ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 314 กฎระเบียบ
อวิ๋นเจี่ยวยังพูดไม่ทันจบ อิ้งหลุนก็ปฏิเสธทันควัน ถึงแม้มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม แต่คำพูดที่ออกมาไม่แม้แต่จะให้โตแย้งได้
“เหตุใด” อวิ๋นเจี่ยวไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ ชายแก่ลุกยืนขึ้นมาทันทีเขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าฉงน เจ้าขาดแคลนเมล็ดพันธุ์?
อิ้งหลุนยิ้มกว้างขึ้น ไม่รู้หยิบหัวไช่เท้าออกมาจากไหนมาแทะพลางแทะพลางพูด “ศิษย์ตัวน้อยเจ้าฉลาดเฉลียวเช่นนี้ ควรจะเดาสาเหตุได้มิเช่นนั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายสิบคนนั้นหากเจ้าไม่อยากให้พวกเขาตายเจ้าคงไม่ไปตามหาต้นอ่อนแห่งการกลับคืนอะไรนั่น แต่คงจะมาหาข้าโดยตรง” เพราะเขาเป็นราชายมโลกหากเขาไม่รับวิญญาณของพวกเขาพวกเขาก็จะไม่ตาย
อวิ๋นเจี่ยวก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงต่ำ “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ประตูดินแดนปีศาจอยู่ในยมโลกหากเผ่าปีศาจทะลุผนึกออกมาได้ วิญญาณในยมโลกจะได้รับผลกระทบก่อนดินแดนอื่น”
“ไม่แน่นอนหรอกนะ” อิ้งหลุนสะบัดไช่เท้าในมือไปมา “เผ่าปีศาจมีนิสัยโหดเหี้ยม แต่สิ่งที่พวกเขาฆ่าคือวิญญาณที่มีชิวติเท่านั้น วิญญาณของคนตายพวกเขาไม่สนใจ”
“…”
“ไม่ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันพูด ชายแก่ที่อยู่ด้านข้างนึกบางอย่างขึ้นได้ “เผ่าปีศาจกลืนกินวิญญาณไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นอาจารย์อาใหญ่ก็คงไม่เฝ้ารักษาอยู่ในเขตหมิ่นเฟินมานับหมื่นปี” หมื่นปีมานี้เขตหมิ่นเฟินมีสหายเสียสละชีวิตไปไม่น้อย
“อ่อ นั่นเป็นเพราะพวกเขาฝึกฝนทางวิญญาณ” อิ้งหลุนพูด “การฝึกฝนทางวิญญาณคือการมีชีวิตใหม่ ไม่ใช่วิญญาณของคนตายที่แท้จริง เมื่อร่างวิญญาณของพวกเขาสลายเผ่าปีศาจจะหมดความสนใจทันที”
“…” อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก
ดังนั้นเผ่าปีศาจจะโจมตีเพียงพนักงานของยมโลกเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! ท่านกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้ายมราชทั้งเจ็ดและอาจารย์อาใหญ่หรือไม่!
“อีกอย่างยมโลกมีแม่น้ำหยิน วิญญาณที่สลายไปลงไปแช่ยังสามารถไปเกิดใหม่ได้”
“ข้าว่าชาวสวน เจ้าช่างไร้คุณธรรมเสียจริง!” ชายแก่โกรธเคืองเล็กน้อย “ถึงแม้วิญญาณในยมโลกไม่เป็นอันใด แต่เจ้าก็ไม่อาจ…” ไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อื่นในยมโลก มิเช่นนั้นจะแตกต่างอะไรจากการใช้ประโยชน์คนอื่นแล้วทิ้งกัน
“ชายแก่…” อวิ๋นเจี่ยวดึงเขาเอาไว้ ก่อนจะพูดขัดเขาเพื่ออธิบาย “ความหมายของอิ้งหลุนคือ ไม่อยากทำลายความสมดุลของทั้งสามโลก ความเป็นและความตายของสรรพสิ่งในสามโลกไม่มีความแตกต่างสำหรับเขา”
“ศิษย์ตัวน้อยช่างเฉลียวฉลาด” อิ้งหลุนยกไช่เท้าในมือขึ้น ก่อนจะพูดต่อ “ความเป็นความตายสำหรับข้าไม่มีอะไรแตกต่างข้าควบคุมการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ว่าคนหรือผีเพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ใช้ชีวิตเท่านั้น บนโลกนี้ย่อมมีกฎเกณฑ์ของมันแต่ข้าไม่ได้อยู่ภายในกฎเกณฑ์นั้น หากข้าลงมือทำลายจะทำให้กฎระเบียบปั่นป่วนถึงแม้ว่าข้าอยากช่วยก็ไม่อาจทำได้ สำหรับกฎระเบียบแล้วทุกคนล้วนเป็นเพียงสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ไม่มีความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นคน มาร เซียน เทพ…หรือว่าปีศาจ!”
“…” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ปีศาจ?!
“ปีศาจก็ด้วย?!” ชายแก่พูดออกมา
“ใช่” อิ้งหลุนพยักหน้า “ยมโลกมีเขตปราบปีศาจไม่ใช่หรือ”
ทั้งสองคนผงะ เขตปราบปีศาจเป็นเขตที่เงียบเหงามากที่สุด อีกทั้งเป็นเขตที่พิเศษที่สุดในเขตแดนทั้งเจ็ด หนึ่งปีมีเพียงวิญญาณหนึ่งถึงสองตนไปที่นั่นอีกทั้งยังล้วนเป็นวิญญาณที่ไร้สติสัมปชัญญะใดๆ
ยมราชแห่งเขตปราบปีศาจชื่อเผิงชี เป็นยมราชที่สบายที่สุดไม่มีแม้แต่ยมทูตอยู่ภายใต้เขา เพราะเขาคนเดียวก็สามารถจัดการได้ภายในเขตแดนไม่มีเมืองหลวงเวลาทั่วไปหากเขาว่างมากมักไปอยู่กับราชาซิวหลิง ชายแก่เองก็มักเดินทางไปเมืองซิงหลิงทำให้สนิทกับเขาไปด้วย บางครั้งหากชายแก่ยุ่งกับการสอน เผิงชียังมักเดินทางไปทำงานแทนชายแก่ที่เมืองโยวหลิง
เขาสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดจึงมีเขตแดนที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้แม้แต่เผิงชีเองก็ไม่รู้ แต่เขากลับเป็นยมราชที่มีกำลังมากสุดในทั้งเจ็ดคน
“ดังนั้นวิญญาณในเขตปราบปีศาจคือ…”
“วิญญาณปีศาจ” อิ้งหลุนพูดต่อ
ที่แท้วิญญาณในเมืองผีนั้นคือเผ่าปีศาจ!
เมื่อนึกถึงความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจ สามารถลอบกลับยมโลกได้ก็คงจะมีเพียงเสี้ยววิญญาณ
ชายแก่สูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับความตกตะลึงภายในใจ แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ “ข้ายังคงไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงช่วยไม่ได้ ครั้งก่อนเรื่องของทักษิณสวรรค์ เจ้าก็ลงมือไม่ใช่หรือ”
“นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดจะฆ่าวิญญาณปั่นป่วยกฎเกณฑ์” เขาหยุดแทะไช่เท้าไป ภายในดวงตาฉายแววโหดเหี้ยมความเป็นความตายไม่มีความแตกต่างก็จริง แต่หากคิดจะฆ่าวิญญาณ ปั่นป่วยวิถีเวียนว่ายตายเกิดคงต้องถามเขาก่อน
“ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าก่อนจะนึกได้อีกเรื่อง “ตามที่ท่านพูด…อาจารย์ปู่ล่ะ เหตุใดท่านจึงลงมือได้” ตอนที่อาจารย์ปู่ลงมือไม่เคยคำนึกถึงเรื่องกฎระเบียบอันใดแม้แต่น้อย อีกทั้งความสามารถของเขายังอยู่เหนือกว่าอิ้งหลุน
สีหน้าของอิ้งหลุนแข็งทื่อไปปากของเขากระตุกเล็กน้อย สักพักถึงได้กัดฟันพูดขึ้น “อ่อ นั่นเป็นเพราะว่าเขา…ไร้ยางอาย!”
ไม่ใช่สิ ต้องเป็นไร้ยางอายอย่างมาก แม้แต่ศิษย์หลานของตนเองยังหลอกล่อ ในสายตาของคนไร้ยางอาย กฎเกณฑ์คืออะไร!
อวิ๋นเจี่ยว: ”…”
ชายแก่: ”…”
“ข้าบอกอะไรพวกเจ้าให้นะศิษย์ตัวน้อย…เรื่องน่าอายที่เยี่ยยวนทำมีมากโขเชียว เจ้าอย่าหลงกลในรูปลักษณ์ภายนอกของเขา คนอย่างเขานอกจากเรื่องมาก โหดเหี้ยม ปากร้ายยังใจแคบอีกด้วย เอะอะก็ลงไม้ลงมือ ตอนนั้นพวกข้าสองคนถูกเขาต่อยไม่น้อยทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ใบหน้าของเขาที่ดูได้ แต่ใจของเขาดำสนิทข้าเตือนให้เจ้ารีบตระหนักได้ยิ่งเร็วยิ่งดีไม่อย่างนั้นเจ้าคงต้องเสียใจพวกเจ้าไม่รู้อะไร พวกความรักอะไรกันเป็นเพียงแค่ควันจางๆ จะสนุกเท่าการปลูกผักได้อย่างไร ศิษย์ตัวน้อย…เอ๊ะ? เอ๊ะ! เจ้าถือหินบันทึกภาพทำไมกัน”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนโหมดมาเป็นคนพูดมากเหมือนเดิม อวิ๋นเจี่ยวจึงหยิบหินบันทึกภาพออกมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาด้านข้าง อิ้งหลุนชะงักไปทันใด
“ไม่มีอะไร บันทึกไว้ให้อาจารย์ปู่ดูตอนตื่น”
สีหน้าของอิ้งหลุนเปลี่ยนไปทันทีเขาลุกขึ้นยืนตัวตรง โยนไช่เท้าในมือทิ้งก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์ตัวน้อย ข้าคิดดูแล้วตัดสินใจว่าช่วยพวกเจ้าดีกว่า แค่เผ่าปีศาจ เจ้าพูดมาว่าจะจัดการอย่างไร”
พูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้นจอบด้านหนึ่งปรากฏขึ้นข้างตัว “ครั้งนี้เมล็ดไม่ต้องเต็มถุง ครึ่งถุงก็พอ พวกเราออกเดินทางตั้งแต่วันนี้ เจ้าว่าอย่างไร” เพิ่มหินบันทึกภาพอีกก้อน
อวิ๋นเจี่ยว: ”…”
ชายแก่: ”…”
หลักเกณฑ์ของท่านอยู่ไหน?! เงาในใจหนักแค่ไหนกัน
“ไม่ต้องหรอก” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ สุดท้ายก็ไม่ได้ขอให้เขาช่วยกฎระเบียบที่อิ้งหลุนพูดเธอไม่เข้าใจมากนักว่าคืออะไร แต่ก็ดูออกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่เขาไม่อาจแทรกแซงได้จริงๆ แน่นอนว่าหากมีเขาอยู่อาจเพิ่มโอกาสในการเอาชนะเผ่าปีศาจได้แต่อาจต้องแลกกับอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกทั้งอะไรบางอย่างที่ใช้แลกอาจไม่ใช่สิ่งที่ดินแดนมนุษย์รับได้
“แต่ว่า…” เธอครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “ข้ามีอีกเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”
“…”