ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 301 ต้นอ่อนแห่งการกลับคืน
บรูพาสวรรค์ดำเนินการอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นหลังจากที่อวิ๋นเจี่ยวส่งสารไป พวกเขาก็ส่งคนมารับเหล่าเซียนที่พ่ายแพ้สงครามกลับไป อีกทั้งยังพาท่านมหาเทพทั้งสองทิศติดมือกลับไปด้วย
ส่วนอาจารย์อาหยวนจะจัดการอย่างไร พวกเขาไม่สนใจ เวลานี้ท่านมหาเทพทั้งสามทิศล้วนล้มลง ท่านมหาเทพบูรพาสวรรค์วิญญาณหลุดออกจากร่าง ดินแดนสวรรค์ในตอนนี้เป็นเหมือนดั่งฝูงมังกรที่ไร้ผู้นำ คาดว่าคงจะมีระยะเวลาที่ไม่อาจก่อเรื่องในดินแดนมนุษย์ได้
แน่นอนว่าสำนักเทียนซือได้อาวุธใหม่อีกครั้ง เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นในครั้งที่แล้ว เหล่าท่านอาวุโสที่มีประสบการณ์ล้วนติเตียนความล้าหลังของดินแดนสวรรค์ อาวุธวิเศษที่เก็บมาได้จำนวนหนึ่งไม่อาจเทียบกับสิ่งที่ผลิตจากสำนักศึกษาได้ ส่วนใหญ่ทำได้เพียงหลอมใหม่
อวิ๋นเจี่ยวครานี้ไม่ได้ออกไปต้อนรับอาจารย์อาหยวนที่ลงมารับคน หนึ่งคือกลัวพวกเขาถามเรื่องของอาจารย์ปู่ เรื่องที่ท่านเข้าสู่ห้วงนิทราคนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี สองคือนางไม่มีเวลา คราก่อนเหล่าผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสจากการปกป้องเมืองอี้
“อาจารย์อวิ๋น เป็นอย่างไรบ้าง” เห็นนางเก็บเข็มกลับ เหล่าเจ้าสำนักสวีต่างล้อมเข้ามา พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความกังวล
อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว สายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของทุกคนดับมอดลงในทันที เจ้าสำนักสวีมองไปยังคนบนเตียงทั้งสาม คิ้วของเขาขมวดมุ่น “สามเดือนแล้ว ท่านอาวุโสอื่นแทบจะหายดีแล้ว แต่พวกเขา…หรือว่าพวกเขาจะสลบเช่นนี้ตลอดไป?!”
ตระกูลถังและเหล่าท่านอาวุโสหลายสิบคนแห่งสำนักอู๋ติ้งได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่อาจารย์อวิ๋นฝีมือการรักษาเลิศล้ำ ช่วยพวกเขากลับมาจนได้ เวลานี้สามเดือนผ่านไป ถึงแม้กำลังจะสูญสิ้น แต่ร่างกายของพวกเขาก็ฟื้นคืนกลับมาเหมือนเคยแล้ว แต่ถังอี้ผู้ซึ่งเป็นนายท่านตระกูลถัง เฉาซั่วเจ้าสำนักอู๋ติ้ง ถังเฉินอาจารย์ถังกลับยังคงสลบอยู่จนถึงเวลานี้ ไม่มีแนวโน้มในการฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย
“อาจารย์อวิ๋น มีวิธีอื่นหรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะพูดออกมา “พวกเขาแตกต่างจากท่านอาวุโสอื่น ไม่เพียงถูกพลังเทพย้อนกลับมายังเส้นชีพจรหัวใจ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต ถูกทำร้ายรากฐานส่งผลกระทบต่อจิตของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที นอกเสียจากซ่อมแซมจิตได้ มิเช่นนั้น…”
เจ้าสำนักสวีถามขึ้น “จิตนี้ต้องซ่อมแซมอย่างไร”
“เฮ้อ เจ้าสำนักสวีไม่รู้อะไร…” ชางหยางรีบอธิบายขึ้น “จิตนี้เชื่อมต่อกับสัมปชัญญะ ไม่อาจแตะต้องได้ง่ายดาย มิเช่นนั้นอาจทำให้กายตาย หรืออาจทำให้วิญญาณได้รับผลกระทบ อาจารย์อวิ๋นสามารถรักษาชีวิตของพวกเขาได้ในขณะที่จิตของพวกเขาเสียหายจึงเป็นการยากมากแล้ว ส่วนเรื่องจิต…นอกเสียจากซ่อมแซมตัวมันเอง มิเช่นนั้นไม่อาจทำได้”
“เช่น…เช่นนั้นจะทำอย่างไร” เหล่าท่านอาวุโสสีหน้าหนักใจ “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ”
ภายในห้องเงียบสงัด
ทุกคนล้วนปรากฏความไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาจากใจ อีกทั้งยังอยากจะตามเหล่าเซียนที่ถูกส่งออกไปกลับมาต่อยอีกครั้ง
“มีวิธี แต่ทำไม่ได้เท่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น คนที่อยู่ภายในห้องต่างผงะ หันหน้าไปมองนางอย่างพร้อมเพรียง นางจึงถอนหายใจ “ข้าจำได้ว่าในตำรายามียาชนิดหนึ่งเรียกว่าไร้ร่องรอย สามารถช่วยให้คนสร้างรากฐานใหม่ รวมไปถึงจิต”
“จริงหรือ!” ทุกคนล้วนดีใจ
“แต่สิ่งสำคัญคือ…” นางพูดเสียงเบา “ถึงแม้ข้าจะรู้วิธีการหลอมยานี้ หม้อหุง…เอ่อ หม้อหลอมยาก็ปรับไม่ยาก แต่ส่วนผสมหลักในยานี้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” ยาอื่นยังดี สามารถหาทดแทนได้ แต่ยานั้นนางเคยลองใช้ยาที่มีคุณสมบัติคล้ายกันอย่างอื่น ล้วนไม่บรรลุถึงผลลัพธ์นั้น
ชางหยางราวกับตระหนักบางอย่างขึ้นได้ ถามต่อ “อาจารย์อวิ๋นพูดถึงยาอะไรหรือ”
“ต้นอ่อนแห่งการกลับคืน” อวิ๋นเจี่ยวตอบ “มันเป็นต้นหญ้าสีแดง มีลักษณะคล้ายเปลวไฟ ข้าเคยเห็นแต่ในตำรา แต่ลักษณะจริงของมันเป็นอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ อา…ได้ยินอาจารย์ของข้าบอกว่า สิ่งนี้พบเห็นได้ยากแม้จะอยู่ในเวลาหลายล้านปีก่อน”
ทุกคนล้วนจิตใจห่อเหี่ยว ชางหยางขมวดคิ้วมุ่น ก้มหน้าลงเล็กน้อย พร้อมทำท่าทางครุ่นคิด
“นายท่านชางคิดอะไรได้หรือ” เจ้าสำนักสวีเห็นดังนั้นจึงรีบถาม
“คือ…” ชางหยางมองหน้าเหล่าคนร้อนใจ ก่อนจะพูดด้วยความลังเล “ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจว่าที่แห่งนั้นจะมีต้นอ่อนแห่งการกลับคืนที่อาจารย์อวิ๋นบอกหรือไม่ เพราะสถานที่แห่งนั้นเป็นเพียงตำนาน”
“สถานที่ใด ท่านพูดให้รู้เรื่อง” เจ้าสำนักสวีพูด
“หุบเหวอู๋กุย!” เขาตอบ
ทันทีที่สิ้นเสียง คนที่เหลือต่างผงะ
“เหลวไหล!” หัวหน้าห้องเจียวถลึงตาใส่เขา “สถานที่เช่นนั้นจะไปได้อย่างไร”
“แต่มีการเล่าขานกันว่าสถานที่แห่งนั้นมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่พืชวิเศษก็…” ชางหยางพูดต่อ
“ไม่ได้!” เจ้าสำนักสวีพูดขัดเขา ก่อนจะพูดคัดค้านขึ้น “พวกเราหายาเพื่อช่วยคน ไม่ได้เพื่อสูญเสียคนไปอีก”
“หุบเหวอู๋กุยคือที่ใด” อวิ๋นเจี่ยวถาม
เจ้าสำนักสวีผงะ ก่อนจะอธิบาย “เป็นสถานที่ทับซ้อนของสามโลก ร่ำลือว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งรวมพลังเซียน พลังลมปราณ และพลังหยินเอาไว้ คนธรรมดาไม่อาจแบกรับได้ อย่าว่าแต่คน แม้แต่เซียนยังไม่กล้าเข้าใกล้โดยพลการ ไม่มีใครรู้ว่าด้านในเป็นอะไร ถือเป็นสถานที่ที่ทั้งสามโลกไม่กล้าย่างก้าวเข้าไป”
“สมบัติเหล่านั้นคืออะไร” นางถามต่อ
“เป็นเพียงคำเล่าขานเท่านั้น” หัวหน้าห้องเจียวอธิบาย “ได้ยินว่าสถานที่แห่งนั้นมีพื้นที่ซับซ้อน ดังนั้นทั่วพื้นที่จึงเต็มไปด้วยพืชวิเศษ แม้จะเป็นพืชที่สูญพันธุ์ไปเป็นเวลานาน แต่ด้านในกลับมีอยู่ทุกที่ เล่ากันว่าเมื่อหลายแสนปีก่อน หญ้าเพิ่มพลังที่สูญพันธุ์ไปในดินแดนมนุษย์หลายร้อยปีถูกคนที่บุกรุกเข้าไปนำติดตัวออกมา ทำให้หญ้าชนิดนี้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่เหล่านี้ล้วนเป็นแค่เรื่องเล่า ไม่อาจเชื่อได้”
คนอื่นต่างพยักหน้า “ใช่ ถึงแม้เรื่องเล่าจะเป็นความจริง แต่สถานที่แห่งนั้นก็ใช่ว่าจะมีต้นอ่อนแห่งการกลับคืน”
“เดี๋ยว รอข้าพิสูจน์ก่อน” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้พูดอะไร นางหยิบกระจกพันลี้ออกมาต่อสายไปยังคนที่อยู่หลังเขาชิงหยาง ทันใดนั้นเสียงดีใจส่งออกมา
“ศิษย์หลานตัวน้อย เจ้าหาข้าในตอนกลางวันทำไมกัน ผักไม่พอหรือ? วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้านำไปให้เจ้าเองเป็นอย่างไร ไชเท้าวันนี้หวานมาก ไม่ว่าจะผัดไชเท้า ไชเท้าดอง หรือว่าทำเป็นน้ำไชเท้าก็อร่อยมาก จริงสิครั้งก่อนเจ้าบอกว่าจะกินหม้อไฟไม่ใช่หรือ ข้ามีผักทุกอย่าง ให้ข้าหั่นแล้วส่งไปดีหรือไม่ ผักของข้า…”
อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันได้พูด เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนรู้สึกเพียงมีเสียงดังก้องในหัว ทันใดนั้นสมองขาวโพลน เหลือเพียง ผักๆๆๆ …