ศึกสยิวเกราะศาสตรา - ตอนที่ 8
ตอนที่แปด นอกสนาม
ท่ามกลางห้องที่มืดมิดมีเพียงแสงไฟจากหน้าจอสิ่งประดิษฐ์เวทย์มนต์ที่หน้าตาคล้ายแท็บเล็ต แสงไฟจากอุปกรณ์ส่องกระทบกับใบหน้างดงามที่นิ่งเฉยของเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของ
“คลูจัง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาใช้อุปกรณ์เวทย์ต้องเปิดไฟน่ะ”
พรึบ!
แสงไฟในห้องถูกเปิดขึ้นโดยนิ้วมือเรียวยาวของหญิงสาวร่างสูงผู้มาใหม่ เธอมีใบหน้าที่งดงามแต่เพราะแววตาที่แข็งกร้าวและคิ้วหนาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยทำให้เธอดูไม่เป็นมิตรนัก ดวงตาสีส้มและผมสีแดงเพลิงยาวถึงกลางสะโพกยิ่งขับภาพลักษณ์ให้เธอยิ่งดูเป็นสาวอารมณ์ร้อนหนักเข้าไปอีก
ช่างแตกต่างกับหญิงสาวร่างเล็กในห้องราวกับขั้วตรงข้าม หญิงสาวร่างเล็กที่จ้องอุปกรณ์เวทย์มนต์อย่างไม่วางตา เธอมีดวงตาสีม่วงที่ดูพิศวง ผิวขาวซีดที่ราวกับภูติพราย และผมสีควันบุหรี่ตัดสั้นเสมอไหล่
“คนประหลาด” หญิงสาวร่างเล็กพึมพัมออกมาด้วยน้ำเสียงโมโนโทนที่ไม่สามารถสัมผัสถึงอารมณ์ได้
“คลูจัง ฉันไม่ได้ประหลาดสักหน่อยนะ” กลับกันหญิงสาวผมแดงกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงที่ฉายชัดออกมาจากสีหน้าแววตาและน้ำเสียง
“ไม่ได้หมายถึง เฟรย่า”
คลูพลิกตัวจากที่นอนขึ้นมานอนหงายเผยให้เห็นผิวกายที่ขาวราวภูติหิมะ และภูเขาหิมะสองลูกของเธอที่มีขนาดเพียงมาตรฐานตามค่าเฉลี่ยของเด็กมอต้นสวนทางกับอายุจริงๆของเธอ
“ดูนี่สิ”
“ห่ะ?ดะดะดะ..ดูอะไรคลูจังลามก! ระ..ไร้ยางอายเกินไปแล้ว”
“นี่”
คลูไม่ได้สนใจท่าทางเขินอายจนหน้าแดงของหญิงสาวที่ชื่อว่าเฟรย่าเลยแม้แต่น้อยและเธอก็ไม่ได้ใส่ใจจะจัดการกับสภาพชุดนอนของตัวเองเลยสักนิด สิ่งที่เธอทำมีเพียงแค่การยื่นอุปกรณ์เวทย์มนต์ที่กำลังฉายภาพลานประลองไปให้เพื่อนสาวดูเท่านั้น
“หือ? ประลองอาร์มเหรอ? โอ้นั่นมันไอ้เด็กบ้าน้องชายรีเบกก้านี่ เห็นยัยนั่นชอบมาบ่นให้ฟังว่าเด็กนั่นฝีมือกระจอกแต่ปากหมาไปทั่ว สงสัยวันนี้คงจะโดนดีแล้วล่ะ”
เมื่อเฟรย่าเห็นอาร์มสีแดงสลับขาวที่คุ้นตาก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที และเมื่อดูชื่อของผู้เข้าประลองทางซ้ายของจอก็มั่นใจขึ้นมาในทันทีว่าไลฟ์การประลองที่คลูกำลังดูอยู่เป็นการต่อสู้ของน้องชายตัวแสบของเพื่อนสาวของพวกเธอ
“ไม่ใช่ อีกคน” คลูส่ายหน้าไปมาเบาๆแล้วชี้ไปที่ข้อมูลของผู้เข้าประลองอีกคนที่อยู่ทางขวาหน้าจอ
“หือ? อีกคน? เฮ้ยแรงค์หนึ่งนี่หว่า!! มันรังแกกันชัดๆเลยนี่ไอ้เด็กบ้านั่นเจอกันคราวหน้าฉันจะสั่งสอนมันเอง”เฟรย่าพอเห็นระดับของผู้เข้าประลองอีกคนถึงกับโกรธจนหน้าแดงสะบัดหัวไปมาฟึดฟัดเธอไม่คิดฝันเลยว่าจะเห็นการประลองที่ไม่เท่าเทียมหนักขนาดนี้
“ใจเย็น เฟรย่า” คลูพูดพลางสะกิดแขนให้เพื่อนสาวอารมณ์ร้อนของเธอนั่งลงดูการประลองให้จบก่อน
“เฮ้ยๆ”
“หว่าา เกือบไปแล้ว!!”
“ทำไมไอ้หน้าหล่อนั่นมันไม่เรียกอาร์มออกมา ถึงจะแรงค์หนึ่งแต่น่าจะเสริมความสามารถให้อยู่นี่นา”
“เอาวุ้ยย!! เรียกอาร์มออกมาแล้ว…..เฮ้ยยย!!โดนหมัดแรงค์สิบแปดไปเต็มๆเลย จบแล้วมั้ง”
หญิงสาวร่างเล็กแอบยิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวจอมโหวกเหวกโวยวายของเธอสนุกไปกับการดูการประลองผ่านอุปกรณ์เวทย์มนต์ แต่รอยยิ้มของเธอก็ต้องหุบลงเมื่อเลื่อนสายตากลับมามองที่หน้าจอและได้เห็นชุดเกราะของผู้ชายแรงค์หนึ่งที่มีวิธีการต่อสู้ที่แปลกประหลาดราวกับกำลังยั่วโมโหคู่ต่อสู้ของเขาอยู่
“อาร์มสีดำ? แปลกมาก”
คูลเท้าคางมองดูร่างในจอ ภาพที่เธอเห็นคือ นักรบในชุดเกราะสีดำสนิทที่แขนซ้ายของเขาห้อยลงมาอย่างหมดสภาพ กำลังพยายามกลิ้งหลบการกระหน่ำแทงจากคู่ต่อสู้ของตนอย่างสุดกำลัง
“คลูจังแปลกยังไงเหรอ?” เฟรย่าที่ไม่เข้าใจว่าอาร์มสีดำมันแปลกตรงไหนจึงเอ่ยถามเพื่อนสาวตัวน้อยของเธอ
“StarArmor 6 รุ่นเดียวกับของวายุคลั่ง” คลูใช้นิ้วเรียวของเธอชี้ไปที่ข้อมูลอาร์มของผู้เข้าแข่ง ที่แสดงอยู่บนจอภาพ
“ใช่จริงด้วยรุ่นเดียวกับของเวนดี้จัง เอ๋!แต่ทำไมล่ะ? ไม่ใช่ว่าสตาร์ซีรี่ย์แต่ละรุ่นจะผลิตชิ้นเดียวให้กับคนสำคัญของตระกูลครอสโอเวอร์หรอกเหรอ?..ไม่สิที่สำคัญกว่านั้นชุดเกราะสตาร์ซีรี่ย์มันจะต้องส่องสว่างสีขาวเหมือนดวงดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืนสิ ฉันจำได้ว่ามันเป็นคอนเซ็ปที่ตาแก่พร้ำเพ้อตอนตีมันขึ้นมาอยู่ทุกวี่ทุกวันจนน่าลำคาน”
เฟรย่าหยิบแท๊บเลตของตนเองขึ้นมาเปิดหาข้อมูลของชุดเกราะที่ตีขึ้นโดยพ่อของเธอมาเปรียบเทียบกับลักษณะของชุดเกราะที่ปรากฏอยู่บนจอของคูลด้วยความงงงวย
“รุ่นหกมีสองชิ้นน่ะถูกแล้ว มันถูกเรียกกันในหมู่ช่างสร้างอาร์มว่าดาวแฝด(TwinStar)เพราะว่าตระกูลครอสโอเวอร์ไม่มั่นใจว่าผู้สืบทอดของพวกเขาจะตายในค่ายเชลยรึเปล่า จึงสั่งตีชุดเกราะสำหรับผู้นำตระกูลขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นแรกให้พายุคลั่งใช้อย่างที่เรารู้กัน ส่วนชิ้นที่สองถูกเก็บรักษาไว้รอผู้นำตัวจริงกลับมาจากสงคราม เฟรย่าพอการแข่งจบฉันจะโหลดวิดีโอจากไลฟ์นี้ลงมาให้ ส่วนเธอช่วยเอาไปส่งให้พ่อของเธอตรวจดูด้วย ” คูลจ้องมองชุดเกราะเริ่มต้นในสนามด้วยความรู้สึกหลากหลาย ในฐานะที่เป็นช่างตีชุดเกราะคนนึงการเห็นชุดเกราะที่ครั้งหนึ่งตนเองเคยช่วยกันกับพ่อของเพื่อนตีขึ้นมากลายเป็นสิ่งที่หลุดจากคอนเซปไปไกลถือเป็นความอัปยศในฐานะช่างและศิลปินคนนึง อีกใจนึงก็ใคร่สงสัยในการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ฉันดีใจนะที่ได้เห็นคลูจังพูดยาวๆบ้าง แต่ว่าตาแก่นะตาแก่ทีกับลูกสาวแท้ๆของตัวเองดันไม่บอกอะไรเลย แต่ดันบอกคลูซะได้”
“อื้อ” คลูครางในลำคอตอบรับเบาๆก่อนที่จะให้ไปสนใจภาพการประลองในหน้าจอต่อ
“แต่ผู้นำตัวจริงของครอสโอเวอร์ก็น่าสงสารนะ โดนน้องสาวแย่งชุดเกราะระยะใกล้ไปซะได้ ฉันเห็นความคล่องตัวของเขาแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาได้เริ่มต้นด้วยชุดเกราะระยะใกล้เขาคงไม่พ้นพัฒนาไปเป็นสายมือสังหารที่เก่งที่สุดในประเทศเราแน่ๆ ก่อนหน้านี้แม้ไม่ใส่อาร์มยังหลบการโจมตีของแรงค์สิบแปดได้นี่ก็นับว่าเหนือมนุษย์แล้วล่ะ”
เฟรย่ามองภาพที่ครูสวิ่งหลบหลีกดาบยาวของบ็อกกาและยิงโต้ตอบกลับด้วยกระสุนพลังงาน ด้วยความเสียดาย ถึงแม้อีกฝ่ายจะช้าและโง่ขนาดไหนแต่ความห่างของระดับที่มาถึงสิบเจ็ดนั้นไม่อาจกลบด้วยฝีมือเพียงอย่างเดียวแน่ๆ สิ่งที่พอจะอธิบายภาพที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าได้นั้นมีเพียงคำที่เหนือธรรมชาติและสามัญสำนึกอย่าง พรสวรรค์
“สายผสม”
คลูพึมพัมออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้อีกเช่นเคย ทำเอาเฟรย่าที่นั่งอยู่ข้างๆเมื่อได้ยินถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“สายผสม? เหมือนมิดจังน่ะเหรอ? ฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกนะคลูจัง ถึงมิดจังถูกขนานนามว่าสายผสมก็จริงแต่ความจริงเธอเป็นสายระยะใกล้ประเภทดาบที่อาวุธพัฒนาไปทางด้านระยะการโจมตี ดังนั้นเธอจึงถูกหลายคนเรียกว่าเป็นสายผสม แต่ในสายระยะไกลต่อให้โจมตีระยะใกล้ได้แต่ในแง่ของประสิทธิภาพน่ะคงสู้พวกสายระยะใกล้จริงๆไม่ได้หรอกนะ เพราะการโจมตีของสายระยะไกลกินมานายังไงล่ะ”
สิ่งที่เฟรย่ากล่าวมาก็ไม่ได้ผิดนัก สายระยะไกลเปลี่ยนมานา(พลังงานเวทย์มนต์)เป็นกระสุนโจมตี แต่สายระยะใกล้นั้นเน้นใช้งานอาวุธที่งอกเพิ่มขึ้นมาหลังจากอาร์มวิวัฒนาการ โจมตีใส่ศัตรูโดยเสียมานาเฉพาะเวลาใช้สกิลเสริมประสิทธิภาพการโจมตี ดังนั้นการที่สายระยะไกลโจมตีระยะใกล้ได้ก็ไม่ได้มีแต้มต่ออะไรมากมายเพราะสุดท้ายก็ใช้มานาตลอดการโจมตีอยู่ดี
*ประมาณว่าสายระยะไกลไม่มีอาวุธเลยต้องใช้มานาตลอดต่อให้สู้ระยะใกล้ได้ก็กลายเป็นว่าพลังโจมตีไม่พอจะเจาะเกราะศัตรูจนต้องใช้มานาช่วยอยู่ดี
“คิดว่าเขาต่าง” หลังฟังคำเฟรย่าจบคลูก็ส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงว่าเธอนั้นไม่เห็นด้วย แล้วหันกลับไปจดจ่อกับการประลองต่อ
ในจอภาพ ครูสในชุดเกราะสีดำเรียบๆไม่สะท้อนแสง หลบหลีกการโจมตีจากดาบยาวของบ็อกกาในชุดเกราะสีแดงขาวไปเรื่อยๆ จนก็เริ่มเห็นได้ชัดแล้วว่าบ็อกกาที่แบกภาระเป็นน้ำหนักของชุดเกราะหนากับดาบยาวแสดงอาการร้อนรนและหอบด้วยความเหนื่อยล้าจนท้วงท่าเริ่มสะเปะสะปะขึ้นเรื่อยๆ
การกวัดแกว่งดาบที่มีน้ำหนักมากย่อมเป็นภาระต่อร่างกายของผู้ใช้ตามไปด้วย ถึงแม้อาร์มจะเติบโตตามลักษณะของผู้ใช้ก็จริงแต่ก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดและประสบการณ์ของผู้ใช้อาร์มด้วย
อาการที่บ็อกกาแสดงออกมาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ที่จริงมันนับเป็นเรื่องทั่วไปที่พบได้ในหมู่ผู้ใช้อาร์มเลยก็ว่าได้ จะว่าเป็นค่านิยมก็ได้ที่อัศวินจะต้องใช้ดาบ เพราะผู้ใช้อาร์มยึดติดแนวคิดแบบนี้ดาบจึงเป็นอาวุธที่มักจะได้เป็นอาวุธประจำกายกันทุกคน ถึงแม้ว่าสรีระหรือความถนัดของเขาจะไม่ใช่ดาบก็ตาม
ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็จะถนัดขึ้นมาเองหรืออาร์มจะปรับสภาพดาบตามลักษณะความถนัดของผู้ใช้ จากดาบอย่างเซเบอร์อาจเปลี่ยนเป็นดาบแบบเรเปียร์หรือแซมเซอร์ก็ได้ เพราะอาร์มเก็บข้อมูลจากผู้ใช้อยู่ตลอดเวลาดังนั้นในแรงค์สูงๆภาระในการใช้งานอาวุธที่ไม่ถนัดจะลดลง
บ็อกกาที่ระดับเพียงสิบแปด เห็นได้ชัดว่าดาบยาวของเขาหนักเกินกว่าเขาจะใช้มันได้อย่างต่อเนื่อง บางทีถ้าเขาขึ้นระดับยี่สิบดาบของเขาอาจวิวัฒไปเป็นดาบที่เบายิ่งกว่านี้หรืออาวุธประเภทอื่นเลยก็ได้ บวกกับท่าเหวี่ยงดาบแม้จะฝึกฝนมาแต่ก็ไม่ได้ชำนาญมากจึงทำให้มีกสรเคลื่อนไหวเปล่าประโยชน์ที่กินแรงมาก
“คูลดูสิดูเหมือนไอ้เด็กนั่นถ้าจะเหนื่อยจนตามความเร็วของคุณผู้นำตัวจริงของครอสโอเวอร์ไม่ไหวแล้ว ก็นะโดนทิ้งระยะห่างขนาดนั้น น่าสมเพชชะมัดแรงค์ตั้งสิบแปดทำได้แค่นี้ไม่สมกับเป็นน้องชายของรีเบกก้าเลยสักนิด”
เมื่อถูกทิ้งระยะห่างชายในชุดเกราะทั้งสองหยุดยืนเหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่พักนึง พริบตาต่อฝั่งชุดเกราะสีแดงขาวก็ดีดตัวพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วด้วยพลังทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าใช้สกิลเสริมความสามารถไปหลายสกิลเพื่อปิดฉาก
ดาบยาวมีพายุไฟสีแดงฉานพวยพุ่งออกมา ทำหน้าที่คล้ายแท่นยิงจรวด ส่งตัวบ็อกกาพุ่งเข้าหาครูสอย่างรวดเร็ว บางทีชายหนุ่มคงทุ่มเทมานาอันน้อยนิดของสายระยะใกล้ทั้งหมดกับการโจมตีครั้งนี้
แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีต่อมาก็ทำให้ผู้ชมเบิกตากว้างด้วยความตกใจรวมถึงคูลและเฟรย่าด้วยเมื่อชายในชุดเกราะสีดำทมิฬปาทรายที่กำไว้ใส่หน้าอีกฝ่าย
จะว่าเป็นการกระทำที่สกปรกไหมก็ ใช่!
แต่ทรายที่ว่ามานี่ไม่น่าจะสามารถหยุดการพุ่งตัวที่ราวกับจรวดมิสไซส์ของผู้ใช้อาร์มระดับสิบแปดได้เลย
“เฮ้ย! คูลจังทำไมไอ้เจ้าบ็อกกามันลงไปนอนดิ้นเลยล่ะ แค่ทรายเข้าตาเองไม่ใช่เรอะ”
เฟรย่าจ้องมองหน้าจออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเธอเอาหน้าแนบชิดมันจนแทบจะเข้าไปสิงในอุปกรณ์เวทย์อยู่แล้ว
“เสริมพลังเวทย์”
เพียงประโยคสั้นๆทำเอาหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงผล๊ะออกจากอุปกรณ์เวทย์หันมาจ้องคนตัวเล็กกว่าด้วยที่ตาโตเหมือนไข่ห่าน
“เชี้**ไม่อยากนึกสภาพในหมวกเกราะเลย หน้าคงเละ บรึ้ย! ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้นำของครอสโอเวอร์จะใช้เทคนิคของช่างสร้างอาร์มได้ด้วย พี่ชายของเวนดี้จังนี่น่ากลัวเกินไปแล้ว พายุลูกที่สองกำลังจะโหมกระหน่ำสินะ”
“คงไม่ได้ตั้งใจหรอกเห็นถนัดยิงกระสุนมานา คงเอามาประยุกต์ใช้อัดเข้าทรายโดยบังเอิญมากกว่า แต่อย่างที่คิดเลยเขาแปลกจริงๆ”
“ใช่! ทำให้คูลจังต้องพูดยาวๆหลายรอบได้เนี่ยเก่งจริงๆ ฮ่าๆ”
ขณะที่คนตัวเล็กวิเคราะห์อย่างใจเย็น คนตัวโตกว่ากลับหัวเราะชอบใจด้วยเรื่องไร้สาระ ทำเอาคลูลอบถอนหายใจด้วยความหน่ายในตัวเพื่อนสาวของเธอเลย
สุดท้ายการประลองก็จบลงด้วยชัยชนะของครูส ชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำหยิบดาบยาวที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง โจมตีเข้าใส่กลางลำตัวของเจ้าของของมันปิดฉากการประลองของผู้ใช้อาร์มที่มีระดับห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์