ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 267 สามฝ่ายรวมตัว
เจ้าสำนักสวีเชิญท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์เข้าไปภายในตำหนักอย่างเคารพ อาจเป็นเพราะด้านหลังของท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์มีปรมาจารย์เสวียนเหมินหลายท่านติดตาม ทุกคนล้วนให้ความเคารพกับคนที่มาถึงก่อนอย่างมาก
หยวนเจียงและเหวินชิงก็ติดตามมาด้วย อาจเป็นเพราะคนจำนวนมาก เขาไม่ได้เดินเข้ามาคุยด้วย เพียงแค่สายตาเหลือบมามองอวิ๋นเจี่ยวและชายแก่เป็นครั้งครา
คนทั้งหลายนั่งลงยังไม่ทันไร บนท้องฟ้ามีการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์มาถึงแล้ว เมื่อเทียบกับท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ การมาของท่านมหาเทพอุดรสวรรค์มีความอลังการมากกว่า คนยังมาไม่ถึง แต่ท้องฟ้ากลับส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่ว อีกทั้งยังปะปนไปด้วยเสียงมังกร ทุกคนจึงทำได้เพียงเดินออกไปรอต้อนรับอีกครั้ง
เห็นเพียงแต่บนท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆมงคลเจ็ดสี ร่างของมังกรเก้าตัวปูเป็นทางกว้างมุ่งตรงมายังสำนักเทียนซือที่อยู่ด้านล่าง ร่างของท่านเทพลอยลงมาจากก้อนเมฆอย่างเชื่องช้า
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคน ชุดสีทองที่สวมใส่มีความซับซ้อนมากกว่าของท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ หน้าตามีความคล้ายคลึงกัน แต่ดูอายุมากกว่าเล็กน้อย ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าเขาคือท่านมหาเทพอุดรสวรรค์
“สวีชิงเฟิงแห่งสำนักเทียนซือคารวะท่านมหาเทพอุดรสวรรค์!” เจ้าสำนักสวีเดินขึ้นหน้าคารวะอีกครั้ง
ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์มองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาออกอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความเป็นมิตรเหมือนดั่งท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ เขาราวกับไม่เห็นมนุษย์อยู่ในสายตา สาวเท้าเดินเข้าไปภายในตำหนักโดยตรง
เทพรับใช้ข้างตัวเขาชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะหันมาถลึงตาใส่ทุกคน เขาคือท่านเทพคนแรกที่ลงมาบอกให้พวกเขายกพื้นที่ให้
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว มีเจ้านายแบบไหนก็มีคนรับใช้แบบนั้นเสียจริง ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์คงเหมือนกับท่านมหาเทพทักษิณสวรรค์ก่อนหน้านี้ พวกเขาดูถูกมนุษย์โลกล่างอย่างพวกเรา อาจารย์อวิ๋นเคยบอกว่าคนเหล่านี้เรียกว่าอย่างไร…ใช่! การเหยียดเผ่าพันธุ์!
เหล่าผู้อาวุโสมีไฟโกรธลุกโชนขึ้นมาภายในใจ แต่พวกเขาไม่แสดงมันออกมา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากสนใจพวกเขา พวกเขาก็ไม่อยากเสนอหน้าเข้าไป อย่างไรก็ให้ยืมพื้นที่แล้ว
ท่านมหาเทพอุดรสวรรค์เดินเข้าตำหนักโดยไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ เมื่อเขาเห็นท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ที่นั่งอยู่ด้านขวาของตำหนัก สีหน้าของเขาดำลงทันที ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นออกมา“สิงซี เจ้ามาเร็วเชียว! อดทนรอไม่ไหวเช่นนี้เลย?”
น้ำเสียงของเขาปนเสียดสี แต่สิงซีไม่มีท่าทีโกรธเคือง เขาวางแก้วชาในมือลง ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ที่ไหนกัน เพียงแค่มาเร็วกว่าท่านมหาเทพสิงเย่ครึ่งถ้วยน้ำชาเท่านั้น อุดรสวรรค์อยู่ห่างไกลกว่าบูรพาสวรรค์ พี่สามต่างหากที่มารวดเร็ว!”
สีหน้าของสิงเย่ดำลง ความโกรธภายในดวงตาลุกโชน แต่ก็ถูกข่มลงไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าพูดเก่งเหมือนเคย!”
ท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์ไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยิ้มอย่างเป็นมิตรมากกว่าเดิม
อาจเป็นเพราะคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น สิงเย่จึงไม่ได้ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายต่อไป เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามสิงซี ก่อนจะมองไปยังที่ว่าง “อะไรกัน สิงเหิงยังมาไม่ถึงหรือ! หรือว่าจะไม่กล้ามา?”
“ในเมื่อพี่สองรับปาก นางก็ไม่มีทางผิดคำพูด” สิงซีมองไปยังท้องฟ้าด้านนอก “คงจะใกล้ถึงแล้ว”
สิงเย่เห็นอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ สีหน้าเสียดสียิ่งชัดเจนมากขึ้น พวกเขาพี่น้องสี่คน คนที่เขาไม่ชอบที่สุดคือสิงซี ทั้งที่มีจุดประสงค์ในการมาเหมือนกับเขา ต้องการยืมมือยมโลกข่มประจิมสวรรค์ของสิงเหิง แต่เขากลับสามารถแสร้งทำเป็นเคารพพี่น้อง ทำให้คนเห็นรู้สึกเกลียดได้
พวกเขาพี่น้องแย่งกันมาหลายพันปี เดิมทีไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันอยู่แล้ว ถึงจะรวมตัวกันในบางครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรจะพูดคุย บางทีพูดเพียงสองสามประโยคก็เงียบกันไป เทพบริวารของพวกเขาก็ไม่อาจส่งเสียงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนของสำนักเทียนซือ
ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงัดไปในเวลาหนึ่ง ทำได้เพียงนั่งรอการมาถึงของท่านมหาเทพประจิมสวรรค์สิงเหิงเท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายรอราวครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าจึงมีการเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง มหาเทพประจิมสวรรค์มาถึงแล้ว เมื่อเทียบกับความอลังการของท่านมหาเทพอุดรสวรรค์ ท่านมหาเทพประจิมสวรรค์สิงเหิงไม่มีทีท่ายอมแพ้แม้แต่น้อย นอกจากเมฆมงคล เสียงสวรรค์ แสงสวรรค์แล้ว ยังมีฝนดอกไม้ และเสียงนกร้องตามมาด้วย คนของสำนักเทียนซือในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน จึงจำใจต้องยืนรอรับกลีบดอกไม้และขนนกที่ตกลงมาอยู่หน้าตำหนัก ก่อนจะเห็นท่านมหาเทพประจิมสวรรค์ค่อยๆ ลอยตัวลงมา
เมื่อเทียบกับเหล่าลูกศิษย์เสวียนเหมินด้านหลังสิงซี และเหล่าเทพที่มีพลังแข็งแกร่งด้านหลังสิงเย่แล้ว ท่านเทพด้านหลังของสิงเหิงเรียกได้ว่า…งดงาม! เหล่าเทพที่ตามหลังมาล้วนเป็นชาย แต่ละคนหน้าตารูปงาม ราวกับไปทำหน้ามาจากเกาหลี หากเทียบกันด้วยรูปลักษณ์ บูรพาและอุดรทิศต่างพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ตัวของสิงเหิงเองยิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้าตาของนางงดงามจนน่าตกตะลึง แม้แต่เทพหญิงที่สิงเย่นำมาด้วยนั้นก็ไม่อาจเทียบได้
เจ้าสำนักสวีล้วนตกตะลึงกับเหล่าเทพชายด้านหลังท่านมหาเทพประจิมสวรรค์ แม้แต่คำพูดที่จะกล่าวทักทายก็ชะงักไป อีกฝ่ายเดินเข้าไปภายในตำหนักอย่างไม่สนใจคนอื่นราวกับต้องการบอกว่าหากหน้าตาอัปลักษณ์ไม่มีสิทธิคุยกับข้า
เจ้าสำนักสวี “…”
เหล่าผู้อาวุโส “…”
มีความรู้สึกเหมือนถูกดูถูก
สิงเหิงเดินเข้ามาในตำหนักก็พบกับคนที่มารออยู่ทั้งสอง คิ้วของนางขมวดขึ้นทันที ก่อนจะมองสิงเย่แบบไม่พอใจก่อนหนึ่งที ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของสิงซี
“พี่สองงานยุ่งเสียจริง เวลานี้ถึงจะมาถึง” สิงเย่มองสิงเหิงอย่างไม่พอใจ คำที่พูดออกมาล้วนเป็นการสร้างศัตรู “หากท่านดูแลไม่ไหว หรือไม่มอบประจิมสวรรค์ให้พวกน้องดูแล?”
สิงเหิงสีหน้าเย็นชา ก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “ฮึ สิงเย่ ไม่เจอกันหลายร้อยปี นับวันเจ้ายิ่งอัปลักษณ์ขึ้น แต่ฝันเจ้านับวันยิ่งสวยงามขึ้น!”
“เจ้า…” สิงเย่โกรธ
“ไม่ต้องพูดมากพวกเจ้าเรียกข้ามาสถานที่เช่นนี้เพื่อเหตุใด” สิงเหิงพูดด้วยสีหน้ารำคาญใจราวกับโกรธเคืองทั้งสองคนที่เรียกนางลงมาเป็นอย่างยิ่ง
“พี่สอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสวรรค์และยมโลก เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นพวกข้าจึงต้องออกมา” สิงซีพูด
“ยมโลก?” สีหน้าของสิงเหิงเปลี่ยนไป
หากเป็นเมื่อสองปีก่อน สวรรค์ไม่เคยสนใจยมโลกอยู่แล้ว ยิ่งสิงซีใกล้ชิดกับยมโลก อีกทั้งยังทำพันธสัญญาอะไรอีก แต่ทุกอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อหนึ่งปีก่อน เพราะว่าราชายมโลกตื่นขึ้นแล้ว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าราชายมโลกเป็นเพียงคนที่อยู่ในเรื่องเล่า ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ไม่มีใครรู้ความสามารถของเขา อีกทั้งไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพียงแค่เขาลงมือก็สามารถทำลายทักษิณสวรรค์ทั้งหมด เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้สวรรค์ตกตะลึง ยิ่งทำให้พวกเขาต้องพิจารณาความสามารถของยมโลกใหม่
พลังของท่านมหาเทพทักษิณสวรรค์ไม่ต่ำ หรือจะบอกได้ว่ามากกว่าพวกเขาอย่างมาก แต่คนเช่นนี้กลับไม่สามารถรอดน้ำมือของราชายมโลกได้ ความสามารถเช่นนี้ทำให้พวกเขาคิดถึงใครบางคนเมื่อหมื่นปีก่อน