ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 296 กินอิ่มเสียที
“พวกข้าสัมผัสได้ถึงพลังทางด้านนี้จึงได้มุ่งหน้ามา” เจ้าสำนักสวีพลางหยิบอาวุธวิเศษออกมา พลางตอบ “อาจารย์วางใจ พวกข้าอพยพชาวบ้านทั้งหมดออกไปผ่านทางค่ายกลขนส่งก่อนที่จะมาหาท่าน พวกข้าไม่มีทางทิ้งอาจารย์ไว้คนเดียว”
เจ้าสำนักและท่านอาวุโสคนอื่นต่างพูดเสริม
“ใช่แล้วอาจารย์ เรื่องเช่นนี้จะขาดพวกข้าไปได้อย่างไรกัน”
“ใช่แล้ว พวกข้าล้วนเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาเดียวกัน พวกข้าเข้าใจว่าอาจารย์อยากแก้แค้น แต่อย่างน้อยก็ต้องมีพวกข้าอยู่ด้วย!”
“ข้าอยากสั่งสองคนพวกนี้ตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนแล้ว ได้โอกาสเสียที!”
“พวกชั่วช้านี้ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาอย่างไม่ยั้งมือ ไม่แก้แค้นไม่ใช่คนเสวียนเหมิน!”
“แก้แค้นแทนเจ้าสำนักเฉา!”
“แก้แค้นแทนชาวบ้านเมืองอี้!”
“…”
ทันใดนั้นขวัญกำลังใจของทุกคนล้วนทวีคูณ ดวงตาลุกโชนไปด้วยไฟโกรธคำพูดที่ต้องการโน้มน้าวให้ทุกคนกลับไปของอวิ๋นเจี่ยวกลืนกลับเข้าลำคอไปในทันที เธอถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชี้นิ้วไปยังเหล่าเทพเซียนที่อยู่ตรงข้าม ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยสีหน้าจริงนัง “ต่อยพวกเขาให้แหลกไปเลย!”
“ขอรับ!” คูณเอ็น
ทันทีที่สิ้นเสียงลูกศิษย์เสวียนเหมินจำนวนมากถืออาวุธวิเศษพุ่งเข้าไป สีหน้าไร้ความหวาดกลัวแม้แต่น้อย บนท้องฟ้าส่องสว่างประกายแสงของวิชาเวทขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนแรกเหล่าเทพเซียนยังไม่เห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตา ไม่ว่าจะมีทางแค่ไหนก็เป็นเพียงมนุษย์ไม่มีค่าแต่อย่างใดในสายตาเทพเซียนอย่างพวกเขา แต่ในไม่ข้าพวกเขาก็ค้นพบว่าตนเองคิดผิด
“นี่…นี่คืออาวุธสวรรค์?” มีเทพเซียนบางคนตกตะลึงกับอาวุธวิเศษในมือของทุกคน ก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกศิษย์เสวียนเหมินสิบกว่าคนต่อสู้กับอุดรสวรรค์และประจิมสวรรค์พวกเขาแอบดูอยู่ด้านข้าง เดิมทียังคิดว่าเป็นเพียงกรณีพิเศษเท่านั้น เพราะอาวุธสวรรค์ไม่ได้หลอมออกมาได้ง่ายดาย
แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เหตุใดในมือของคนเหล่านี้ถึงมีอาวุธสวรรค์เช่นนี้ได้ สิ่งสำคัญคืออาวุธในมือของเทพเซียนบางคนยังสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทำให้เวลาต่อสู้อาวุธที่อยู่ในมือหักทันทีที่กระทบเข้ากับของอีกฝ่าย
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นกับเทพเซียนทุกคน บางคนหยิบอาวุธลับออกมาก็สามารถตัดอาวุธของอีกฝ่ายหักได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งสำคัญคือ…เมื่ออาวุธของอีกฝ่ายหัก พวกเขากลับไม่เสียดายแม้แต่น้อย เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการจู่โจมเป็นวิชาเวท อีกทั้งโยนส่วนที่เหลือทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
ทิ้งไป…ทิ้งไป!
นอกจากนี้นังไม่พอ พวกเขาหยิบอาวุธอีกชิ้นหนึ่งออกมา ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด ซึ่งอาวุธอีกชิ้นก็เป็นอาวุธสวรรค์เช่นเดียวกัน
อาวุธสวรรค์…อาวุธสวรรค์!
ท่านเทพในทักษิณสวรรค์ค่างตกตะลึง นอกจากเหล่าเทพที่เคยฝึกฝนด้านการหลอมอาวุธแล้ว คนอื่นล้วนอิจฉาที่อีกฝ่ายมีอาวุธสวรรค์ในมือมากมายราวกับไม่มีวันหมด
เกิดอะไรขึ้น เป็นมนุษย์มีอาวุธชั้นดีเช่นนี้เชียวหรือ ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้!
w(゚Д゚)w
มีการเข้าร่วมของเจ้าสำนักสวีและเหล่าเจ้าสำนัก สถานการณ์จึงพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว เหล่าเทพเซียนกลางอากาศถูกโจมตีต้องล่าถอยออกไป แต่ก็เป็นเพียงช่วงที่เนี่ยชางกำลังดูดซับพลังจากดินแดนลับไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เท่านั้น
“ทุกคนอดทนหน่อย” อวิ๋นเจี่ยวเร่งมือในการวางค่ายกล “ใกล้เสร็จแล้ว!” ค่ายกลของเธอใกล้จะสำเร็จแล้ว
“ฮึ…สายไปแล้ว!” เสียงเด็กที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ
อวิ๋นเจี่ยวใจหล่นลงไปทันที เธอหันหน้าไปมองก่อนจะพบว่าเนี่ยชางที่นั่งสมาธิอยู่กลางอากาศในเดิมทีมาปรากฏตัวข้างเธอ
“คิดว่าข้าโง่เขลาเหมือนสองคนนั้นหรือ ถึงได้ดูไม่ออกว่าเจ้าเป็นตัวอันตรายที่สุด” สิ้นเสียง ฝ่ามือของเขาโจมคีออกมา
“เจ้าหนู!” ชายแก่ร้องเสียงหลง ก่อนจะพยายามวิ่งเข้ามา
แต่ก็ไม่ทันเสียงแล้ว ฝ่ามือของเนี่ยชางตบลงบนหน้าอกของอวิ๋นเจี่ยวอย่างแรง
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของลมพัดผ่าน ก่อนจะตัวเบาขึ้น คนทั้งคนลอยออกไปทางด้านหลัง ตรงหน้าปรากฏภาพความทรงจำราวกับหนังม้วน
จนกระทั่งตัวของเธอลอบออกไปหลายสิบเมตรและกระทบเข้ากับอะไรบางอย่างจึงหยุดลง เธอโซซัดโซเซไปทางด้านหลัง
“อาจารย์อวิ๋น อย่า!” เหล่าเจ้าสำนักต่างพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน ราวกับต้องการหยุดยั้งบางอย่าง สีหน้าฮึกเหิมกลายเป็นซีดเซียวในเวลานั้น
แต่ก็ไม่ทันการ อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเพียงตนเองทะลุอะไรบางอย่างเข้าไป ดวงตาของเธอมองเห็นเพียงสีฟ้าอ่อนที่บดบังอยู่ตรงหน้า
เวลานี้เธอรู้ตัวเองว่าชนเข้ากับอะไร มันคือค่ายกลที่กักขังหมอกฟ้าดินแดนลับส่วนเธอถอยเข้าไปภายใสหมอกสีฟ้า
“อาจารย์…” เหล่าเจ้าสำนักมองทิศทางที่อวิ๋นเจี่ยวหายไปอย่างตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านมหาเทพเนี่ยชางจะเล่นลักลอบด้านหลังอีกทั้งยังสำเร็จด้วย ในเวลานั่นอารมณ์สิ้นหวังและเศร้าโศกครอบคลุมทุกคน ภายในดวงตามีความขื้น
“ฮึ! ข้าไม่เคยดูถูกใครแม้แต่คนเดียว” เนี่ยชางหรี่ตามองทุกคน ก่อนจะพูดขึ้น “รวมถึงพวกเจ้า!”
หลังจากที่เห็นท่านทหาเทพทั้งสองสวรรค์พ่ายแพ้ต่อหญิงสาวผู้นั่น เขาจะไม่เตรียมการรับมือได้อย่างไร เขาพุ่งเป้าหมายไปขนตัวหญิงสาวที่พวกเขาเรียกว่าอาจารย์ตั้งแต่ต้น รอเพียงเวลาจู่โจมเท่านั้น
เนี่ยชางกำลังเพิ่มขึ้น พลังนั้นจู่โจมออกไปยังฝั่งตรงข้าอย่างไม่ลังเล
ทุกคนรู้สึกเพียงตัวหนักอึ้ง ร่างของพวกเขาราวกับถูกสะกดเอาไว้ ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยถูกเหล่าเทพเซียนฝั่งตรงข้ามทำร้ายเข้า ทำได้เพียงพยายามหลบหลีกการโจมตี
เนี่ยชางเดินมาทางพวกเขาทีละก้าว ราวกับจ้องการทำสงครามด้วยตนเอง แสงสีดำในมือประกายขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นสายฟ้าสีดำ จากนั้นก่อเกิดเป็นดาบยาวเล่มหนึ่ง
“ดูท่าดินแดนมนุษย์ในเวลานี้จะเป็นอันตรายต่อดินแดนสวรรค์เสียแล้ว ดังนั้นเสวียนเหมินต้องตาย!”
ทันทีที่สิ้นเสียงเขายกอาวุธสายฟ้าสีดำในมือขึ้นก่อนจะฟาดลงมายังผู้คน
ทันใดนั้นลมพัดกระหน่ำพื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับมีพายุกระโชก เมืองอี้ที่กลายเป็นซากปรักหักพังนั้นถูกลมพัดจนกระเบื้องหลังคาลอยขึ้นไปบนฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น” ไม่เพียงแต่เหล่าเทพเซียนที่ฉงน แม้แต่เนี่ยชางเองก็ผงะไป แต่เหล่าลูกศิษย์เสวียนเหมินกลับรับรู้ได้ว่าบริเวณรอบด้านมีพลังบางอย่างกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างเชื่องช้า
จากนั้นตามมาด้วยเสียงของบางอย่างแตกสลาย เห็นเพียงแต่ค่ายกลที่กักขังหมอกสีฟ้าเอาไว้นั้นแตกละเอียดย่างไร้สัญญาณ สิ่งที่น่าประหลาดคือหมอกสีห้าเหล่านั้นไม่ได้แพร่กระจายออกมา เพียงแต่ลอยขึ้นเหนืออากาศราวกับพายุหมุน อีกทั้งน้อยลงเรื่อยๆ
เวลาเพียงชั่วอึดใจ จากรัศมีหลายลี้หดลงจนกระทั้งหลายร้อยเมตร…จนกระทั่งหลายสิบเมตร…จนกระทั่งเหลือเพียงไม่กี่เมตร…สุดท้ายสลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงร่างที่ยืนอยู่กลางกระแสลมสาวเท้าเดินมาทางนี้อย่างช้าๆ
“อาจารย์!” เหล่าเจ้าสำนักดวงตาลุเป็นประกายในทันที
นางไม่เป็นอะไร ดีเสียจริง!
“เจ้าหนู!” ชายแก่วิ่งเข้าไปเป็นคนแรก แต่เมื่อวิ่งออกไปได้สองก้าว เขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน คนต่างหน้าราวกับมีบางอย่างเปลี่ยนไป
“เป็นไปไม่ได้!” สีหน้าของเนี่ยชางซีดเซียว ไม่อยากเชื่อที่เห็น “เหตุใดนางจึงยังไม่ตาย?!” ทั้งที่เขาโจมตีออกไปเต็มแรง แม้จะเป็นท่านมหาเทพทั้งสี่ทิศก็มิอาจต้านทานไหว อีกทั้งนางยังตกเข้าไปในหมอกสีฟ้า เหตุใดจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย?!
อวิ๋นเจี่ยวหยุดห่างจากทุกคนราวสิบกว่าเมตร สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเหมือนเดิม ดวงตาของเธอฉายแววฉงน เธอลูบคลำไปยังบริเวณที่ถูกเนี่ยชางโจมตี ก่อนจะรับรู้ได้ว่าถึงแม้เธอจะถูกโจมตี แต่ราวกับ…ไม่รู้สึกเจ็บตั้งแต่แรก
โดยเฉพาะหลังจากตกเข้าไปในหมอกสีฟ้าด้วยความบังเอิญ เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอพยายามชักนำพลังเข้าร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน แต่หลังจากสูดดมหมอกสีฟ้าเข้าไป จากนั้น…ก็หยุดลงไม่ได้อีกเลย
ตอนนี้ร่างกายของเธอเติมเต็มไปด้วยพลัง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าเส้นลมปราณเสวียนภายในร่างกายกินอิ่ม อีกทั้งยังรู้สึกอิ่มแปล้จนได้ยินเสียงเส้นลมปราณเสวียนเรอออกมา
พลังที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุดนั้น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกอาจารย์ปู่ประทับร่าง!
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้คิดอย่างละเอียด เธอวางมือลงก่อนจะเงยหน้ามองเนี่ยชางที่อยู่ตรงข้าม ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย “ถึงเวลาที่ข้าต้องคืนให้ท่านแล้ว”
เนี่ยชางใจหล่นวูบ เขาคิดจะบินกลับขึ้นฟ้า แต่เพิ่งบินขึ้นมาก็รู้สึกหนักที่ไหล่ทันที อวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรปรากฏตัวข้างกายของเขา ก่อนจะตบเข้าที่ไหล่ของเขาและกดเขาลงมาจากกลางอากาศ ทำให้เขาคุกเข้าลงกับพื้น พลังบนตัวของเขาสลายไปทันที