเจ็บแตกต่างกันไป ระดับที่เหมาะสมกับการทดสอบคือ…”
“ไม่ต้อง” เขายังพูดทันไม่จบชวีฉิวหมิงก็พูดแทรกขึ้นมา “พาข้าไปดูคนที่หนักที่สุด! วางใจเถอะ ข้าสามารถรักษาได้แน่”
“คนที่หนักที่สุด!” ชางผิงตะลึง สีหน้าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาเจ้าสำนักสวีเป็นเชิงถาม
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว ก่อนจะพยักหน้า “พาพวกข้าไปเถอะ”
หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เป็นหมอทำให้ชางผิงลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่ามีอาจารย์อวิ๋นอยู่ คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น กระนั้นถึงได้นำทางทุกคนเข้าไปด้านใน พลางเดินพลางอธิบาย
“คนนั้นเป็นคนป่วยที่ลูกศิษย์ของทางสำนักส่งมา ได้ข่าวว่าเป็นนายพรานในป่า ป่าแถบนั้นมีการปรากฏตัวของปีศาจ ลูกศิษย์ที่ปราบปีศาจพบเจอเขาตอนที่ไปถึง เส้นชีพจรทั่วร่างถูกปีศาจตัดขาด พลังปีศาจรุกรานเข้าร่างกาย พวกเราพยายามอย่างที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงรักษาเศษเสี้ยวพลังชีวิตของเขาเอาไว้ กำลังคิดหาวิธีขจัดพลังปีศาจ”
พูดจบ พวกเขาก็ผลักประตูด้านในสุดเข้าไป ทุกคนเห็นคนที่ไม่อาจเรียกว่าคนนอนอยู่บนเตียงในแวบแรก ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งตัวอาบเต็มไปด้วยเลือด ทั้งตัวไม่มีส่วนใหญ่อยู่ในสภาพดี คนทั้งคนราวกับถูกถลกหนังออกไปหนึ่งชั้น
อวิ๋นเจี่ยวที่คุ้นชินกับผู้ป่วยไม่เป็นอะไร แต่คนอื่นกลับตกตะลึงในภาพที่เห็นตรงหน้า โดยเฉพาะชวีฉิวหมิง เขาถอยหลังไปอย่างกะทันหัน แม้แต่สีหน้าก็ซีดขาวลงไป อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองเขาอย่างมีนัยยะ
“ทักทายอาจารย์อวิ๋น เจ้าสำนักทุกท่าน!” หมอรักษาพลังลมปราณสองคนภายในห้องกำลังนักษาให้อีกฝ่าย เมื่อพวกเขาเห็นทุกคนเดินเข้ามา จึงรีบทำความเคารพ
ชางผิงเดินเข้าไปอธิบาย ทั้งสองคนถึงได้ถอยออกไป คนบนเตียงปรากฏต่อหน้าทุกคนชัดเจนกว่าเดิม โดยเฉพาะอวิ๋นเจี่ยว เจ้าสำนักสวี และชวีฉิวหมิงที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด รู้สึกเหมือนสีหน้าของอีกฝ่ายจะซีดลงกว่าเดิม
“สหายชวี” เจ้าสำนักสวีหลีกออกไปหนึ่งก้าว ชี้ไปยังคนบนเตียง “ไม่ทราบว่าผู้ป่วยคนนี้ ท่านสามารถรักษาได้หรือไม่”
ชวีฉิวหมิงมองคนบนเตียงทีหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงสายตาหนี กระแอมไอที่หนึ่ง จากนั้นกวาดตามองทุกคน
“ช่วยเขาไม่มีปัญหา แต่ว่าตอนที่รักษาผู้ป่วย ข้าต้องการความสงบ พวกท่านออกไปก่อน ข้าจะรักษาเขาเอง!”
เจ้าสำนักสวีผงะ อีกฝ่ายลืมว่านี่เป็นการทดสอบหรืออย่างไร มีการทดสอบที่ไหนที่ไม่ให้คุมสอบ
“สหายชวี หากต้องการความสงบ พวกข้าสามารถไม่ส่งเสียงได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างข่ายพลังปิดกั้น ไม่มีทางรบกวนท่านรักษา ผู้ป่วยอย่างแน่นอน”
ชวีฉิวหมิงตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏสีหน้าโกรธเคืองเช่นเดิม “ไม่ได้! พวกท่านต้องออกไป! อยู่ที่นี่จะรบกวนการตัดสินของข้า ข้าเคยบอกแล้ว ข้ารักษาเขาได้แน่ แค่พวกท่านออกไป! ข้ารับรองว่าไม่ถึงหนึ่งเค่อ เขาจะฟื้นกลับมา หากพวกท่านไม่เชื่อ หลังจากหนึ่งเค่อพวกท่านเข้ามาดูก็ได้”
ทุกคนมองหน้ากัน ความไม่พอใจภายในใจยิ่งมากขึ้น สุดท้ายเจ้าสำนักสวีถอนหายใจออกมา ก่อนจะส่งสายตาให้ทุนคน “พวกเราออกไปก่อน”
เหล่าเจ้าสำนักถึงได้หันหลังเดินออกไป บางคนใจร้อยถึงขั้นคัดค้านออกมาทันทีหลังออกมาจากห้อง “เจ้าสำนักสวีคิดว่าคนนี้สามารถรับตำแหน่งท่านอาวุโสสำนักเทียนซือได้จริงหรือ”
“เจ้าสำนัก ข้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องหารือกันใหม่ ถึงแม้เขาจะรักษาคนนั้นหายได้ก็ตาม”
“ใช่ นิสัยของคนนี้คงจะ…”
“เจ้าสำนักต้องคิดให้ดี!”
ท่านอาวุโสและเจ้าสำนักคนอื่นต่างพยักหน้า แม้แต่การรักษายังไม่ยอมให้คนดู หากไม่ใช่ว่ามีความผิดปกติอื่น ก็คงกลัวว่าวิชาของตนจะถูกคนอื่นขโมยไป ดังนั้นจึงจงใจเก็บกักเอาไว้ ทุกคนต่างคิดว่าเป็นประเด็นที่สอง หมอรักษาพลังลมปราณชวีคนนี้ต้องการเก็บกักวิชาของตนเอง แม้แต่พวกเขายังปิดบัง คนแบบนี้ พวกเขายังหวังว่าเขาจะทำเพื่อเสวียนเหมิน นำเอาวิชาหมอรักษาพลังลมปราณของตนมาสอนคนอื่น?
ที่จริงไม่ต้องทุกคนบอก เจ้าสำนักสวีก็รู้สึกเสียใจตั้งแต่ตำหนักใหญ่แล้ว ชวีฉิวหมิงนอกจากฝีมือทางการรักษาแล้ว อย่างอื่นห่างไกลจากจินตนาการของเขาอย่างมาก ไม่เพียงหยิ่งแต่ไปถึงขั้นยโสโอหังแล้ว อีกทั้ง…ไม่รู้เพราะเหตุใด ในน้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความได้ใจ ถึงแม้จะกลายเป็นท่านอาวุโส อย่าว่าแต่จะสอนลูกศิษย์หมอรักษาพลังลมปราณที่โดดเด่นออกมาได้มากเท่าไร ไม่แน่ว่าจะก่อให้เกิดผลร้ายต่อเสวียนเหมินในตอนนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเทียบกับสหายอวิ๋นเลย
เขามองไปยังอวิ๋นเจี่ยว แต่พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ด้านข้าง แต่กลับมองไปยังคนที่ออกมาจากในห้องคนสุดท้าย หญิงสาวนามว่าฉ่ายเตี๋ยที่คอยติดตามอยู่ข้างชวีฉิวหมิง
ทุกคนสีหน้าดำทะมึน ก่อนจะหยุดการถกเถียงลง เกือบลืมว่าหญิงสาวคนนี้ก็อยู่ด้วย
ฉ่ายเตี๋ยกลับไม่ได้สนใจการถกเถียงชวีฉิวหมิงของพวกเขาแม้แต่น้อย แต่เพราะสายตาขอวอวิ๋นเจี่ยวที่มองมายังตนชัดเจนเกินไป ทำให้ตนมีความรู้สึกเหมือนถูกจับผิดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่นางพูดตอนที่ตนเดินออกจากประตู
“เจ้ามีเวลาอีกแค่สี่วัน”
ทันใดนั้น ร่างกายของเธอหนาวเย็น คนทั้งคนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม นิ้วจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความหวาดกลัวอย่างมหาศาลถาโถมเข้ามา ใบหน้าที่แดงระเรื่อขาวซีดลง พยายามข่มความคิดที่อยากจะก้าวเข้าไปถามอีกฝ่าย
นาทีถัดมา เสียงของชวีฉิวหมิงลอยออกมาจากในห้อง
“เสร็จแล้ว พวกท่านเข้ามาได้”
ทุกคนตะลึง เร็วเช่นนี้? นี่ยังไม่ถึงครึ่งเค่อ
ในดวงตาของฉ่ายเตี๋ยฉายแววดีใจ เธอผลักประตูเข้าไปเป็นคนแรก “พี่หมิง…” เธอมองไปยังคนบนเตียงด้วยสีหน้าดีใจ ความตะลึงในแววตายิ่งกว่า เธอหันไปกอดแขนของชวีฉิวหมิงเอาไว้ “ข้ารู้ว่าพี่หมิงเก่งที่สุด อะไรก็สามารถรักษาได้!”
เธอยิ้มอย่างไร้เดียงสา ราวกับชวีฉิวหมิงสามารถช่วยนายพรายคนนั้นได้ เธอดีใจยิ่งกว่าทุกคน
“แน่นนอน” ชวีฉิวหมิงยิ้มอย่างได้ใจมากขึ้น กวาดตามองเหล่าผู้คนที่เดิมตามเข้ามา “การทดสอบของพวกท่านข้าทำสำเร็จแล้ว”