ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 313 คืนเกียรติยศ
เจ้าสำนักหลูฉงนงงงวย อีกทั้งยังมีความสงสัย หรือว่าเรื่องที่ตนลอกการบ้านจะถูกอาจารย์อวิ๋นรู้เข้าแล้ว…แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกฟ้าทำโทษมิใช่หรือ?
อุปสรรคสายฟ้าครั้งนี้ยาวนานถึงสองเค่อ ก่อนจะหยุดลง เมฆสายฟ้าสลายไปในที่สุด แต่ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ทั้งสำนักเทียนจี๋หาอาคารที่สมบูรณ์ไม่ได้แม้แต่หลังเดียว สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือคนไม่เป็นอะไร
ลูกศิษย์ทั้งหมดต่างมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าฉงน เป็นกังวลว่าหากมีสายฟ้าจะฟาดถูกคนเข้า รวมไปถึงเหล่าเด็กหลายร้อยคนในค่ายกล
มีเพียงอวิ๋นเจี่ยวที่ยังคงทำหน้าเรียบเฉย ถึงแม้สายฟ้าจะฟาดลงมาห่างจากเท้าของนางไม่ถึงสองฉื่อ แต่สีหน้าของนางไม่แม้แต่จะเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีอารมณ์ปัดฝุ่นบนตัวทิ้ง
เจ้าสำนักหลูกลืนน้ำลาย มองดูอาจารย์อวิ๋นที่กำลังจัดระเบียบแถวแบ่งกลุ่มเด็กๆ เขาไม่กล้าพูด และก็ไม่กล้าถาม!
…
เนื่องจากเครือข่ายการคมนาคมแห่งเสวียนเหมินล้วนมีการจำกัดจำนวนคน อวิ๋นเจี่ยวจึงได้แจ้งเจ้าสำนักสวีเป็นการล่วงหน้า จากนั้นถึงได้แบ่งกลุ่มเด็กๆ ไปยังสำนักเทียนซือเพื่อพักอาศัยชั่วคราว
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ปิดบังเจ้าสำนักสวี สำหรับการจัดการต่อจากนี้ล้วนต้องอาศัยสำนักเทียนซือเป็นฝ่ายดำเนินการ ดังนั้นนางจึงเล่าเรื่องของเผ่าชิงหลินให้อีกฝ่ายได้รับรู้ทั้งหมด หลังจากเจ้าสำนักสวีได้ฟังเรื่องราว เขาเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนจะสบถออกมาด้วยความโกรธเคือง
“ที่แท้เทพก็ไม่ใช่คนดีอะไร หลอกคนแบบนี้ได้อย่างไร” เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดพร้อมตบหน้าอก “อาจารย์อวิ๋นวางใจ เด็กเหล่านี้สำนักเทียนซือจะดูแลอย่างดี ไม่มีทางให้พวกเขาต้องลำบากอย่างแน่นอน!”
อวิ๋นเจี่ยวยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม “ข้าไม่ได้อยากให้พวกเขาอยู่ในสำนักเทียนซือตลอดไป”
“เอ๊ะ? เหตุใด” นางนำคนมายังสำนักเทียนซือ ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเข้าเรียนหรือ
“เรื่องความสามารถของพวกเขา ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี”
เจ้าสำนักสวีกระจ่างขึ้นมาทันที ความสามารถที่สามารถเพาะปลูกพืชวิเศษและแร่ธาตุล้ำค่าออกมาได้อย่างง่ายดายนั้นช่างน่าตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะมีความสามารถในการปกป้องตนเอง การให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี ถึงแม้ตอนนี้เสวียนเหมินจะมีใจเดียว อีกทั้งเขาก็มั่นใจว่าลูกศิษย์ภายใต้เขาไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายอะไรออกมา แต่เขาไม่กล้าลงพนันกับใจคน
“อาจารย์อวิ๋นพูดถูก เช่นนี้เรื่องที่พวกเขามาจากรอยร้าวสามโลกก็ต้องปิดบังเอาไว้” เด็กเหล่านี้ล้วนยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งไม่เคยได้สัมผัสกับโลกภายนอก จิตใจไร้เดียงสา หากอาศัยอยู่ในสำนักเป็นเวลานาน ตัวตนของพวกเขาอาจถูกเปิดเผยได้ “ข้าจะเร่งหาที่พักให้พวกเขา เพียงแต่สถานที่นั้น…”
เขาทำสีหน้าลำบากใจ อวิ๋นเจี่ยวจึงเสนอขึ้น “ท่านว่าบริเวณใกล้เคียงหุบเขาหมอของชางหยางเป็นอย่างไร”
เจ้าสำนักสวีดวงตาลุกวาว ก่อนจะพยักหน้า “ดีจริง ภายในหุบเขาหมอล้วนเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ ลูกศิษย์มีไม่มาก อีกทั้งภายในหุบเขายังเต็มไปด้วยพืชวิเศษอันเป็นวัตถุดิบของยามากมาย หากพวกเขาอยู่บริเวณใกล้เคียง หากสามารถเพาะปลูกพืชวิเศษออกมาก็คงไม่ดึงดูดสายตาผู้คนมากนัก”
เขาวางใจลงทันใด ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดด้วยความเสียดาย “เสียดายเพียงไม่อาจประกาศคุณงามความดีที่พวกเขาเฝ้ารักษาผนึกเผ่าปีศาจให้ทั่วหล้าได้รับรู้”
“เหตุใดจึงประกาศไม่ได้” อวิ๋นเจี่ยววางชาในมือลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา “ข้าว่าไม่เพียงแต่ต้องประกาศ อีกทั้งยังต้องกระจายข่าวอย่างยิ่งใหญ่”
“แต่ว่า…” เจ้าสำนักสวีร้อนใจ เช่นนี้ตัวตนของพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยไม่ใช่หรือ
“ผนึกเผ่าพันธุ์ปีศาจคือบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราในเวลานี้ ในเมื่อเป็นบรรพบุรุษ พวกเราจะโอ้อวดอย่างไรก็ได้” อย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน
“เอ่อ…” โอ้อวด…อ่อ ไม่ใช่ พูดได้มีเหตุผล เขาไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
“อีกทั้งเรื่องใหญ่ต่อไปนี้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา” คิ้วของอวิ๋นเจี่ยวขมวดมุ่น
สีหน้าของเจ้าสำนักสวีเคร่งเครียด ก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปแจ้งข่าวให้นายท่านชางรับรู้ อีกทั้งถึงเวลาที่ต้องให้เจ้าสำนักของแต่ละสำนักรับรู้เรื่องการทะลุผนึกของเผ่าพันธุ์ปีศาจในไม่ช้านี้” พูดจบ พวกนางยังคงวางแผนและเตรียมการเรื่องรายละเอียดต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เขาดำเนินการอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่กี่วัน ข่าวที่สะเทือนไปทั้งสามโลกแพร่กระจายออกไปในเสวียนเหมิน เผ่าชิงหลินในตำนานปรากฏขึ้น อีกทั้งยังนำข่าวที่น่ากลัวมาด้วย ผนึกประตูดินแดนปีศาจใกล้จะถูกเปิดออก เผ่าพันธุ์ปีศาจจะปรากฏขึ้นและรุกรานสามโลกอีกครั้ง
ตอนแรกทุกคนยังคงมีท่าทีสงสัย เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเผ่าชิงหลินมาก่อน จากนั้นตามมาด้วยเรื่องเล่าหนึ่งที่แพร่กระจายออกมา
ร่ำลือว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ในสงครามระหว่างเทพกับปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ทำลายล้างทั้งสามโลก บรรพบุรุษเผ่าชิงหลินที่ใช้ชีวิตของคนทั้งเผ่าในการรักษาผนึกเอาไว้
ร่ำลือว่าเผ่าชิงหลินเกือบสูญพันธุ์ พวกเขาบาดเจ็บอย่างสาหัสถึงได้ผนึกประตูดินแดนปีศาจเอาไว้ กอบกู้ทั้งสามโลก
ร่ำลือว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ มรดกของเผ่าชิงหลินขาดหาย สูญเสียวิธีการฝึกฝน ทำให้คนในเผ่ากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไร้พลัง
ร่ำลือว่าเผ่าชิงหลินถูกสาปโดยปีศาจ หากยังคงมีผนึกแม้แต่วันเดียว สายเลือดทั้งหมดของชิงหลินล้วนอยู่ไม่รอดจนเติบใหญ่
ร่ำลือว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้ประโยชน์จากผนึก เผ่าชิงหลินจึงซ่อนตัวจากโลกนี้ เฝ้ารักษาตาค่ายกลเป็นหลายหมื่นปี จนกระทั่งค่ายกลหมดประสิทธิภาพ ถึงได้ปรากฏตัวเตือนผู้คน
ร่ำลือว่าอาจารย์อวิ๋นและอาจารย์ไป๋ได้ไปพิสูจน์เรื่องการทะลุผนึกของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว อีกทั้งยังพบต้นอ่อนแห่งการกลับคืนในพื้นดินที่พักอาศัยของชิงหลิน ช่วยชีวิตของท่านอาวุโสที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามเมืองอี้ได้
เรื่องเล่านับวันยิ่งมากขึ้น ชื่อเสียงเรียงนามของบรรพบุรุษชิงหลินล้วนโด่งดังไปทั่วช่องการสื่อสารของกระจกพันลี้ ในเวลาที่ทุกคนเป็นกังวลการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้น พวกเขาก็ยังคงไม่ลืมความซาบซึ้งที่มีต่อบรรพบุรุษชิงหลินที่ใช้เวลานับหมื่นปีเพื่อแลกความสงบทั้งสามโลก อีกทั้งยังมีคนเขียนบันทึกวีรกรรมของพวกเขาลงในตำราวีรบุรุษแห่งสามโลก กลายเป็นวีรบุรุษที่ได้รับการยอมรับกันอย่างทั่วไป
ส่วนเรื่องจริงแตกต่างจากคําร่ำลือหรือไม่ อาทิผู้ที่ผนึกในตอนนั้นคือเทพหรือบรรพบุรุษชิงหลินไม่ใช่เรื่องสำคัญ เทพหลอกลวงพวกเขามาเป็นเวลานานเช่นนี้ อย่างไรก็ตามต้องเก็บดอกเบี้ยบ้าง
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มาก เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าต้องจัดการ
ตามที่หลินซีบอก ตาค่ายกลในรอยร้าวสามโลกนั้นสามารถประคองไว้อย่างมากแค่หนึ่งเดือน หรือวันดับสลายที่พวกเขาพูด เมื่อถึงเวลานั้นถึงจะมีคนเซ่นค่ายกลก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งผนึกที่อวิ๋นเจี่ยวเพิ่มลงไปบนตาค่ายกลนั้น อย่างมากอยู่ได้เพียงสามเดือนเท่านั้น
หมายความว่าเวลาที่เหลือให้พวกเขามีไม่มากแล้ว ภายในสามเดือน เผ่าพันธุ์ปีศาจจะทะลุประตูดินแดน บุกรุกเข้าสามโลก พวกเขาต้องเตรียมการภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนนี้
อวิ๋นเจี่ยวแจ้งข่าวนี้ไปยังอาจารย์อาใหญ่หลงฉางในเวลาแรก จากนั้นแจ้งไปยังหยวนเจียงและคนอื่นๆ ในบูรพาสวรรค์ เรื่องเกี่ยวข้องกับสามโลก ไม่ว่าจะยมโลกหรือดินแดนสวรรค์ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
นางครุ่นคิดสักพัก สุดท้ายนางก็เดินทางกลับไปหาอิ้งหลุนที่ชิงหยาง
“ศิษย์หลานตัวน้อยหมายความว่า…อยากให้ข้ากลับยมโลกเพื่อยับยั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจ” อิ้งหลุนเลิกคิ้ว ถามขึ้นมาอย่างไม่มากความ
“ใช่” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “หากเผ่าพันธุ์ปีศาจออกมา ที่แรกที่รุกรานก็คือยมโลก ดังนั้นท่านสามารถ…”
“ไม่สามารถ”
“…”