ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 311 เตรียมตัวจากไป
ชายแก่และสีฝานมองอวิ๋นเจี่ยวอย่างเป็นกังวล
สีฝานอดพูดขึ้นไม่ได้ “อาจารย์ พวกเราจะ…นำพวกเขากลับไปทั้งหมดจริงหรือ”
“แน่นอน!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
“แต่ว่า…คนมากเช่นนี้” เกือบหลายร้อยคน อีกทั้งยังล้วนเป็นเด็กเล็ก จะไม่มีปัญหาจริงหรือ
“สีฝาน!” อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ที่นี่ไม่ใช่ทางออกของดินแดนปีศาจ”
“อ้า! ฮะ?” สีฝานผงะไป ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ด้วยเหตุใด
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้หรือไม่ ถึงแม้พวกเขาจะรักษาตาค่ายกลไว้ไม่ได้จนส่งผลให้ผนึกถูกทำลาย แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจออกจากทางนี้ได้ หากแต่เป็นทางยมโลก หมายความว่า…” นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ถึงแม้พวกเขาจะไม่เฝ้าผนึกนี้ไว้ อย่างมากก็แค่ออกไปไม่ได้ทั้งชีวิต หรืออาจถูกพลังปีศาจกลืนกินตายไปส่วนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเซ่นชีวิตคนแล้วคนเล่า แต่พวกเขากลับเฝ้ารักษาเอาไว้ อีกทั้งยังแทบจะสูญพันธุ์…”
“…”
อวิ๋นเจี่ยวพูดอย่างกระจ่างชัด “นี่เป็นสิ่งที่พวกเราติดค้างพวกเขา ทั้งสามโลกล้วนติดหนี้พวกเขา!” เมื่อเป็นเช่นนี้นางจะทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่ได้อย่างไร
“…” สีฝานผงะไป ทันใดนั้นไม่รู้จะพูดอะไร
“เจ้าหนู…” ชายแก่เป็นกังวลอีกปัญหาหนึ่ง “เจ้าคิดจะพาเด็กเหล่านี้ออกไปอย่างไร ที่นี่ใช้พลังลมปราณหรือพลังเซียนไม่ได้! พลังเทพของเจ้าก็ใช้จนหมดแล้ว พวกเราไม่อาจใช้วิชาเวทอะไรได้เลย”
“ชายแก่ ข้าจำได้ว่าสำนักเสวียนเหมินที่อยู่ใกล้ดินแดนทับซ้อนสามโลกที่สุดคือสำนักเทียนจี๋ใช่หรือไม่” อวิ๋นเจี่ยวพูด
“ใช่!” ชายแก่พยักหน้า “ตอนที่พวกเรามา ยังไปอาศัยที่พักในสำนักอยู่หนึ่งคืน เจ้าสำนักชื่อหลูเชียน” เจ้าสำนักนั้นยังแอบมาลอกการบ้านเขาตอนกลางคืน! โชคดีที่เจ้าหนูไม่พบ
“ภายในสำนักของพวกเขาน่าจะมีค่ายกลขนส่ง” อวิ๋นเจี่ยวพูดต่อ “ข้าคิดว่าจะวางค่ายกลขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสำนักเทียนจี๋ได้ จากนั้นขนส่งคนที่นี่ข้ามไปภายในครั้งเดียว”
ชายแก่ผงะ คิ้วของเขาขมวดเป็นปม “ไม่ใช่เจ้าหนู ข้าไม่ได้ไม่เชื่อเจ้า พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงการขนส่งคนจำนวนหลายร้อยด้วยค่ายกลขนส่งเพียงครั้งเดียว ข้าเชื่อมั่นในความสามารถการวางค่ายกลของเจ้า แต่ว่า…พวกเราจะกระตุ้นค่ายกลนี้อย่างไร ใช้ร่างเวทของข้า? แต่ถึงจะทำเช่นนี้ ก็ไม่อาจขนส่งออกไปภายนอกได้ พวกเราอยู่ในรอยร้าวสามโลก ค่ายกลไม่อาจเชื่อมต่อกับด้านบนได้”
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ดังนั้นข้ามีความคิดหนึ่ง ถึงเวลาข้า…เอ๊ะ? ท่านวิ่งไปไกลทำไมกัน” นางยังพูดไม่ทันจบ เห็นเพียงชายแก่วิ่งออกห่างจากนางไปไกลหลายเมตร
ชายแก่มองนางด้วยสีหน้าซีดเผือด ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่รู้จะดีกว่า เจ้าหนู! ทุกครั้งที่เจ้ามีความคิด แต่สุดท้ายคนที่ซวยกลับเป็นข้าทุกครั้ง!” ดังนั้นออกห่างจะดีกว่า
อวิ๋นเจี่ยว “…”
สีฝาน “…”
…
ในเมื่อตัดสินใจจะพาเด็กเหล่านี้ออกไปด้วยแล้ว ทั้งสามคนก็เริ่มลงมือทันที แต่ว่าค่ายกลขนส่งขนาดใหญ่ไม่ได้วางได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่แห่งนี้มีความพิเศษ พวกเขาจึงสามารถคาดคะเนระยะทางไปยังค่ายกลของสำนักเทียนจี๋ได้เพียงคร่าวๆ ดังนั้นค่ายกลขนส่งเท่านั้นคงไม่พอ อย่างน้อยก็ต้องมีการทับซ้อนหลายชั้น
นอกจากนี้กระบวนการขนส่งอาจมีการสัมผัสกับพลังของทั้งสาม พวกเขาจะต้องตั้งค่ายกลป้องกันและอื่นๆ อีก อวิ๋นเจี่ยวคำนึงถึงปัจจัยทั้งหมด ภายในใจมีภาพของค่ายกลปรากฏขึ้น แต่การวางมีความลำบากเล็กน้อย สิ่งสำคัญในการวางค่ายกลในสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากภายนอกคือ ภายในอากาศไม่มีแม้แต่พลังลมปราณหรือพลังเซียน การวางจึงมีอุปสรรคอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาทั้งสามใช้เวลาครึ่งวันในการวางฐานของค่ายกลขนาดใหญ่นี้ ในขณะที่กำลังจะไปถามหลินซีเกี่ยวกับจำนวนที่แน่นอนของคนในเผ่า เพื่อปรับเปลี่ยนค่ายกลให้พอดี พวกเขาก็พบกับเด็กหญิงสี่ห้าคนกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
พวกนางอายุไม่มาก ลักษณะราวแปดเก้าขวบ พวกนางเดินมาหาทั้งสามคนด้วยท่าทางเขินอาย พร้อมทั้งคารวะทั้งสามคน “พี่สาว พี่ชาย คุณตา!”
“…” ชายแก่สีหน้าดำทะมึน ทำไมเขาถึงกลายเป็นคุณตา? แตกต่างเกินไปแล้ว เรียกข้าว่าคุณลุง!
“พวกเจ้ามีอะไรหรือ” อวิ๋นเจี่ยวถาม
เด็กหญิงสบตากัน ก่อนจะช่วยกันลากกระสอบด้านหลังออกมา “พี่หลินซีบอกว่า ทั้งสามท่านชอบสิ่งนี้ ดังนั้นพวกเราจึงเอามาให้”
ทั้งสามคนผงะ พวกเขาเปิดกระสอบออก เผยให้เห็นดอกไม้สีแดงกองใหญ่
“ต้นอ่อนแห่งการกลับคืน!” สีฝานพูดออกมา สิ่งนี้คือต้นอ่อนแห่งการกลับคืนที่พวกเขาพบบริเวณหน้าตำหนักใหญ่ พวกเขาล้วนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่คิดว่าพวกนางจะเด็ดมาให้ทั้งหมด
“พวก…พวกข้าล้วนล้างจนสะอาดแล้ว!” เด็กหญิงพูดเสริมขึ้น สายตาที่มองพวกเขาล้วนลุกวาวเป็นประกาย “พี่หลินซียังบอกอีกว่า หากพวกท่านต้องการอย่างอื่น บอกพวกข้ามาได้เลย พวกข้าจะพยายามทำให้ได้!”
ทั้งสามคนต่างรู้สึกอบอุ่นในใจ เด็กกลุ่มนี้ช่างน่าสงสาร
“พวกข้าต้องการสิ่งนี้จริงๆ” อวิ๋นเจี่ยวบอกให้ชายแก่เก็บเอาไว้ ก่อนจะลูบศีรษะเด็กหญิงตรงหน้า “ขอบใจพวกเจ้า!”
“ไม่…ไม่เป็นไร!” เด็กหญิงโบกสะบัดมือไปมา ก่อนจะเงยหน้าถาม “ของเหล่านี้เพียงพอหรือไม่ ไม่พอพวกข้ายังปลูกได้อีก”
“ไม่ต้องแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว
เด็กหญิงคิดว่านางไม่เชื่อ จึงพูดขึ้นอย่างจริงจัง “จริงๆ นะ ใช้เวลาไม่นาน”
พูดจบก็นั่งคุกเข่าลงไป มือทั้งสองข้างแตะลงไปบนพื้น ก่อนจะยกขึ้นมาอย่างช้าๆ นาทีถัดมาเห็นเพียงแต่ภายใต้ฝ่ามือของนางมีพืชวิเศษลักษณะคล้ายเปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้น เมื่อเด็กหญิงคนอื่นเห็น พวกนางต่างนั่งคุกเข่าลงไปช่วยกันปลูก
นาทีถัดมา ด้านหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยต้นอ่อนแห่งการกลับคืน
“ให้!” เด็กหญิงเด็ดต้นอ่อนแห่งการกลับคืนที่เพิ่งปลูกขึ้นมา ก่อนจะใช้สองมือประคองแล้วยื่นให้
ทั้งสามคนล้วนตกตะลึง เมื่อนึกถึงคำพูดของหลินซี ที่แท้นี่คือความสามารถของเผ่าชิงหลินหรือ ความสามารถในการสื่อสารกับพื้นดิน!
เมื่อพวกนางเห็นทั้งสามคนไม่รับไป เหล่าเด็กหญิงคิดว่าพวกนางไม่ชอบ ทันใดนั้นรู้สึกร้อนรนขึ้นมา “ท่านไม่ต้องการแล้วหรือ เช่นนั้น…เช่นนั้นข้ายังมีอย่างอื่น”
พูดจบก็นั่งคุกเข่าลงอีกครั้ง แต่ครานี้ไม่ใช่พืช แต่เป็นก้อนสีทองผุดขึ้นจากพื้นดิน
“ข้า…ข้าก็มี!” เด็กอีกคนก็ไม่ยอม นางนั่งคุกเข่าลงก่อนจะดึงก้อนสีทองที่ใหญ่กว่าออกมา
“ข้าด้วย! ข้าก็มี!” เด็กคนอื่นล้วนพูดขึ้น
ดังนั้นนาทีถัดมา บนมือของเหล่าเด็กทั้งหลายล้วนมีสิ่งสีทองที่ประกายวิบวับ ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าอีกก้อนหนึ่ง บ้างมีขนาดใหญ่ครึ่งตัวคนจึงทำได้เพียงวางอยู่บนพื้น
“ทะ…ทอง!” ทั้งสามคนตกตะลึง ชายแก่พูดออกมา พลังแห่งพื้นดินเปรียบเสมือนเหมืองทองเคลื่อนที่ดีๆ นี่เอง!
อึก เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวหันหน้ากลับไปพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ชายแก่ หาสมบัติ รีบวางค่ายกล พวกเราจะพาพวกเขาออกจากที่นี่ภายในวันนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที!”
ชายแก่ “…” เห็นแก่เงินใช่หรือไม่ ใช่แน่ๆ !
สีฝาน “…” หาสมบัติคือใคร