ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 285 กำเนิดดินแดนลับ
อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงหยุดพูด นางถามกลับ “เกิดอะไรขึ้น”
“เฮ้ย!” อิ้งหลุนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม “เยี่ยยวนไม่เคยบอกเจ้าแม้แต่น้อย?”
“อะไร” อวิ๋นเจี่ยวยิ่งฟังยิ่งฉงน “อาจารย์ปู่ควรบอกอะไรข้า”
“เรื่องร่างกายของเจ้าอย่างไรกันล่ะ” สีหน้าของอิ้งหลุนประหลาดมากขึ้น เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะเริ่มก่นด่าขึ้นมาอีกครั้ง “เยี่ยยวนไม่เคยบอกอะไรกับเจ้าเลยจริงๆ สินะ เขายังมีหน้ากินหญ้าข้างบ้าน ล่อลวงแม้แต่ศิษย์หลานของตนเอง ช่างไร้ยางอาย เลวทราม เดรัจฉาน…”
“เดี๋ยว!” อวิ๋นเจี่ยวรีบขัดขึ้น ก่อนจะถามต่อ “ท่านพูดให้กระจ่าง หมายความว่าอย่างไร ร่างกายของข้าเป็นอะไร” อย่างน้อยนางก็เป็นหมอ แต่นางไม่พบความผิดปกติในร่างกายของตนเอง ทำไมอีกฝ่ายพูดเหมือนตนเองเป็นโรคร้ายแรง
“เจ้า…” อิ้งหลุนตระหนักคำพูดที่จะใช้ ก่อนจะมองนางทีหนึ่ง “ข้าพูดเช่นนี้แล้วกัน ศิษย์หลานตัวน้อยเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ชิงหยางนานแค่ไหนแล้ว”
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ถึงนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามทำไม แต่ก็ยังคงตอบตามความจริง “แปดปีเจ็ดเดือน” นับตั้งแต่วันที่นางข้ามมิติมา
“เจ้ารู้สึกว่าแปดปีมานี้ ร่างกายของตนเองมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่” อิ้งหลุนถามต่อ
“เปลี่ยนแปลง…” นางนิ่งงันไป ก่อนจะรู้สึกตกใจอย่างมาก เพราะว่า…
ไม่มี!
นางไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแม้แต่น้อย มองไปยังมือทั้งสองข้างของตนเองอย่างฉงน คนอื่นอาจไม่รู้สึก แต่ในฐานะที่เป็นหมอ นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของนางเหมือนกับตอนแรกที่เข้ามาชิงหยาง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ผิวพรรณ หรือว่าความยาวของเส้นผม ล้วนไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลายปีมานี้ แม้กระทั่งการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่เคยเกิดขึ้น
ตามหลักแล้ว ตอนที่นางมาถึงชิงหยางอายุยี่สิบแปดปี ผ่านไปแปดปี เวลานี้นางควรอายุสามสิบหกแล้ว ถึงจะอยู่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีการบำรุงรักษาชั้นสูง แต่อย่างน้อยก็สามารถมองเห็นร่องรอยของอายุ แต่นาง…ราวกับไม่มีแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่านับวันยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น แม้กระทั่งอดหลับอดนอนออกข้อสอบสามสี่ชุด แต่วันที่สองนางยังคงไปสอนได้ตามปกติ
ก่อนหน้านี้นางคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะการฝึกฝนวิชากลยุทธ์ของตนเอง ทำให้ร่างกายแตกต่างจากคนทั่วไป อย่างชายแก่ แม้จะเพิ่งถูกนางบังคับให้ฝึกฝนอย่างจริงจังตอนอายุหกสิบกว่าแล้ว แต่ร่างกายของเขานับวันยิ่งดีขึ้น ผมสีขาวเต็มหัวนั้นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ อีกทั้งทนไม้ทนมือไม่เหมือนชายแก่ทั่วไป
นางคิดว่าตนเองเป็นเช่นนี้เสมอมา แต่หลังจากที่ฟังอิ้งหลุนพูด ราวกับเรื่องราวไม่ใช่อย่างที่นางคิด…
เมื่อนางครุ่นคิดอย่างละเอียด ชายแก่ร่างกายแข็งแรงขึ้นเป็นเพราะหลังจากดูดซับพลังลมปราณแล้ว พลังลมปราณจะชำระล้างเส้นลมปราณในร่างกายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนาง เนื่องจากเส้นลมปราณเสวียน ทำให้ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ซึ่งหมายความว่า นางไม่เคยใช้พลังลมปราณในการบำรุงร่างกาย! เช่นนั้นร่างกายของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลานานได้อย่างไรกัน
“อิ้งหลุน ร่างกายข้า…แตกต่างจากคนอื่นหรือ”
“แน่นอน!” เขาพยักหน้ารับ “ดูท่าเจ้าไม่รู้แม้แต่น้อยจริงๆ ศิษย์หลานตัวน้อย ที่จริงเจ้า…”
เขาถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะอธิบาย พื้นดินใต้เท้ากลับสั่นไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ส่งผลให้ห้องครัวแทบพังทลายลง กับข้าวบนเตาเกือบจะร่วงหล่นลงบนพื้น
อิ้งหลุนตกใจ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปรับเอาไว้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้โล่งใจ แรงกระแทกขนาดใหญ่กวาดพัดมาจากบริเวณไกล บังเอิญที่ค่ายกลในอารามเพิ่งโดนสีฝานทำลายไป ทำให้ไร้การป้องกัน อีกทั้งหลายวันนี้เป็นช่วงพายุบนภูเขาขุยซาน
นางได้ยินเพียงเสียงลมพัดโหมกระหน่ำอย่างแรงด้านนอก กระเบื้องบนหลังคาถูกพัดหลุดไป แม้แต่อาคารภายในอารามก็ไม่อาจเล็ดรอดไปได้ กำแพงล้มระเนระนาด ในขณะที่พายุนั่นกำลังจะพัดมาทางห้องครัว
อิ้งหลุนสีหน้าดำลง พลังวิญญาณบนตัวของเขาหลั่งไหลออกมาอย่างมหาศาล นาทีถัดมาพลังกลุ่มนั้นครอบคลุมทั้งสำนักชิงหยาง รวมไปถึงแปลงผักด้านหลังภูเขา ต้านทานแรงกระแทกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นเอาไว้
โชคดีที่แรงกระแทกกลุ่มนั้นมาเร็วไปเร็ว ไม่ถึงชั่วครู่บริเวณรอบด้านก็เงียบสงบลง
อวิ๋นเจี่ยวรีบเดินออกไป เมื่อกี้…เกิดอะไรขึ้น
“เจ้าหนู!” ชายแก่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ด้านหลังตามมาด้วยวิญญาณมังกรที่ตื่นตระหนก “เจ้าหนู แผ่นดินไหวกับพายุเมื่อกี้คืออะไร เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เฟิงเสี่ยวหวงขดตัวเป็นยาจุดกันยุง ก่อนจะพูดกับอิ้งหลุน “ใต้…ใต้เท้า เมื่อกี้ข้ารับรู้พลังน่ากลัวกลุ่มหนึ่ง! มาจากทางนั้น!”
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมองไปตามทิศทางที่เฟิงเสี่ยวหวงชี้ ซึ่งเป็นทิศทางที่แรงกระแทกจู่โจมเข้ามา นางรู้สึกว่าทิศทางนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่าง แต่ไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันคืออะไร
“กลัวอะไร พระอาทิตย์แรงขนาดนี้ รีบกลับแปลงผักไป!” อิ้งหลุนมองเฟิงเสี่ยวหวงทีหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เพียงแค่สิ่งสกปรกที่หล่นลงมาจากด้านบนเท่านั้น ห่างไกลจากที่นี่ ไม่ต้องสนใจ”
“สิ่งสกปรก?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ในขณะที่นางกำลังจะถามต่อ กระจกพันลี้ข้างตัวกลับส่องแสงสว่างขึ้น
นางรีบหยิบกระจกออกมา ทันใดนั้นภายในกระจกปรากฏร่างของเจ้าสำนักสวี อีกฝ่ายทำหน้าร้อนรน “อาจารย์อวิ๋น เกิดเรื่องแล้ว! เมื่อครู่เจ้าสำนักอู๋ติ้งมารายงาน ทางใต้ของเมืองอี้ทางเขตแดนตะวันออกเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่กลางอากาศ ทำให้รัศมีโดยรอบหลายสิบลี้กลายเป็นเศษซากปรักหักพัง
เมืองอี้ทางเขตแดนตะวันออกอยู่ทางใต้ของชิงหยางราวร้อยลี้ แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวและแรงกระแทกส่งมาจากทางนั้น?
“อาจารย์!” เจ้าสำนักสวีพูดต่อ “เจ้าสำนักอู๋ติ้งรายงานว่า มีลูกศิษย์พบเห็นบางอย่างในรอยร้าวนั้น ราวกับ…ราวกับ…มีดินแดนอีกแห่งภายใน”
“ดินแดนอีกแห่ง?” อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างตกตะลึง สักพักพวกนางเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ต่างพูดออกมา “ดินแดนลับ!”
“ข้าก็รู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นคือดินแดนลับตามที่ตำราเขียนเอาไว้” เจ้าสำนักสวีพยักหน้า ใบหน้าไร้วี่แววความดีใจ มีเพียงคิ้วที่ขมวดมุ่น “แต่พลังที่หลั่งไหลออกมาจากรอยร้าวนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ราวกับยังเจือปนไปด้วยพลังเทพมหาศาล คนทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้ได้ ลูกศิษย์เสวียนเหมินบริเวณใกล้เคียงล้วนได้รับบาดเจ็บ”
“พลังเทพอีกแล้ว!” ชายแก่พูดด้วยสีหน้าโมโห “แดนสวรรค์อยู่อย่างเงียบสงบมาหลายปี คิดจะทำอะไรอีก”
“ข้าเองก็เป็นกังวลเช่นเดียวกัน! ดังนั้นจึงมารายงานอาจารย์อวิ๋นก่อน” สีหน้าของเจ้าสำนักสวีก็มีทีท่าโกรธเคือง เขาพูดต่อ “อาจารย์อวิ๋น ท่านเห็นว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้น “อย่าเพิ่งสนใจดินแดนลับแห่งนั้น ช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บก่อน อีกทั้งโยกย้ายประชาชนในรัศมีร้อยลี้ออกไป อย่าให้พวกเขาได้รับความเดือดร้อน จากนั้นแจ้งข่าวแก่สำนักใกล้เคียง ห้ามพวกเขาเข้าใกล้บริเวณนั้น พวกเราคอยจับตาดูสถานการณ์ก่อน”
“ได้!” เจ้าสำนักสวีตอบรับ ก่อนจะวางสายและส่งลูกศิษย์ไปช่วยเหลือ
อวิ๋นเจี่ยวจับกระจกในมือแน่น ทันใดนั้นนางมีความรู้สึกไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นมา