ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 317 สัญญาณการขอความช่วยเหลือ
เมื่ออวิ๋นเจี่ยวได้รับสัญญาณการขอความช่วยเหลือของสีฝาน ในขณะที่กำลังจะเดินทางไปหารือที่สำนักเทียนซือ สงครามกับดินแดนปีศาจไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ใช่เรื่องของเสวียนเหมินเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับทั้งสามโลก ในขณะที่เสวียนเหมินกำลังเตรียมความพร้อมกับสงครามในครั้งนี้ หลายวันนี้พวกเขายังเชิญราชามาร ยมราชทั้งเจ็ด รวมไปถึงบรรพบุรุษในบูรพาสวรรค์ทั้งหลายมาหารือกัน เพื่อหาวิธีการรับมือกับเผ่าปีศาจที่กำลังจะทะลุผนึกออกมา
เวลานี้ทิศทางการทำสงครามได้ตกลงกันแล้ว ต่อมาเป็นช่วงเวลาสำคัญแห่งการจัดวาง แต่นางกลับได้รับสัญญาณการขอความช่วยเหลือจากเจ้าโชคชะตา อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่ต่างผงะไป พวกนางปรับค่ายกลขนส่งเดินทางไปหาอีกฝ่ายในทันที
ในฐานะที่เป็นคนที่มีดวงและสำคัญ อวิ๋นเจี่ยวมีการปรับกระจกพันลี้ของสีฝานตั้งแต่แรก ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งเค่อ พวกเขาก็ตามหาสีฝานที่ยืนทำหน้าฉงนอยู่บนพื้นดินว่างเปล่า
“หาสมบัติ เจ้าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” ชายแก่ รีบเดินขึ้นไปถาม ก่อนจะกวาดมองเขาขึ้นลง
“อาจารย์!” สีฝาน ดึงสติกลับมาได้ ก่อนจะรีบพูดขึ้น “ไม่ใช่ข้า แต่เป็นอาจารย์ถัง เขาถูกจี้เฟิงจับ…” เขายังพูดไม่ทันจบ ก่อนจะรีบชี้นิ้วขึ้นไปทางท้องฟ้า “เขา…เขากลับมาอีกแล้ว!”
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบเห็นท้องฟ้าที่บิดเบี้ยว จากนั้นปรากฏทางออก จี้เฟิงที่พบว่าตนเองจับผิดคนลอยออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าดำทะมึน ด้านหลังยังติดตามมาด้วยถังเฉินที่ถูกมัดเอาไว้
“อาจารย์ถัง!” สีฝานมองไปยังถังเฉินที่อยู่ด้านหลังอย่างร้อนใจ “เจ้า…เจ้าปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”
“พวกเจ้าอีกแล้ว!” สายตาของจี้เฟิงจับจ้องไปยังคนทั้งสอง “ไม่คิดว่าพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“สิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกมาก!” ชายแก่ถลึงตาใส่เขา “คนดีอย่างพวกข้าต้องได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ เทพห่วยแตกอย่างเจ้าถึงสมควรตาย!”
“คุ้มครอง?” จี้เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดเสียงเย็น “พวกเจ้าปั่นป่วนลิขิตสวรรค์เช่นนี้ยังคิดจะให้สวรรค์คุ้มครอง? ช่างน่าขำเสียจริง! เอาเถิด! อย่างไรก็ต้องกำจัดพวกเจ้าในไม่ช้า ในเมื่อเวลานี้พวกเจ้าเดินมาถึงหน้าประตูเอง ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
พูดจบพลังเทพรอบตัวของเขาหลั่งไหลออกมา เขาเรียกดาบยาวที่ประกายแสงออกมาด้ามหนึ่ง คมดาบ เต็มไปด้วยความแหลมคม ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไร รอบด้านก็กระหน่ำไปด้วยลม
ดูท่าทางเขาคิดจะทุ่มเทสุดแรงแล้ว อวิ๋นเจี่ยวตื่นตระหนกอยู่ภายในใจ แต่สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง อีกทั้งยังหันไปกำชับอีกฝ่าย “ชายแก่ดูแลสมบัติให้ดี”
“ได้!” ชายแก่พยักหน้า เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย หากขึ้นไปช่วยเหลืออาจจะเป็นตัวถ่วง ดังนั้นเขาจึงวางค่ายกลป้องกันไว้รอบด้านหลายชั้นเพื่อรับรองให้ตนเองและสมบัติ ก่อนจะหันไปมองถังเฉินที่ถูกพลังเทพผูกมัดเอาไว้ อืม ยังต้องหาโอกาสช่วยคน
ส่วนทางอวิ๋นเจี่ยวระดมพลังลมปราณก่อนจะโบยบินขึ้นไป แม้ว่านางจะเป็นกึ่งเทพ ไม่มีทางที่นางสามารถใช้วิชาเวทได้เพียงครั้งเดียวอีกแล้ว แต่เนื่องจากเส้นลมปราณเสวียนมีลักษณะพิเศษ ความเร็วในการชักนำพลังงานลมปราณไม่ช้า แต่ก็ยังใช้เวลานาน อีกทั้งพลังเทพที่นางดูดกลืนเข้าไปในคราก่อนถูกใช้ในดินแดนทับซ้อนสามโลกจนเกือบหมดแล้ว ตอนนี้พลังที่หลงเหลืออยู่ในตัวไม่เพียงพอ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่แย่ที่สุด นางไม่มั่นใจว่าจะหยุดจี้เฟิงได้
อีกทั้งอีกฝ่ายเชี่ยวชาญด้านดาบ แต่นางค่อนข้างทุ่มเทให้กับด้านวิชาการมากกว่า ทำให้การฝึกสมรรถภาพทางกายล้าหลังอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเมื่อเทียบกับดาบคมของคู่ต่อสู้ นางจึงใช้ได้เพียงวิชาเวทในการตอบโต้เท่านั้น
ทันใดนั้นกลางท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสะท้อนจากวิชาเวช พลังสองกลุ่มกำลังปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้งกลางอากาศ ดาบของจี้เฟิงเป็นอาวุธเทพ ทุกครั้งที่สะบัดล้วนเต็มไปด้วยพลังที่ราวกับพายุโหมกระหน่ำกวาดเข้ามา ตอนแรกอวิ๋นเจี่ยวหลบหลีกอย่างยากลำบาก แต่หลังจากที่ค่ายกลแต่ละอันประกอบขึ้น ร่างกายของนางเริ่มเคลื่อนไหวกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ลมดาบเหล่านั้นไม่อาจสัมผัสกับตัวนางได้แม้แต่น้อย อีกทั้งนางยังมีเวลาในการใช้วิชาเวทจู่โจมไปยังจี้เฟิง
จี้เฟิงต้านได้หลายที สีหน้าของเขายิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ราวกับไม่อยากจะยืดเยื้อต่อไป สีหน้าของเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา “ฮึ เป็นเพียงกึ่งเทพ คิดจะต่อต้านเทพได้หรือ”
เขาเก็บอาวุธเทพในมือลง ก่อนที่จะใช้สองมือท่องคาถาผนึกซับซ้อนขึ้นมา พลังเทพบนตัวของเขาหลั่งไหลออกมาอย่างมาก พลังอำนาจมหาศาลหล่นทับลงมาจากกลางอากาศ ค่ายกลป้องกันที่ชายแก่วางไว้หลายชั้นปรากฏรอยร้าวขึ้น แม้แต่อวิ๋นเจี่ยว ยังรู้สึกว่าตัวหนักอึ้ง นางคุกเข่าข้างหนึ่งลงไป ค่ายกลที่นางวางไว้ในขณะที่รับมือกับอีกฝ่ายเมื่อครู่ก็ล้วนแตกสลายออก
ท้องฟ้าที่แจ่มใสมืดมนขึ้นในทันใด ลมดาบรอบข้างหยุดชะงักลง ด้านหลังของจี้เฟิงปรากฏร่างสีทองขนาดใหญ่ ท้องฟ้าที่กว้างขวางสามารถรองรับร่างของอีกฝ่ายได้เพียงครึ่งตัว
นี่คือ…ร่างเวทของเขา?!
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง เขาคิดจะให้ตายกันไปข้างเลยหรือ
พลังอำนาจรอบด้านหนักขึ้น อวิ๋นเจี่ยวมีความรู้สึกเหมือนจะถูกบดละเอียด ทันใดนั้นแสงสีทองแห่งคุณงามความดีรอบตัวปรากฏขึ้นห่อหุ้มนางเอาไว้ด้านในอีกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับการพ้นจากการทำร้ายก่อนหน้านี้ ครานี้ความรู้สึกที่ถูกกดทับเอาไว้ก็ยังคงไม่หายไป
“ถึงแม้เจ้าจะมีแสงทองแห่งคุณงามความดีคุ้มครองร่างกาย แต่วันนี้ข้าก็จะกำจัดเจ้าผู้ปั่นป่วนลิขิตสวรรค์!” ความอาฆาตในดวงตาของจี้เฟิงเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับความกังวลก่อนหน้านี้ ครานี้เขาลงมืออย่างไม่รีรอ
เห็นเพียงแต่ร่างเวทขนาดใหญ่นั้น ยกมือขึ้น ทั่วทั้งท้องฟ้าเกิดการสั่นสะเทือน อาวุธวิเศษมากมายที่ก่อตัวจากพลังเทพปรากฏขึ้นเต็มท้องฟ้า แต่ละชิ้นล้วนเต็มไปด้วยพลังที่เพียงพอต่อการทำลายล้างฟ้าดินพุ่งตรงลงมาทางอวิ๋นเจี่ยว
“เจ้าหนู!” ชายแก่ตกใจ คิดจะเข้าไปช่วย แต่อย่าว่าแต่จะเข้าไป แม้แต่ลุกขึ้นยืนเขายังทำไม่ได้ ค่ายกลป้องกันกว่าหลายสิบชั้นพังทลายอย่างสิ้นซาก
ร่างเวทของจี้เฟิงแข็งแกร่งอย่างมาก มันเป็นพลังที่อยู่เหนือทั้งสามโลก พวกเขาไม่อาจขัดขืนได้ แม้แต่แสงทองแห่งคุณงามความดีรอบตัวของอวิ๋นเจี่ยวก็เริ่มบางลงเมื่ออาวุธเทพเหล่านั้นโจมตีลงมา ส่วนอาวุธที่ร่วงหล่นลงมาราวกับหยาดฝนนั้นมากเสียจนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
ไม่ถึงชั่วครู่ แสงสีทองก็แทบจะสลายไปจนหมดสิ้น ในขณะที่อาวุธที่ร่างเวทของจี้เฟิงเสกออกมาจะจู่โจมถูกตัวของอวิ๋นเจี่ยวนั้น นางกัดฟันหยิบยันต์สีทองขึ้นมาแปะไว้บนตัวอย่างไม่รีรอ
แทบจะในขณะเดียวกับยันต์ถูกกระตุ้น พลังที่มองไม่เห็นกลุ่มหนึ่งกวาดผ่านรอบตัวของนางไป อาวุธทั้งหลายล้วนแหลกละเอียดเป็นเถ้าถ่าน อีกทั้งกระจายตัวออกไปราวกับคลื่นน้ำ ทันใดนั้นสลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงฝุ่นผงกลางอากาศ
อีกทั้งมีพลังที่มองไม่เห็นบางอย่างกวาดไปทางร่างเวทขนาดใหญ่กลางอากาศ
ได้ยินเพียงเสียงบางอย่างดังขึ้น ร่างเวทของจี้เฟิงแหลกออก ตามมาด้วยบิดเบี้ยวแล้วสลายหายไป