ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 168 ตัวการเบื้องหลัง
อวิ๋นเจี่ยวลงมือฝังเข็มให้เขา ก่อนจะตรวจดูอาการของมือขาของเขา
“เอ๊ะ? แม่นาง ท่านจะ…” ยมราชซิวหลิงผงะไป กำลังจะถาม แต่กลับพบว่าเธอออกแรงดัดมือที่บิดเบี้ยวของเขากลับมาอย่างกะทันหัน เขาพูดออกมาด้วยความตกใจ “เดี๋ยว จะเจ็บ…เอ๊ะ? ไม่เจ็บ” คำโอดครวญของเขาชะงัดไป ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามือของตนกลับตำแหน่งเดิม อีกทั้งไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
เขาเบิกตาโตด้วยความตกตลึง “ฝีมือของแม่นาง…ช่างน่าตะลึง!” แขนขาของเขาถูกคนนั้นใช้พลังปีศาจหักไป จุดประสงคือไม่อยากให้เขาเคลื่อนไหว เดิมทีคิดว่าหากต้องการรักษาคงต้องผ่านความเจ็บปวดไม่น้อย ไม่คิดว่าไม่เจ็บไม่พอ แม้แต่เส้นชีพจรก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ฉีดยาชาก่อนการผ่าตัดเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ตอนนี้แค่เปลี่ยนวิธีไป มีอะไรน่าแปลก
เธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ยังคงดัดแขนขาที่เหลือของเขากลับมา จากนั้นถึงได้เก็บเข็ม แล้วพูดขึ้น “เสร็จแล้ว ตอนนี้ท่านสามารถขยับได้ แต่ว่าตะปูสลายวิญญาณในร่างท่านยังไม่เอาออก ดังนั้นอย่าใช่พลังมากจะดี…”
“เมืองหลวง!” เธอยังพูดไม่ทันจบ หลังจากท่านยมราชได้ยินว่าสามารถขยับได้ ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง กลายร่างเป็นพลังวิญญาณก้อนหนึ่งแล้วบินออกไป
ทั้งสามคน: “…”
นึกถึงซากปรักหักพังด้านบนก็รู้สึกกลัวขึ้นมา พวกเขาแลกเปลี่ยนสาตากันอย่างเงียบๆ
อวิ๋นเจี่ยว: “พวกเราขึ้นไปจะถูกตีตายหรือไม่”
ชายแก่: “ไม่ขึ้นไปจะดีกว่า?”
หยวนเจียง: “แต่ว่าเถิงสียังหาไม่เจอ?”
…
ทั้งสามคนมองหน้ากัน ก่อนจะหยิบอาวุธออกมาอีกครั้ง และบินออกไปด้วยความหวาดผวา มีเพียงหนึ่งคนที่ยังคงกินขนมด้วยสีหน้าเรียบเฉย แครกๆๆ…
หวังว่างยมราชซิวหลิงจะไม่อาละวาด!
ยมราชซิวหลิงไม่ได้อาละวาด เพราะเขากำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้า นี่…นี่เป็นเมืองหลวงของเขาหรือ
(⊙_⊙)
เห็นเพียงแต่เมืองหลวงที่ตั้งตระหง่านหายไป บริเวณที่สายตากวาดไปถึงนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ อีกครึ่งเป็นซากปรักหักพังที่กองเป็นเนินเขา ราวกับลูกบอลที่ถูกหั่นออกเป็นสองซีก แยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด
หากซากกำแพงที่โผล่ออกมาจากซากปรักหักพังนั้นทำให้ตนรู้สึกคุ้นตา มิอย่างนั้นเขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ที่นี่เป็นเมืองหลวงของเขาจริงๆ
“เอ่อ…คือ ท่านยมราชซิวหลิง…” ชายแก่คิดจะอธิบาย “ที่จริงแล้วพวกข้า…” อธิบายได้
“ไม่คิดว่าเขาจะลงมือจริง” ชายแก่ยังไม่ทันพูดจบ ยมราชซิวหลิงก็พูดขึ้นด้วยความปวดใจ คิ้วของเขาขมวดมุ่น สีหน้าเคร่งเครียด “ไม่คิดว่าเขาจะโหดเหี้ยมปานนี้ ไม่เพียงแต่เก็บวิญญาณทั้งหมดภายในเมือง อีกทั้งยังทำให้เมืองหลวงกลายเป็นแบบนี้
“…” เอ๊ะ พูดถึงใคร
(⊙_⊙)
ชายแก่และหยวนเจียงทำหน้าฉงน
อวิ๋นเจี่ยวกลับตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอเดินหน้าขึ้น ก่อนจะพูดต่อ “ใช่! โหดเหี้ยมาก!” พูดจบยังตบไหล่ของอีกฝ่าย “เสียใจด้วย!”
ไป๋อวี้: “…”
หยวนเจียง: “…”
ศักดิ์ศรีละ! โยนความผิดอย่างนี้จะดีหรือ
( ̄△ ̄;)
“เฮ้อ! โทษข้า ดูคนผิด! ถึงทำให้…” ร่างของท่านยมราชห่อเหี่ยวลงไป เขาทำท่าทางเสียใจอยากมาก ก่อนจะเหลือบมองอวิ๋นเจี่ยวทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ขอบคุณทุกท่านช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องถูกขังจนวิญญาณสลาย”
หยวนเจียงดึงสติกลับมา ก่อนจะถามขึ้น “ท่านยมราชซิวหลิง ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแย่ ทำไมวิญญาณถึงหายไปหมด”
ท่านยมราชซิวหลิงกำมือข้างตัวแน่น “เป็นเพราะอสูรกลืนนภา!”
“อะไรนะ? อสูรกลืนนภา!” หยวนเจียงทำสีหน้าเหลือเชื่อ อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ทำหน้าฉงน
“อะไรคืออสูรกลืนนภา?”
หยวนเจียงสีหน้าดำทะมึน ก่อนจะอธิบาย “มันคือสัตว์ประหลาดโบราณในตำนาน เล่ากันว่ามันมีความสามารถในการกลืนท้องฟ้ากินพื้นดิน กินวิญญาณเป็นอาหาร เพียงแต่ได้ยินว่าสัตว์ประหลาดนี้สูญหายไปตั้งแต่ตอนสงครามเทพมาร”
“ไม่ ข้ามั่นใจว่ามันคืออสูรกลืนนภา!” ท่านยมราชซิวหลิงพูด “สัตว์ประหลาดนั้นกลืนกินวิญญาณในเมืองไป”
“แต่ทำไมอสูรกลืนนภาถึงปรากฏในยมโลก” สัตว์ประหลาดประเภทนี้ไม่มีสัมปชัญญะของตนเอง ยมโลกเป็นดินแดนแห่งความตาย สิ่งมีชีวิตไม่ชอบสถานที่เช่นนี้ มันบุกเข้ามาในยมโลกได้อย่างไร
“มีคนจงใจพาเข้ามา” ท่านยมราชซิวหลิงถอนหายใจ ก่อนจะอธิบายต่อ “ร้อยปีก่อน มีวิญญาณพิเศษมายังเมืองซิวหลิง เขาบอกว่าตนจำเรื่องก่อนตายของตนเองไม่ได้ ยมทูตพาเขาไปยังหน้ากระจกระลึกอดีต แต่กลับมองไม่เห็นเรื่องก่อนตายของเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงได้พาวิญญาณนี้มาที่ข้า ฮึ! ตอนนี้คิดดูแล้ว…”
“เขาปิดบังลิขิตสวรรค์เอาไว้!” หยวนเจียงพูดอย่างมั่นใจ
“ใช่!” ท่านยมราชซิวหลิงพยักหน้า “เพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดถึงตรงนี้ อีกทั้งข้าเห็นร่างวิญญาณของเขาอ่อนแอมาก จึงคิดว่าก่อนตายเขาได้พบกับคนที่แข็งแกร่งกว่า ถูกโจมตีจนวิญญาณไม่มั่นคงเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสืบหาเรื่องก่อนตายของเขาไม่ได้เป็นเวลานาน ไม่อาจตัดสินได้ จึงรับเขาเอาไว้ทำงาน เพียงแต่ไม่คิดว่า เขาจะพาอสูรกลืนนภาเข้ามาในยมโลก อีกทั้งร้อยปีมานี้ยังแอบเอาวิญญาณไปเลี้ยงอสูรกลืนนภา”
ยมราชเมืองซิวหลิงกำมือแน่น ราวกับพยายามข่มความโกรธภายในใจ สูดลมหายใจเข้าก่อนจะพูดต่อ “ข้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของ วิญญาณในเมือง เดิมทีคิดจะสืบหา แต่ไม่คิดว่าเขาจะลงมือกับข้า นอกจากฆ่ายมทูตทั้งสี่ของข้าแล้ว ยังใช้โซ่กลืนกินวิญญาณและตะปูสลายวิญญาณกักขังข้าไว้ภายใต้เมืองหลวง”
หยวนเจียงผงะ ก่อนจะถามขึ้น “เขารับมือกับท่านและยมทูตทั้งสี่ได้!”
“ใช่ พลังของเขามากกว่าพวกข้าอย่างมาก!” ท่านยมราชซิวหลิงพยักหน้า ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “อีกทั้งคาถาที่เขาใช้ ไม่ใช่พลังวิญญาณของยมโลก แต่เป็น…พลังปีศาจ!”
“อะไรนะ!” ครานี้ไม่เพียงแต่หยวนเจียง อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างตกตะลึง “ท่านบอกว่าเขาเป็นวิญญาณไม่ใช่หรือ”
“เขาดูเหมือนวิญญาณ…” ท่านยมราชซิวหลิงเองก็มีสีหน้าฉงน แต่ก็ยังพูดด้วยความมั่นใจ “แต่สิ่งที่เขาใช้เป็นวิชาปีศาจ! พวกข้าก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้ ถึงได้พ่ายแพ้เขาอย่างง่ายดาย”
ชายแก่พูดออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “บนโลกนี้มีวิญญาณที่สามารถใช้พลังปีศาจได้!”
“ไม่!” อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าดำลง ก่อนจะคัดค้าน “ควรจะพูดว่า เป็นเผ่าปีศาจที่มีพลังวิญญาณ!”
ทั้งสามคนผงะไปในทันใด ก่อนจะเข้าใจ ถูกต้อง เขาไม่ใช่วิญญาณ ดังนั้นกระจกระลึกอดีตถึงส่องไม่เห็นเรื่องก่อนตายของเขา เพราะว่าเขายังไม่ตาย อีกทั้งยังมีอสูรกลืนนภานั้น ถึงแม้จะเป็นสัตว์ประหลาดโบราณ แต่ว่าก็ถือเป็นปีศาจ และมีเพียงปีศาจเท่านั้นที่สามารถควบคุมนานเช่นนี้ยังไม่ถูกคนจับได้
“ท่านยมราชซิวหลิงรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นเผ่าไหน” หยวนเจียงถาม
“เรื่องนี้…ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ท่านยมราชซิวหลิงส่ายหัว “รู้เพียงเขาคือปีศาจไม้ที่มีความคิดแล้ว”
ปีศาจไม้!
“ดูท่าทางพวกเราต้องไปโลกปีศาจสักรอบแล้ว” หยวนเจียงครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว “เรื่องไม่อาจรอช้า ศิษย์หลาน พวกเราออกเดินทางตอนนี้เถอะ”
“ได้!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
พวกเขาไม่ได้รีรอ เมื่อรับรู้ถึงปีศาจนั้นจากท่านยมราชซิวหลิงแล้ว ก็ขอให้เขาช่วยเปิดประตูยมโลก พาอาจารย์ปู่ที่กินขนมเสร็จเดินเข้าไปในประตูโลกด้วยกัน
พวกเขามัวแต่ติดตามอีกฝ่าย จึงจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ในใจนั้นรู้สึกเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง ช่างเถอะ ไม่สำคัญ!
เถิงสีที่ไม่สำคัญ: “…”