ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 188 มุ่งหน้าหุบเขาหมอ
“ช่วงก่อนข้าส่งตำราการรักษาที่อาจารย์ปู่ให้มาไปทางใต้” ถึงแม้ชางหยางจะรั้งท้าย คะแนนสอบข่ายพลังไม่เคยมากกว่าสามสิบ แต่ว่าวิชาการรักษาของเขายังพอใช้ได้
เนื่องจากความแตกต่างในระบบการศึกษา อวิ๋นเจี่ยวจึงไม่ได้เปิดห้องเรียนสอนการรักษาเสียที ชางหยางฝึกฝนด้านหมอรักษาพลังลมปราณโดยเฉพาะ ดังนั้นเธอจึงมอบตำราที่อาจารย์ปู่ถ่ายทอดให้เธอไป พร้อมทั้งยังแนบตัวอย่างและคำอธิบายอย่างละเอียดไปด้วย
“ชางหยางบอกว่าพบผู้ป่วยพิเศษคนหนึ่ง อาการค่อนข้างซับซ้อน พื้นฐานวิชาของเขาแตกต่างจากข้า วิธีการรักษาบนตำราเขาไม่อาจซึมซับได้ คำอธิบายของข้าเขาก็อ่านไม่เข้าใจ ไม่กล้าที่จะลงมือ ดังนั้นจึงเรียกข้าไปช่วยดู”
“เจ้าจะไปหุบเขาหมอ?!” ชายแก่ตะลึง
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “สำนักเทียนซือมีข่ายพลังขนส่งพอดี ข้าปลอกไช่เท้านี้เสร็จก็ออกเดินทาง”
สีหน้าของชายแก่ดำลงในทันที ก่อนจะพูดขึ้น “เช่นนั้น…เจ้าหนู ครั้งนี้เจ้าจะพาอาจารย์ปู่ไปด้วยหรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง “ข้าไปไม่นาน!” พาอาจารย์ปู่ไปทำไม
“ไม่ใช่…” ชายแก่ร้อนใจขึ้นมาทันที “เจ้าจะทิ้งให้อาจารย์ปู่อยู่ในอารามเช่นนี้ ไม่กลัวท่านโกรธขึ้นมา อิ้งหลุนจะซวยเอา!” ทั้งสองคนมีความแค้นต่อกันอยู่นะ!
“ไม่หรอก!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหน้า “อาจารย์ปู่เป็นคนมีเหตุผล”
“…” ไม่! มีเพียงเจ้าที่รู้สึกว่าอาจารย์ปู่มีเหตุผล!
อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้าตบไหล่เขา ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องเรียนรู้การดูแลอาจารย์ปู่!”
“ไม่ได้จริงๆ!” ครานี้ชายแก่จะร้องไห้ออกมาจริงๆ เขารั้งอวิ๋นเจี่ยวเอาไว้ “ข้าไม่สน อย่างน้อยเจ้าต้องพาข้า อาจารย์ปู่ หรืออิ้งหลุนไปคนหนึ่ง!” ต้องเกิดเรื่องแน่
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
พวกท่านเป็นเด็กหรือไง?!
——————
ภายาใต้การขอร้องของชายแก่ สุดท้ายอวิ๋นเจี่ยวจึงทำได้เพียงพาอาจารย์ปู่ไปด้วย อย่างน้อยเมื่อเทียบกับสองคนที่เหลือ อาจารย์ปู่ยังมีประโยชน์ในเวลาคับขัน ส่วนอีกสองคน คนหนึ่งพูดมาก อีกคนใช้เงินสิ้นเปลือง นอกจากเป็นตัวถ่วงแล้วไม่มีประโยชน์อย่างอื่น
อาจารย์ปู่ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษอะไรกับการออกไปข้างนอก ตั้งแต่รู้ว่าแปลงกายสามารถปิดบังเสน่ห์ของตนเองแล้ว เขาก็หลงใหลในกิจกรรมออกนอกอารามขึ้นมา บางครั้งเขายังตามชายแก่ไปซื้อวัตุดิบในตลาด อีกทั้งยังรู้ราคามากกว่าคนออกเงินอย่างอวิ๋นเจี่ยวเสียอีก กองผักสดสำหรับทำผักดองด้านหลังสวนนั้น ก็เป็นเขาที่นำกลับมา
ตอนที่อวิ๋นเจี่ยวมาถึงสำนักเทียนซือ คนของหุบเขาหมอรอคอยอยู่ตรงนั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้รีรออะไรมากมาย หลังจากที่ทักทายเจ้าสำนักสวีแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปยังข่ายพลังขนส่งทันที
เนื่องจากหมอรักษาพลังลมปราณในสำนักเทียนซือส่วนใหญ่มาตากหุบเขาหมอ ดังนั้นในสำนักจึงมีการวางข่ายพลังขนส่งอยู่แล้ว การเดินทางจึงสะดวกอย่างมาก แสงสีขาวของข่ายพลังประกายขึ้น พวกเขาก็มายืนอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวแล้ว
ตรงหน้าคือแปลงยาที่ไร้จุดสิ้นสุด ด้านขวาของแปลงยาเต็มไปด้วยกระโจมจำนวนไม่น้อย เมื่อเทียบกับสำนักอื่นที่ยิ่งใหญ่และเคร่งขรึมแล้ว หุบเขาหมอช่าง…เรียบง่าย! หากไม่ใช่ภายในแปลงยานั้นเต็มไปด้วยยาชนิดต่างๆ แม้แต่หญ้าข้างทางก็เป็นวัตถุดิบที่สามารถเอามาทำเป็นยาได้ สถานที่ตรงหน้าดูเหมือนหมู่บ้านหุบเขาขนาดเล็ก อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ต้องการความช่วยเหลือค้ำจุนอีกด้วย
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองด้วยความประหลาดใจ เดินทีคิดว่าเป็นโรงพยาบาลชั้นนำขนาดใหญ่ สุดท้ายกลับพบหุบเขาหมดที่ ‘เข้าถึงง่าย’ ขนาดนี้ ทันใดนั้นเธอไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร
“อาจารย์อวิ๋น เชิญทางนี้! นายท่านอยู่ด้านหน้า!” ลูกศิษย์ที่นำทางชี้ไปยังบ้านมุงไผ่ที่โดดเด่นตรงหน้า
เฮ้อ…อย่างน้อยบ้านของนายท่านก็ไม่ใช่กระโจมฟาง อวิ๋นเจี่ยวเดินตามลูกศิษย์คนนั้นไป ระหว่างทางพบมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยนั่งถอนหญ้าอยู่บนพื้น
เพิ่งก้าวเท้าเข้าไปในสวนของบ้านไม้ไผ่ ชายหนุ่มที่เฝ้าอยู่นอกห้องดวงตาลุกวาว ก่อนจะเดินขึ้นมาต้อนรับด้วยสีหน้าตื่นเต้น หน้าตาของเขามีความคุ้นเคยเล็กน้อย
เขาทำความเคารพ “ทักทายอาจารย์อวิ๋น! ไม่เจอกันนาน อาจารย์สบายดีหรือไม่”
“ดี” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ท่านคือ…” พวกเธอรู้จักกัน?
สีหน้าของชายหนุ่มผงะไป แม้แต่รอยยิ้มบนหน้าก็แห้งไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจพร้อมแนะนำตนเอง “อาจารย์ ข้าคือชางผิง! คนที่ท่านส่งตำรามาให้”
“…” คนที่เธอส่งให้ไม่ใช่ชางหยางที่รั้งท้ายหรือ
“หลายเดือนก่อน พวกเรายังเคยพบหน้ากันที่สำนักเทียนซือ ตอนชวีฉิวหมิง”
“อ่อ…” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะตอบกลับ “สวัสดีๆ!”
ชางผิง: “…” ท่านจำไม่ได้ใช่หรือไม่!
○| ̄|_
“รั้ง…นายท่านชางละ?” อวิ๋นเจี่ยวเปลี่ยนประเด็น
ชางผิงถอนหายใจ ก่อนจะผลักประตูพร้อมนำทาง “อาจารย์กำลังรักษาคนป่วยอยู่ด้านใน อาจารย์เชิญ!”
อวิ๋นเจี่ยวลากอาจารย์ปู่เดินตามเข้าไป ทั้งสามคนเดินผ่านห้องด้านหน้าไปยังสวนที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะพบว่าสวนด้านหลังนั้นมีคนรวมตัวอยู่สี่ห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นชายแก่ที่อายุพอกับไป๋อวี๋ เขากำลังฝังเข็มให้คนที่นอนอยู่บนกระดานไม้ ด้านข้างมีคนอีกสี่ห้าคนกำลังกดมือเท้าของคนที่นอนอยู่ ราวกับกำลังห้ามไม่ให้อีกฝ่ายดิ้น
“อาจารย์…” ชางผิงเอ่ยเรียก
ชายแก่ผู้นั้นหันหน้ามา ก่อนจะเหลือบเห็นอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นดวงตาของเขาเป็นประกาย “สหายอวิ๋น! ท่านมาแล้ว!” เขารีบวางเข็มเงินในมือลง ก่อนจะพูด “ท่านรีบมาดู พลังวิญญาณบนตัวคนผู้นี้มีมากเกินไป ไม่ว่าข้าจะเดินเข็มอย่างไร ก็ไม่อาจสร้างเป็นข่ายพลังได้”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเดินตรงเจ้าไป กวาดตามองคนบนกระดานไม้ อีกฝ่ายดูเหมือนไม่มีบาดแผลภายนอก เพียงแต่บริเวณคอและข้อมือมีรอยกัด แต่ว่ารอยนั้นไม่ลึกมาก เพียงแค่ทำให้หนังถลอกไปเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงแต่บนรอยกัดนั้นกลับมีพลังสีดำซึมออกมา พลังสีดำนั้นกำลังมุดเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย ราวกับสีย้อมที่หยดลงในน้ำใส ตัวของอีกฝ่ายถูกย้อมไปด้วยสีดำจางๆ
สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวเคร่งเครียดขึ้น เธอเอื้อมมือไปจับชีพจรของอีกฝ่าย พร้อมทั้งตรวจร่างกายของอีกฝ่ายอย่างละเอียด พบว่าพลังสีดำนั้นแทรกซึมเข้าไปในเส้นชีพจรแล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะลามเข้าไปยังสติของอีกฝ่ายด้วย หากไม่ใช่ชางหยางใช้เข็มปิดเส้นชีพจรหัวใจและจุดสำคัญของอีกฝ่ายไว้ พลังสีดำนั้นคงจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างแล้ว
“เขายังมีอาการอย่างอื่นหรือไม่” เธอหันไปถามชางหยาง
“พลังวิญญาณบนตัวเขาราวกับสามารถส่งผลกระทบต่อสติได้” ชางหยางอธิบาย “ตอนที่ส่งเขามาที่นี่ เขาได้เสียสติไปอย่างสิ้นเชิง เห็นคนก็พุ่งเข้ากัด ภรรยาและลูกของเขาล้วนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้ง…” สีหน้าของเขาหนักใจยิ่งขึ้น “คนที่ถูกเขากัดนั้น ล้วนถูกพลังวิญญาณลุกลานและสลบไป เพียงแต่ไม่ได้อาการหนักเท่าเขา”
“ท่านหมายความว่ามันสามารถติดต่อได้?!” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง
“ใช่!” ชางหยางพยักหน้า คิ้วของเขาขมวดแน่น “ข้าไม่เคยพบพลังวิญญาณลักษณะนี้มาก่อน!”
“นี่ไม่ใช่พลังวิญญาณ!” อวิ๋นเจี่ยวพูด
“ฮะ?” ชางหยางผงะ “เช่นนั้นคือ…”
อวิ๋นเจี่ยวเงียบไปสักพัก เหลือบมองไปยังพลังสีดำบนบาดแผลของอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหัว “ตอนนี้ข้าก็ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่…”
เธอเห็นบาดแผลเช่นนี้เพียงสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือบนตัวของเจ้าจิ้งจอกน้อย อีกครั้งคือบนตัวของจี้เฉิน พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นเผ่ามาร! บนตัวคนเป็นครั้งแรกที่เห็น
อีกทั้งจี้เฉินเคยบอกไว้ว่า ที่เขาบาดเจ็บเป็นเพราะ…เจอกับเผ่าปีศาจ