สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 101 ขออภัย
ตอนที่ 101 ขออภัย
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ไป๋ฉีอวิ๋นหน้าซีดเผือด
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า มองไปทางต่งซื่อ “หลายวันก่อนท่านย่าบอกข้าว่าหากเสร็จพิธีศพของจวนเจิ้นกั๋วกงให้พวกเราย้ายกลับไปที่ซั่วหยาง เดิมทีท่านย่าต้องการจะบอกท่านแม่เองในช่วงสองสามวันนี้เจ้าค่ะ ข้าสอบถามเรื่องซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษของทายาทสายตรงกับพ่อบ้านเหาแล้ว พ่อบ้านเหากล่าวว่าท่านปู่ตั้งใจไว้นานแล้วเจ้าค่ะ ครึ่งปีก่อนท่านปู่ให้พ่อบ้านเก่าแก่ที่คอยดูแลจวนบรรพบุรุษส่งแบบซ่อมแซมมาให้ท่านดูแล้ว จวนบรรพบุรุษกว้างขวางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากซ่อมแซมอย่างจริงจัง คำนวณดูแล้วก็คงราวๆ แปดหมื่นเก้าหมื่นตำลึงเจ้าค่ะ ยังไม่รวมของที่ต้องซื้อมาตกแต่งเพิ่มอีก แต่เพราะจวนของเราหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นไม่ทัน เรื่องนี้จึงต้องระงับไว้ก่อนเจ้าค่ะ”
ไป๋ฉีอวิ๋นใจเต้นรัว นึกว่าไป๋ชิงเหยียนจะใช้เรื่องการซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษเป็นข้ออ้างไม่ให้เงินแก่พวกเขา!
ไป๋ฉีอวิ๋นอดกลั้นจนใบหน้าเขียวคล้ำ
เขาเป็นคนกล่าวออกมาเองว่าสตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงจะกลับไปอยู่ที่ซั่วหยาง หากพวกนางกลับไป สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการซ่อมแซมจวนใหม่ เขารู้สึกเหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ
ไป๋ฉีอวิ๋นยิ้มเย็นอย่างโมโห “จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นถึงตระกูลแม่ทัพใหญ่ ไม่มีเงินแปดหมื่นเก้าหมื่นตำลึงมาซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษ หลานสาวกำลังหลอกผู้ใดอยู่กัน! จวนเจิ้นกั๋วกงเบิกเบี้ยเลี้ยงและเสบียงอาหารของกองทัพได้อย่างสบาย เบิกออกมาทีหนึ่งไม่พอใช้นิ้วนับด้วยซ้ำกระมัง!”
สีหน้าของหญิงสาวเคร่งขรึม “ท่านลุงโปรดระวังวาจาด้วยเจ้าค่ะ! อย่างน้อยท่านก็อาวุโสมากแล้ว เหตุใดจึงกล่าววาจาเหิมเกริมเช่นนี้เจ้าคะ โกงเบี้ยเลี้ยงและเสบียงอาหารของกองทัพคือโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรนะเจ้าคะ ท่านลุงกล้ากล่าว แต่จวนเจิ้นกั๋วกงมิกล้ารับหรอกเจ้าค่ะ”
ไป๋ฉีอวิ๋นเม้มปากแน่น เขาพลั้งปากเพราะความโมโหจริงๆ
ไป๋ชิงเหยียนจ้องเขม็งไปทางไป๋ฉีอวิ๋นแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวกับต่งซื่อต่อ “เรื่องซื้อที่นาแจกจ่ายคนในตระกูล ซ่อมแซมวัดของบรรพชน หอบรรพชน สุสานบรรพชน รวมถึงเรื่องการก่อตั้งสำนักศึกษา ในเมื่อท่านปู่เคยรับปากไว้แล้ว ต่อให้ท่านไม่อยู่แล้วพวกเราก็ควรสานต่อให้เต็มที่ ตระกูลบรรพบุรุษต้องการสี่แสนห้าหมื่นตำลึง ซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษน่าจะใช้เงินสักสองแสนตำลึง เช่นนั้นทั้งหมดก็ประมาณหกแสนห้าหมื่นตำลึง!”
ไป๋ฉีอวิ๋นคิ้วกระตุก นี่มันเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย!
“ท่านแม่ เราจะไม่แตะต้องสินเดิมของท่านและบรรดาท่านอาสะใภ้ ต่อให้รวบรวมมาเพื่อซ่อมแซมวัดของบรรพชน หอบรรพชน สุสานบรรพชน สำนักศึกษา หรือการซื้อที่ดินแจกจ่ายให้คนในตระกูลก็ตาม ไม่ว่าที่ใดก็ไม่เคยมีประวัติแตะต้องสินเดิมของลูกสะใภ้มาก่อน ข้าไตร่ตรองดูแล้ว พวกเราขายกิจการร้านค้าและจวนต่างๆ ของจวนเจิ้นกั๋วกงไปให้หมด รวมทั้งขายที่ดินตามชนบทต่างๆ ออกไปเพื่อรวบรวมเป็นเงินด้วยเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องกลับไปพึ่งพาตระกูลบรรพบุรุษที่ซั่วหยางอยู่แล้ว เราจากไปโดยที่ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงในเมืองหลวงอีกแล้วดีกว่าเจ้าค่ะ…”
ไป๋ฉีอวิ๋นและท่านชายอีกสองคนตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าการที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวมามากมายขนาดนี้ นางไม่ได้ต้องการบ่ายเบี่ยง แต่กลับกล่าวประโยคนี้ออกมา
ต่งซื่อมองหน้าบุตรสาวอย่างสงสัย เห็นว่าบุตรสาวพยักหน้าให้นางน้อยๆ ต่งซื่อเบาใจลง ยกถ้วยน้ำชาขึ้น “กิจการพวกนี้มิใช่ว่าต้องการขายแล้วจะขายได้เลยเสียหน่อย”
ไป๋ฉีอวิ๋นใจเต้นแรง กิจการร้านค้าของจวนเจิ้นกั๋วกงพวกนี้ล้วนทำรายได้ในเมืองหลวงได้อย่างมหาศาล หากจวนเจิ้นกั๋วกงขายกิจการทั้งหมดเพราะต้องการรวบรวมเงิน เขาจะให้ผู้ดูแลอูไปลอบซื้อกิจการไว้สักสองสามแห่ง ภายภาคหน้าจะได้ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก
“ข้าทราบมาว่าท่านลุงใจร้อน ต้องการเงินทั้งหมดภายในวันพรุ่งนี้!” หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็นออกมาหนึ่งที หันไปกล่าวกับต่งซื่อ “ท่านแม่ บัดนี้เซียวหรงเหยี่ยนพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้าอยู่ที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ ช่างบังเอิญนักที่เฉินชิ่งเซิงสนิทสนมกับพ่อบ้านของจวนเซียว เราส่งพ่อบ้านเหาและเฉินชิ่งเซิงไปสอบถามดูสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้มีเพียงเซียวหรงเหยี่ยนเท่านั้นที่สามารถหาเงินจำนวนมากเช่นนี้มาให้เราได้เจ้าค่ะ”
“ความจริง…” ไป๋ฉีอวิ๋นกล่าวขึ้นแต่สุดท้ายก็กลืนถ้อยคำนั้นลงไป กล่าวเพียง “ชิงเหยียนกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”
เดิมทีเขาต้องการบอกว่าเขาไม่ได้รีบร้อนมากถึงเพียงนั้น กระทั่งอยากให้ต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนค่อยๆ ขายให้ได้ราคาดีๆ เขาจะได้แสวงหาผลกำไรจากมันด้วย
ทว่า หากกล่าวออกไปเช่นนี้ก็จะขัดแย้งกับการที่เขารีบร้อนออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ เขาจึงได้แต่กลืนถ้อยคำนั้นลงไป
“ในเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็เชิญท่านลุงทั้งสามไปจุดธูปเคารพศพท่านปู่ และท่านพ่อของข้า บอกกับพวกท่านว่าจวนเจิ้นกั๋วกงตอบรับคำขอของตระกูลบรรพบุรุษแล้วด้วยเจ้าค่ะ ท่านปู่และท่านพ่อจะได้รับรู้ด้วยว่าตระกูลบรรพบุรุษติดค้างบุญคุณของจวนเจิ้นกั๋วกง ภายภาคหน้าจะดูแลสตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นอย่างดี ท่านปู่และท่านพ่อของข้าจะได้หมดห่วง!”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างสมเหตุสมผล นำเงินที่ได้มาจากการขายทรัพย์สินของผู้อื่นไปเช่นนี้ หากไม่ให้คำสัญญาสักนิดก็หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!
ท่านชายบุตรอนุจากซั่วหยางเห็นว่าไป๋ฉีอวิ๋นไม่ตอบรับจึงกระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงแค่สองคน “ญาติผู้พี่ คำกล่าวนี้มีเหตุผลนะขอรับ หลายปีมานี้จวนเจิ้นกั๋วกงดูแลตระกูลบรรพบุรุษเป็นอย่างดี อีกอย่างเมื่อครู่ท่านวู่วามเกินไป มาถึงจวนไม่ยอมไปจุดธูปเคารพศพ กลับมาเจรจากับฮูหยินซื่อจื่อเช่นนี้ มีผู้เห็นเหตุการณ์มากมาย หากต้องการกู้หน้า ท่านควรจะไปจุดธูปเคารพศพอย่างนอบน้อมนะขอรับ”
“นั่นสิ! จวนเจิ้นกั๋วกงออกเงิน ตระกูลบรรพบุรุษได้ประโยชน์ สตรีหม้ายและเด็กกำพร้าอย่างพวกนางก็แค่อยากได้หน้าเท่านั้น แค่จุดธูปเคารพแล้วก็ให้คำสัญญากับสตรีตระกูลไป๋ต่อหน้าแขกที่มาเคารพศพเท่านั้น คุ้มค่านะขอรับ! อีกอย่าง หากเรากล่าวออกไปต่อหน้าแขกเช่นนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงก็มิอาจอ้างว่าตัวเองเป็นเพียงสตรีหม้ายและเด็กกำพร้าแล้วบ่ายเบี่ยงไม่ให้เงินพวกเรานะขอรับ!”
เมื่อครู่ไป๋ฉีอวิ๋นใจร้อนวู่วามเกินไป เขาต้องการที่จะคุยเรื่องนี้กับต่งซื่อก่อนที่น้องชายทั้งสองจะกล่าวอำลาขอเดินทางกลับ เขามิได้จงใจไม่จุดธูปเคารพศพ
ในเมื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว เขาก็ไม่ต้องวางมาดอีกต่อไป อย่างไรเสียจวนเจิ้นกั๋วกงก็กำลังจัดพิธีศพอยู่
“ข้ามิได้จงใจไม่จุดธูปเคารพศพเสียหน่อย ข้าแค่ใจร้อนเกินไปเท่านั้นเอง!” ไป๋ฉีอวิ๋นกล่าวจบก็กระแอมไอออกมาเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้น “ในเมื่อคุยกันเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็จุดธูปบอกท่านกั๋วกงและซื่อจื่อเถิด พวกเขาจะได้รับรู้ไว้ ฮูหยินซื่อจื่อ…หากข้าล่วงเกินท่านไป ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิดขอรับ!”
ต่งซื่อหันไปกล่าวกับฉินหมัวมัว “ฉินหมัวมัว พาทั้งสามท่านไปจุดธูปเคารพศพเถิด!”
“เจ้าค่ะ!” ฉินหมัวมัวประสานมือไว้บริเวณหน้าท้อง ทำความเคารพท่านชายที่มาจากซั่วหยางทั้งสามท่านพลางผายมือเชิญ
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนออกไปจากห้องโถงรับรองแล้ว ต่งซื่อจึงเอ่ยถามบุตรสาวอย่างร้อนใจ “อาเป่า เจ้ากำลังวางแผนทำสิ่งใดกันแน่”
จวนเจิ้นกั๋วกงหาเงินแค่ไม่กี่แสนตำลึงได้อยู่แล้ว ทว่าคนพวกนั้นทำตัวน่าโมโหเกินไป แม้ให้ได้แต่นางก็ไม่อยากให้ไปง่ายๆ เช่นนั้น!
“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนคล้องแขนต่งซื่อ เดินไปยังโถงจัดพิธีศพบริเวณด้านหน้าพลางกล่าว “ในเมื่อพวกเราจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดที่เมืองซั่วหยางแล้ว แทนที่จะโดนตระกูลบรรพบุรุษตอดเล็กตอดน้อย มิสู้ขายทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดไปอย่างซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เลยดีกว่าเจ้าค่ะ! ถือโอกาสที่เราจัดพิธีศพไว้กลางลานหญ้าด้านหน้า ให้ไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้ออาละวาดทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้ตระกูลบรรพบุรุษและทุกคนรับรู้ว่าครั้งนี้พวกเราโดนบีบบังคับให้ช่วยเหลือตระกูลบรรพบุรุษจนต้องขายทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดทิ้งไป เมื่อตระกูลบรรพบุรุษได้เงินไปแล้ว ต่อไปก็คงไม่กล้าขอให้สตรีหม้ายและเด็กที่กำพร้าบิดาของตระกูลไป๋ช่วยเหลืออีกเนื่องจากเกรงกลัวคำครหาของชาวบ้าน นี่คือประการแรกเจ้าค่ะ”
“ประการที่สอง เจ้าต้องการถอยห่างจากเมืองหลวงเพื่อให้ฮ่องเต้ทรงวางพระทัยใช่หรือไม่” ต่งซื่อถาม