ศึกเดือด มหากาฬ - บทที่ 6 เรียกคนมาอีก
หลินเทียนเชิงถือเป็นเนื้อร้ายหนึ่งของเมืองฉือ เขามีงานอดิเรกสุดแสนโรคจิตอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการทรมานผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
อีกทั้งยังชอบดูลูกและสามีของหญิงคนนั้นตายตาไม่หลับด้วยความอัปยศอดสู
และทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่ามีการปกป้องจากตระกูลหลิน คนในเมืองฉือจึงไม่มีใครกล้าอาละวาดอะไรเลย
เฉินอีไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่านายท่านตระกูลหลินเป็นพ่อประสาอะไรกันแน่ ถึงได้สั่งสอนอบรมให้หลินเทียนเชิงกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานแสนโหดเหี้ยมแบบนี้ได้
ถ้าหากฉินปิงหลันไม่เคยเป็นสาวสวยอันดับหนึ่งของเมืองฉือมาก่อน แล้วหลินเทียนเชิงอยากให้เธอรุกไปถวายตัวถึงบนเตียงเพื่อสนองตัณหากามของตัวเอง บางทีพวกเธอสามแม่ลูกก็คงจะไม่ต่างกับคนอื่นๆ ที่หายตัวไปจากเมืองฉืออย่างไร้สุ้มเสียง
แต่คงเพราะหลายปีมานี้ เขาหมดความอดทนต่อฉินปิงหลันแล้ว ถึงได้มีเหตุการณ์ทรมานเด็กน้อยทั้งสองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ตอนนี้ หลินเจิ้นหลงนายท่านตระกูลหลินที่กำลังอยู่ในคลับเฮาท์เมืองชิงชวน ทันทีที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของลูกชายโทรเข้ามาถึงตะลึง
ลูกชายของตัวเองคนนี้วันๆ เอาแต่หลงใหลอยู่ตัวของผู้หญิงแต่งงานแล้ว วันนี้ทำไมถึงได้มีเวลาโทรมาหาเขาได้กัน ?
แต่ทันทีที่กดรับสาย เสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือของหลินเทียนเชิงก็ดังแทรกเข้ามา
พ่อ ช่วยด้วย พ่อของยัยยัยลูกผสมกลับมาแล้ว เขาตัดแขนทั้งสองข้างของผมไป แล้วยังจะตัดขาผมด้วย
พ่อ รีบส่งคนมาช่วยผมเร็วเข้า ผมไม่มีแขนแล้ว ผมต้องตายแน่ๆ
จริงด้วย เขายังบอกอีกว่าหนึ่งนาทีจะตัดขาผมหนึ่งข้าง พ่อ รีบมาช่วยผมหน่อย ผมยังไม่อยากตาย
หลินเจิ้นหลงชักสีหน้าทันที เทียนเชิง แกอยู่ที่ไหน?ฉันจะรีบส่งคนไปช่วยแก แก……
เขาอยู่ที่คฤหาสน์ริมน้ำ เฉินอีพูดจบก็เหยียบโทรศัพท์ของหลินเทียนเชิงจนแตก
เมื่อได้เสียงปลายสายร้อง ตุ๊ดๆ หลินเจิ้นหลงยกหมัดขึ้นทุบโต๊ะชาตรงหน้าจนหัก กล้ามาแตะต้องลูกชายของหลินเจิ้นหลง รนหาที่ตาย
เหล่าสหายที่นั่งดื่มชาด้วยต่างหันมากล่าวถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลินเจิ้นหลงไม่มีเวลาที่จะมาอธิบาย รีบโทรศัพท์กลับไปยังเมมืองฉือทันที เจิ้นหู่ รีบพาคนไปที่คฤหาสน์ของเทียนเชิงเดี๋ยวนี้ เทียนเชิงถูกกุดแขนแล้ว หลังจากไปแล้วช่วยตัดทั้งแขนและขาของไอ้คนร้ายนั้นให้หมด ฉันอยากจะให้ต้องร้องขอชีวิตไม่ได้ขอความตายไม่ได้เลย
ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ฉันอยากจะเห็นกับตาว่าใครกันที่บังอาจใจกล้ามาแตะต้องลูกชายของฉัน
หลินเจิ้นหลงรีบเดินทางกลับไปยังเมืองฉืออย่างรวดเร็ว ในระหว่างทางเขาพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะโทรศัพท์ไปหาหลินเทียนเชิง แต่มันกลับแจ้งว่าเครื่องปิดทำงานอยู่ตลอด จนทำให้ความรู้สึกไม่ดีในใจยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่หลินเทียนเชิงร้องขอความช่วยเหลือ และรู้ว่าคนตระกูลหลินกำลังจะส่งคนมาช่วยเขา ความกลัวที่มีต่อเฉินอีก็พลันลดลงไป ดวงตาชั่วร้ายทั้งสองจ้องเขม้นไปยังเฉินอี พร้อมกับแอบคิดว่ารอให้คนตระกูลหลินมาแล้ว จะต้องสับให้คนพวกนี้เป็นท่อนๆ แน่
เฉินอีเหลียวมองหลินเทียนเชิงอย่างเฉยชา เอาเขายัดเข้าไปในกรงสุนัขซะ!
องครักษ์มังกรเลื่อนกรงสุนัขเข้ามา แล้วยัดตัวหลินเทียนเชิงเข้าไปด้านใน ก่อนที่จะใช้พลั่วตักขี้สุนัขตรงมุมกำแพงมาโยนใส่หน้าของหลินเทียนเชิง
หลินเทียนเชิงจากที่ร้องตะคอกด่าทอ จนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสายตาที่มองมาราวกับกำลังมองดูคนไร้สติจากพวกขององครักษ์มังกรแทน โดยที่ไม่มีใครสนใจเขาเลย
เฉินอีนั่งอยู่ใต้ร่มกันแดดอันใหญ่ โดยมีมังกรสองจนถึงมังกรเจ็ดทั้งหกคนยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังของเฉินอี และข้างๆ ก็คือกรงสุนัขที่มีหลินเทียนเชิงอยู่ด้านใน
ประตูคฤหาสน์เปิดกว้างรอคนของตระกูลหลินมาถึงอย่างเงียบๆ
ในเวลาเพียงสิบนาที เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น จากนั้นรถราวยี่สิบคันก็เรียงแถวเหยียดยาวพุ่งตรงเข้ามาในคฤหาสน์ริมน้ำ จอดลงตรงหน้าของศพที่ตั้งอยู่
ประตูรถเปิดออก คนจำนวนนับร้อยเดินถือมีดถือขวาน ที่ล้วนแสดงสีหน้าโหดเหี้ยม อายสังหารฟุ้งกระจายไปทั่ว รวมตัวเดินตามหลังชายหัวล้านคนหนึ่ง โดยที่สีหน้าสุดแสนเหี้ยมโหดนั้นกำลังจ้องมองไปยังเฉินอีที่กำลังนั่งอยู่ในร่มกันแดด
ชายหัวล้านคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือน้องรองของตระกูลหลินนั่นเอง ซึ่งพี่ใหญ่แห่งโลกใต้ดินของเมืองฉือนั่นก็คือหลินเจิ้นหู่
หลินเจิ้นหู่ที่เห็นศพกว่ายี่สิบศพ ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
เจอกับคนแกร่งแล้วสิ ทุกคนล้วนตายด้วยการเคลื่อนไหวเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น หลินเจิ้นหู่จึงไม่ได้คิดใส่ใจอะไรมากมาย
สองหมัดยากจะสู้สี่มือ เป็นปรมาจารย์แล้วจะยังไง ต่อให้จะร้ายกาจแค่ไหน มีหรือที่จะสู้กับคนนับร้อยของตัวเองได้ ?
คนที่ตัวเองพามา ต่างเคยได้เห็นเลือดนองมาหมดแล้ว และสามารถฆ่าคนได้เลยในพริบตาเดียว
ไอ้หนุ่ม หลานของฉันล่ะ ?ให้เข้าใจง่ายๆเลยนะ รีบปล่อยเขามาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่ามาหาว่ามีดของฉันไม่มีตา หลินเจิ้นหู่จงใจตวาดมีดขึ้นชี้ไปยังเฉินอี
เฉินอียังไม่ทันได้พูด หลินเทียนเชิงที่อยู่ในกรงสุนัขก็ชิงโหยหวนขึ้นมาเสียก่อน คุณอารอง ผมอยู่นี่ รีบช่วยผมออกไปด้วยคุณอารอง
หลินเทียนเชิงที่ได้เห็นคนสนิท น้ำมูกน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา แต่น่าเสียดาย เขาไม่มีมือที่จะสามารถเช็ดมันออกได้แล้ว
ทันทีที่หลินเจิ้นหู่ได้เห็นถึงกับชักสีหน้าทันที เขาได้ยินเพียงพี่ใหญ่บอกว่าหลานถูกกุดแขนไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะไม่มีแขนทั้งสองข้างแล้ว ยังถูกขังเอาไว้ในกรงสุนัขอีกด้วย
นี่ถือเป็นการตบหน้าตระกูลหลินฉากใหญ่เลยทีเดียว ตัดหนทางของตระกูลหลินชัดๆ!
เทียนเชิง ไม่ต้องกลัว คุณอารองจะต้องช่วยแกออกมาให้ได้ หลินเจิ้นหู่สะบัดมือขึ้น ลุยเลย สับพวกเขาให้หมดแล้วโยนให้สุนัขกินซะ
คนนับร้อยถือมีดและขวานพุ่งเข้าไปหาเฉินอีและคนอื่นๆ เฉินอียังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ในหาที่พวกมังกรสองทั้งหกคนราวกับศรธนูทั้งหกที่พุ่งกระโจนเข้าไปในฝูงชน
ต่อให้จะเป็นกองกำลังพิเศษระดับสูงสุดของโลกยังไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์มังกรได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับพวกมือสมัครเล่นในเมืองฉือพวกนี้
เพียงชั่วพริบตา คนจำนวนนับร้อยก็ถูกพวกของมังกรสองจัดการจนเกลื่อนกลาดไปหมดพร้อมกับเสียงโหยหวนที่ร้องสูงขึ้นมาตามๆ กัน
ในระยะเวลาเพียงสิบกว่าวินาที ลูกสมุนของตระกูลหลินก็ถูกตีจนตายไปแล้วสามสิบกว่าศพ ส่วนบางคนกลับพยายามดิ้นรนวิ่งหนีออกไปด้านนอก ในขณะที่อีกฝ่ายไล่เอาชีวิต ฝั่งของตัวเองแม้แต่มีดยังไม่เฉียดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้เลย นี่มันสู้กันอย่างไร?
หลินเจิ้นหู่ที่ถูกมังกรเจ็ดไล่ต้อนจนถอยหลังไป อยากที่จะร้องตะโกนให้ลูกน้องหยุดหนี แต่ท่ามกลางความเป็นความตายกลับไม่มีใครที่ฟังเขาเลย
พวกนักเลงที่เพิ่งวิ่งไปจนถึงประตูคฤหาสน์ ก็ต้องพบกับรถวิบากห้าคันที่กำลังแล่นเข้ามาก่อนที่จะจอดขวางทางประตูเอาไว้ จากนั้นคนกว่ายี่สิบพลางเดินลงมาพร้อมกับกลิ่นดินปืนที่ฟุ้งกระจายมาอย่างรุนแรง
คนที่กล้าทำร้ายนายหญิงและนายน้อยแห่งสำนักมังกรลับ ฆ่าทิ้งให้หมด! องครักษ์เสือของสำนักมังกรลับที่เพิ่งจะปลีกตัวมาจากสงคราม พุ่งเข้าไปขวางทางพวกลูกนักเลงเหล่านี้เอาไว้โดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
พวกนักเลงรู้สึกบรรยากาศที่หายใจไม่ออกปะทะเข้ามาใส่หน้า เพียงวูบเดียว พวกเขาที่ราวกับได้เห็นภาพกองศพทะเลเลือดก็พากันขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้
แต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็สงบลงมา เพราะว่าไม่มีชีวิตให้รู้สึกสั่นสะท้านได้อีกแล้ว
ในขณะที่อีกฝั่ง หลินเจิ้นหู่ก็ถูกกดลงไปกับพื้น
องครักษ์มังกรและองครักษ์เสือพากันแบกหลินเจิ้นหู่มายังตรงหน้าของเฉินอี
กลุ่มขององครักษ์เสือพากันชันเข่าหนึ่งข้างลง พวกเราองครักษ์เสือแห่งสำนักมังกรลับ มาช้าเกินไป เจ้ามังกรโปรดลงโทษด้วย
ลุกขึ้นเถอะ! เฉินอีพูดด้วยเสียงที่นิ่งเรียบ
องครักษ์เสือรีบลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกไปอีกด้าน
แกเป็นใครกันแน่? หลินเจิ้นหู่มองไปที่เฉินอีด้วยความประหลาดใจ
สำนักมังกรลับ?นี่มันองค์กรอะไรกัน?
อย่าบอกนะว่าเป็นองค์กรลับของหน่วยทหาร ?
จริงด้วย ต้องเป็นแบบนี้แน่ พวกองครักษ์เสือนั่นดูก็รู้ว่าเพิ่งจะออกจากสงครามมา เพราะร่างกายยังเต้มไปด้วยกลิ่นดินปืนอยู่ จะต้องเป็นคนของหน่วยทหารไม่มีผิด
หลังจากที่คิดได้ หลินเจิ้นหู่เหมือนจะสงบสติลงมา
ถ้สหากคนพวกนี้เป็นคนของหน่วยทหารจริง อย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะจัดการได้ง่ายแล้ว
เรียกคนต่อเถอะ! เฉินอีชำเลืองสายตาไปหาหลินเจิ้นหู่ แล้วยกมือขึ้นมาดูเวลา สิบหน้านาทีถึงแล้ว ตัดขาเขาหนึ่งข้างได้
มังกรสองที่กำลังจะหันตัว หัวหน้าองครักษ์เสือรีบเดินแทรกเข้าไปแล้วใช้ฝ่ามือใหญ่ที่เปื้อนไปด้วยเลือดคว้าขาของหลินเทียนเชิงที่อยู่กรงสุนัขเอาไว้
กล้าทำร้ายนายหญิงและนายน้อย ฉันจะเอาแกให้ตาย
หลินเทียนเชิงที่กำลังสิ้นหวังพยายามดิ้นอย่างหนัก แต่แรงอันน้อยนิดแบบนั้นของเขาเมื่ออยู่หน้าขององครักษ์เสือ ก็ไม่ต่างอะไรกับมดแดงที่คิดเขย่าต้นไม้ใหญ่
กริชในมือของหัวหน้าองครักษ์เสือประกายแสงขึ้นมาพุ่งเข้าไปยังขาของหลินเทียนเชิง
หยุดเดียวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเขาซะ เสียงของหลินเจิ้นหู่ดังขึ้นมา หัวหน้าองครักษ์เสือจึงหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าในมือของหลินเจิ้นหู่มีปืนไฟกำลังจ่อไปที่หัวของเฉินอีอยู่