ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 273 เรื่องสำคัญ
เนื่องจากอาจารย์ปู่นวดแป้งไว้ล่วงหน้าแล้ว การทำขนมในครั้งนี้จึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พิมพ์แบบและนำเข้าไปอบในเตาหลอมอัตโนมัติ ในไม่ช้าบนยอดเจดีย์ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของขนม
เยี่ยยวนหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งป้อนไปยังริมฝีปากของอวิ๋นเจี่ยว สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
อวิ๋นเจี่ยวก้มหน้ากัดคำหนึ่ง ฝีมือการอบขนมของอาจารย์ปู่ถึงระดับเชี่ยวชาญแล้ว ขนมที่อบออกมาอร่อยและกรอบ หวานแต่ไม่เลี่ยน หากเปิดร้านคงต้องขายดีเป็นแน่
“อร่อยมาก” นางตอบอย่างจริงใจ
พูดจบดวงตาของอีกฝ่ายลุกวาวเป็นประกาย ก่อนจะยัดขนมอีกครึ่งที่เหลือเข้าปากของตนเอง จากนั้นหยิบขวดสีขาวด้านข้างขึ้นมาใส่ขนมที่เพิ่งอบเสร็จ
อวิ๋นเจี่ยวมองดูเศษขนมที่ติดอยู่มุมปากของอีกฝ่าย หัวใจอดสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ทันใดนั้นนางรู้สึกหน้าร้อนผ่าว จึงเอื้อมมือออกไปช่วยเก็บขนม ขวดใบนี้อาจจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นใหม่อาจารย์ปู่หลอมออกมา ลักษณะของมันมีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่มันสามารถจุขนมได้เป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งบรรจุขนมทั้งหมดเข้าไปภายในขวด อาจารย์ปู่จึงทำการผนึกปากขวดพร้อมกับวางข่ายพลังชั้นแล้วชั้นเล่า จากนั้นจึงหยุดลงอย่างพึงพอใจ
อวิ๋นเจี่ยว “…” ขนมขวดเดียวต้องวางข่ายพลังทำลายล้างสิบกว่าชั้นหรือ
“เสร็จแล้ว” เยี่ยยวนเก็บขวดในมือ ก่อนจะหันไปชี้แป้งกองใหญ่ด้านข้าง “ต่อไปทำรสแครอท”
“…” ยังทำอีก? อวิ๋นเจี่ยวผงะ กองเมื่อกี้พอกินห้าหกวันแล้วไม่ใช่หรือ
ในขณะที่กำลังจะพูดด้วยเหตุผล แต่เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของอีกฝ่าย นางก็ทำใจปฎิเสธไม่ได้ เฮ้อ เอาเถอะ! อย่างไรแผนการที่จะเขียนคงไม่สำเร็จแล้ว อีกทั้งช่วงนี้นางยุ่งมาก ไม่มีเวลาช่วยอีกฝ่ายทำขนม วันนี้ตามใจเขาหน่อยแล้วกัน
“เช่นนั้นท่านนวดแป้ง”
“ได้”
พูดจบเขาสะบัดมือขึ้น เห็นเพียงแต่แป้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลอยเข้ามา จากนั้นแสงสว่างของคาถาเปล่งประกาย อุปกรณ์ทุกอย่างล้วนทำงาน
อาจารย์ปู่นวดแป้งขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญ อวิ๋นเจี่ยวมองดูท่าทางตั้งใจของเขา ก่อนจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป จนกระทั่งอบขนมเจ็ดแปดรสชาติเสร็จ อีกทั้งมองดูอาจารย์ปู่เก็บพวกมันลงในขวดที่แตกต่างกัน นางจึงนึกบางอย่างขึ้นได้
นางรู้แล้วว่าขาดอะไรไป…ขนมที่อาจารย์ปู่อบครั้งนี้ไม่ได้แบ่งให้นาง! เดิมทีเขามักจะแยกเก็บไว้ให้นางส่วนหนึ่ง แต่ครั้งนี้นอกจากชิ้นที่นางลิ้มลองในตอนแรกแล้ว ชิ้นอื่นล้วนถูกบรรจุเข้าในขวด แม้แต่ส่วนของนางก็ไม่เหลือเอาไว้ อีกฝ่ายกระทำราวกระรอกน้อยที่กำลังกักตุนอาหารในช่วงหน้าหนาว เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของอีกฝ่ายผิดปกติ
“อาจารย์ปู่…” นางเรียกอีกฝ่าย
“อืม?”
“ท่านมี…” นางกวาดตามองอีกฝ่ายขึ้นลง ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง นางเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไรจะบอกข้าหรือไม่”
มือที่กำลังเก็บขนมของเขาชะงักไป ก่อนจะหันหน้าไปมองนาง ดวงตาที่เปล่งประกายจากการอบขนมมืดมนลงอย่างช้าๆ คิ้วของเขาขมวดมุ่นขึ้น สักพักเขาดึงมือของนางขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “เจี่ยวเจี่ยว...”
“เจ้าหนู!!” เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงของชายแก่ดังขึ้นมาจากด้านล่างเจดีย์อย่างกะทันหัน “เจ้าอยู่ด้านในหรือไม่ อาจารย์อาหลงมา มีเรื่องด่วน”
อาจารย์อาใหญ่?
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะผลักหน้าต่างออกไปตอบรับอีกฝ่าย “ข้าลงไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบ นางหันไปมองเยี่ยยวน พลางช่วยเก็บขนมพลางพูด “อาจารย์ปู่ อาจารย์อาใหญ่มาต้องเป็นเรื่องเทพหวาซูแน่ พวกเราลงไปก่อน”
คิ้วของเยี่ยยวนขมวดมุ่น สักพักถึงได้ตอบ “…อืม” ก่อนจะเสกคาถาเก็บกวาดขนมที่เหลือเข้าไปในขวด จากนั้นจูงมือของอวิ๋นเจี่ยวเดินลงเจดีย์ไป
ทันทีที่ทั้งสองคนย่างเท้าเข้าไปในห้องโถงก็พบคนในชุดสีขาวกำลังใช้ผ้าขาวสะอาดเช็ดเก้าอี้ที่ไร้ฝุ่นตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจัง
“อาจารย์อาหลง” อวิ๋นเจี่ยวเรียกด้วยความระอา
“ข้าว่าศิษย์หลาน…” เขาเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก ก่อนจะพบเยี่ยยวนที่เดินเข้ามา ทันใดนั้นดวงตาลุกวาวเป็นประกาย “อาจารย์ ท่านมาแล้ว!”
พูดจบเขาก็หยุดเช็ดเก้าอี้ ทิ้งผ้าในมือไป ก่อนจะทำความเคารพอีกฝ่าย “ลูกศิษย์คารวะอาจารย์”
เยี่ยยวนไม่ได้ตอบรับเหมือนเคย เพียงแต่สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“อาจารย์อาหลงมีเรื่องอะไร” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“มีเรื่องสำคัญ” เขาตอบกลับ ก่อนจะมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ที่อยู่ก่อนหน้านี้ “นั่งลงก่อน เรื่องนี้…เดี๋ยว! เจ้าไปนั่งตรงข้าม อย่านั่งฝั่งข้า ศิษย์หลานไป๋เจ้าข้ามไปด้วย! ไม่สมดุลแล้ว!”
ชายแก่ “…”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ท่านอดทนหน่อยได้หรือไม่ ตกลงนี่เป็นที่ของใครกันแน่!
ทั้งสองคนปากกระตุก ก่อนจะเดินไปทางด้านซ้าย คิ้วของหลงฉางผ่อนคลายลง เขาหลบออกไปด้านข้างหนึ่งก้าว ก่อนจะชี้ไปยังเก้าอี้ที่ตนเพิ่งเช็ด “อาจารย์ เชิญ…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ เยี่ยยวนก็หันหลังเดินไปนั่งข้างอวิ๋นเจี่ยวแล้ว
หลงฉาง “…”
“เรื่องของลั่วคายหยวน อาจารย์อาหลงสืบกระจ่างแล้ว?” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“ใช่” หลงฉางมองคนทั้งสามตรงข้ามก่อนจะมองตัวเองที่นั่งโดดเดี่ยว เขาข่มความคิดที่จะไปลากคนหนึ่งมานั่งลง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยความกระวนกระวาย “หวาซูสารภาพแล้ว”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะพูดอย่างเชื่องช้า “หนองน้ำภายใต้หุบเหวนั้น เดิมทีเป็นสถานที่ฟักไข่ของผู้อยู่เบื้องหลังหวาซู หลังจากมังกรน้ำร้ายกาจตายไป เขาเป็นกังวลว่าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ดังนั้นจึงไปตรวจดู แต่บังเอิญพบเข้ากับลั่วคายหยวน ดังนั้นจึงตัดสินใจลงมือ เพียงแต่ลั่วคายหยวนเป็นลูกศิษย์ของเมืองหมิ่นเฟิน ถึงแม้เขาจะหนีออกไปได้แต่ร่างวิญญาณของเขาก็ถูกตีสลาย ทำให้ไร้สติสัมปชัญญะไป ดังนั้นจึงโจมตีมนุษย์ ต่อมาถูกลูกศิษย์เสวียนเหมินผนึกเอาไว้ จนถูกหวาซูตามหาเจอ”
สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวเคร่งเครียด นางครุ่นคิด “คนเบื้องหลังของหวาซูคือ…ลูกชายของสิงเหิงท่านมหาเทพประจิมสวรรค์จริงหรือ”
“ตามที่หวาซูพูดก็เป็นเช่นนั้น” หลงฉางพยักหน้า
“แต่เขาเป็นเพียงลูกมังกรไม่ใช่หรือ” ชายแก่พูดขึ้น ตามที่อาจารย์อาหยวนพูด มังกรที่มีอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปีเท่ากับเด็กสองสามขวบเท่านั้น มังกรเช่นนี้จะวางแผนเหล่านี้ได้อย่างไร
“เขาฟักออกมาไม่ถึงร้อยปีจริง” คิ้วของหลงฉางขมวด สีหน้าปรากฏความฉงน ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่หวาซูบอกว่า เขามีสัมปชัญญะตั้งแต่เกิด รับรู้เรื่องในโลกนี้ทั้งหมด อีกทั้งตอนที่อยู่ในไข่ เขาก็ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างปลุกระดมเหล่าเทพของประจิมสวรรค์ หวาซูคือหนึ่งในนั้น อีกทั้งมังกรนี้มีกลอุบายมาก หลายปีมานี้ดึงเทพจำนวนมากมาเป็นพรรคพวกลับหลังสวรรค์ทั้งสี่ ที่หวาซูใช้ลูกแก้วกำเนิดวิญญาณเพาะเลี้ยงเส้นชีพจรเทพก็เพื่อให้เขาฟักตัวออกมา”
“มีสัมปชัญญะตั้งแต่กำเนิด…” อวิ๋นเจี่ยวฉงน “บนโลกนี้มีคนที่เกิดมาแล้วรู้เรื่องตั้งแต่เกิดจริงหรือ”