สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1016 กองทัพช้าง
ตอนที่ 1016 กองทัพช้าง
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า อาอวี๋พิจารณาได้รอบคอบมาก เวลานี้นางควรให้อาอวี๋กลับไปเตรียมพร้อมที่หรงตี๋
วันเดียวกันนั้น เซียวหรงเหยี่ยนออกจากวังหลวงกลับไปยังที่พักของตัวเอง อ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนและทูตของต้าเยี่ยนเตรียมเก็บสัมภาระเดินทางกลับต้าเยี่ยน
ต้าเยี่ยนที่ตั้งใจเดินทางมาเจรจาเรื่องแต่งงานเชื่อมไมตรีกับต้าโจวเดินทางกลับต้าเยี่ยนไปอย่างเสียเที่ยว นี่ทำให้ชาวบ้านต้าเยี่ยนหวาดกลัวในตัวอ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนมากขึ้นไปอีก ทุกคนคาดเดาว่าอ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนไม่อยากให้จักรพรรดิมู่หรงลี่ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดินีแห่งต้าโจวจึงจงใจขัดขวางการแต่งงานเชื่อมไมตรีในครั้งนี้
วันที่หก เดือนเก้า รัชศกหยวนเหอปีที่หนึ่ง ไป๋จิ่นถงเดินทางกลับถึงเมืองหลวง
ไป๋จิ่นถงเร่งเดินทางกลับมาเมืองหลวงโดยไม่หยุดพัก นางจึงไม่มีเวลาให้คนส่งข่าวกลับมาบอกทางเมืองหลวงก่อนล่วงหน้า
หญิงสาวแสดงป้ายคำสั่งที่ไป๋ชิงฉีมอบให้นาง จากนั้นมุ่งหน้าเข้าไปในวังหลวงโดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง
ไป๋ชิงเหยียนกำลังรับประทานอาหารกลางวันพลางปรึกษาเรื่องต่างๆ ในราชสำนักอยู่กับหลู่ไท่เว่ย เสิ่นซือคง ต่งซือถูและเสนาบดีทั้งหกกรมก็เห็นเว่ยจงเดินเข้ามาในตำหนักอย่างรีบร้อน
เว่ยจงเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียน จากนั้นใช้มือป้องปากกระซิบเสียงเบา “คุณหนูสามกลับมาแล้ว ตอนนี้รออยู่ที่ตำหนักรับรองพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่ถือตะเกียบแน่น จากนั้นรีบวางตะเกียบลง หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก จากนั้นกล่าวกับทุกคน “ทุกท่านปรึกษากันไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
บรรดาหลู่ไท่เว่ยรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนจากไปด้วยความรีบร้อน ต่งชิงผิงประมวลผลอยู่ในใจ “เกิดสิ่งใดขึ้นกัน”
“ท่านคือลุงแท้ๆ ของฝ่าบาท ท่านไม่รู้แล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไร” เสิ่นซือคงกล่าวยิ้มๆ
“พวกเราทานอาหารกันก่อนเถิด ทานเสร็จแล้วจะได้ปรึกษาวางแผนกันต่อ จากนั้นค่อยให้ฝ่าบาทพิจารณาเลือกแผนการ…” หลู่ไท่เว่ยนั่งลงจับตะเกียบทานอาหารต่อเป็นคนแรก
จางตวนหนิงที่บัดนี้คือเสนาบดีกรมทหารถือตะเกียบไว้ในมือพลางถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ “จักรพรรดินีแห่งต้าโจวของเราองค์นี้ช่างไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ ข้าเพิ่งเคยเห็นจักรพรรดิและขุนนางรับประทานอาหารร่วมกันพลางปรึกษางานในราชสำนักไปด้วยเช่นนี้”
เมื่อเห็นว่าจางตวนหนิงไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น เสนาบดีกรมราชทัณฑ์หลู่จิ้นจึงกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทติดตามญาติผู้ใหญ่ของพระองค์ไปออกรบตั้งแต่เล็ก เวลาในสงครามกระชั้นชิด การทำสงครามสิ้นเปลืองพลังงานมาก เจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงล้วนปรึกษาเรื่องต่างๆ กับแม่ทัพในกองทัพขณะรับประทานทานอาหารทั้งสิ้น ฝ่าบาทของพวกเราไม่ถือองค์ ลดตัวมาเสวยอาหารร่วมกับขุนนางอย่างพวกเราเช่นนี้เป็นเพราะฝ่าบาททรงไม่เคยลืมศรัทธาแรกเริ่มของพระองค์”
จางตวนหนิงพยักหน้า “ตอนที่พี่ชายของข้ายังมีชีวิตอยู่ ทุกครั้งที่เขาเอ่ยถึงฝ่าบาท แววตาของพี่ชายข้าเต็มไปด้วยความชื่นชมนับถือ”
ไป๋จิ่นถงนั่งรออยู่ในตำหนักรับรองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างกระวนกระวายใจ หญิงสาวไม่มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ชุดที่ใส่เปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลน หญิงสาวมาพบพี่หญิงใหญ่ด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษเหมือนเคย
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนก้าวเข้ามาในตำหนักรับรอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดขอบตาของไป๋จิ่นถงจึงร้อนผ่าวขึ้น นางพุ่งตัวเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่!”
ไป๋ชิงเหยียนเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว เมื่อเห็นขอบตาดำคล้ำ ร่างที่ผอมซูบลงกว่าครึ่ง ใบหน้าที่ตอบลงอย่างเห็นชัดของไป๋จิ่นถง ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกสงสารน้องสาวมาก หญิงสาวรั้งร่างของน้องสาวมากอดไว้ในอ้อมกอด
ชุนเถาคุกเข่าอยู่ด้านข้างด้วยใจที่เป็นกังวล กลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะเป็นอันใดไปเพราะบัดนี้หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์อยู่
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นถงกอดพี่สาวของตัวเองแน่นด้วยความคิดถึง นางนึกว่าชาตินี้นางจะไม่ได้พบหน้าพี่หญิงใหญ่ของตัวเองอีกแล้ว
“ลำบากเจ้าแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว ดีแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนลูบหลังไป๋จิ่นถงเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณหนูสาม!” ชุนเถาดีใจจนน้ำตาอาบใบหน้า นางทำความเคารพไป๋จิ่นถง
ไป๋จิ่นถงพยักหน้าให้ชุนเถายิ้มๆ “ชุนเถา ญาติผู้พี่ของเจ้าฝากให้ข้านำจดหมายมามอบให้เจ้า พี่ชายสามมอบหมายงานสำคัญให้ญาติผู้พี่ของเจ้าไปทำดังนั้นเขาเลยไม่ได้เดินทางกลับมาพร้อมข้า”
ใบหูของชุนเถาแดงก่ำ นางรีบกล่าวขึ้น “รับใช้คุณชายสามและคุณหนูสามคือหน้าที่ของญาติผู้พี่ ชุนเถาเข้าใจเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นถงพยักหน้า
“พี่หญิงใหญ่ ข้าพบพวกเขาที่หนานเจียงแล้วเจ้าค่ะ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ คนดีของกองทัพไป๋ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ!” น้ำตาของไป๋จิ่นถงไหลพราก
ไป๋ชิงเหยียนคลายอ้อมกอดออก จากนั้นจูงไป๋จิ่นถงเดินไปยังเตียงนุ่ม หญิงสาวหันไปสั่งให้ชุนเถาออกไปนำชาร้อนและของว่างมาให้ไป๋จิ่นถง “ไปพบท่านอาสะใภ้สามมาแล้วหรือไม่”
“ข้ายังไม่ได้ไปพบท่านแม่เจ้าค่ะ ข้ารีบร้อนกลับมาเพราะมีเรื่องสำคัญ…” ไป๋จิ่นถงนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงรีบปาดน้ำตาทิ้ง จากนั้นกล่าวขึ้น “พี่หญิงใหญ่ ตอนข้าเดินทางกลับมา จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นเทียนเฟิ่งเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนสื่อให้ไป๋จิ่นถงนั่งลง หญิงสาวได้ยินชื่อแคว้นเทียนเฟิ่งจากจดหมายของไป๋จิ่นถง ต่อมานางตั้งใจหาแผนที่ของแคว้นเทียนเฟิ่ง
ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกสนใจหลายสิ่งในแคว้นเทียนเฟิ่ง ยกตัวอย่างเช่นผงหมึกดำที่สามารถทำให้อาวุธแข็งแกร่งและทนทานยิ่งกว่าเดิม
“พี่จำได้ว่าเจ้าเคยกล่าวในจดหมายว่าแคว้นเทียนเฟิ่งตั้งอยู่ทางด้านหลังภูเขาหิมะที่อยู่ติดกับชายแดนระหว่างหรงตี๋และซีเหลียงที่ไม่มีผู้คนเคยข้ามผ่านไปใช่หรือไม่”
ชุนเถายกชาเข้ามา เมื่อรินน้ำชาให้คุณหนูทั้งสองเสร็จจึงพานางกำนัลออกไปยืนเฝ้าที่นอกตำหนัก
ไป๋จิ่นถงพยักหน้า หญิงสาวจุ่มนิ้วลงไปในน้ำชาจากนั้นวาดแผนที่คร่าวๆ ของหรงตี๋ ซีเหลียงและภูเขาหิมะลูกนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้า
“แคว้นเทียนเฟิ่งตั้งอยู่ตรงนี้ ตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขาเป็นอิสระจากทุกแคว้น ด้านหน้ามีภูเขาหิมะเป็นด่านปราการ สำหรับหรงตี๋และซีเหลียงแล้ว ภูเขาหิมะศักดิ์คือสถานที่ที่ห้ามรุกล้ำเข้าไป พวกเขาคิดว่าภูเขาหิมะคืออาณาเขตสิ้นสุดของใต้หล้าเจ้าค่ะ! แคว้นเทียนเฟิ่งก็คิดเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ว่ามีแคว้นอื่นอยู่ด้านหลังภูเขาหิมะนั่นอีกเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นถงวาดวงกลมใกล้ๆ กับภูเขาหิมะ จากนั้นชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งนั้น “ทางทิศใต้ของภูเขาหิมะคือทะเลทรายที่ติดกับซีเหลียง ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไปในทะเลทรายแห่งนั้น โชคดีที่ข้าพบเส้นทางใหม่เส้นทางหนึ่งที่สามารถเดินไปทางมาระหว่างซีเหลียงและเทียนเฟิ่งได้ ข้าสามารถส่งสินค้าจากเทียนเฟิ่งผ่านซีเหลียงไปยังต้าโจวและต้าเยี่ยน อีกทั้งอดีตแคว้นต้าเหลียงและต้าเว่ยได้เจ้าค่ะ ข้าได้กำไรจากการค้าเหล่านี้ไม่น้อย ทว่า ที่ร้ายแรงก็คือข้าจำต้องบอกเส้นทางนี้ให้ตระกูลทั้งแปดทราบเพื่อแลกกับการสนับสนุนจากพวกเขา เส้นทางนี้อันตราย ทว่า ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก ดังนั้นจึงพอมีคนเดินผ่านไปได้เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนเป็นกังวลขึ้นมาทันที “เจ้าเล่าเรื่องของแคว้นเทียนเฟิ่งให้พี่ฟังอย่างละเอียดที”
“ตอนข้าไปถึงแคว้นเทียนเฟิ่งแรกๆ ข้ารู้สึกว่าหลายสิ่งของที่นั่นแปลกใหม่ แม้ข้าจะเคยพบสัตว์ใหญ่อย่างช้างมาไม่น้อยในต้าเหลียง ทว่า ข้าพบเห็นช้างในทุกที่ของแคว้นเทียนเฟิ่ง ที่สำคัญรูปร่างของช้างในแคว้นเทียนเฟิ่งใหญ่กว่าแคว้นต้าเหลียงมาก แคว้นเทียนเฟิ่งเห็นช้างเป็นสัตว์มงคล ประชากรของแคว้นเทียนเฟิ่งน้อยกว่าต้าโจวและต้าเยี่ยน ทหารในกองทัพของพวกเขาจึงมีไม่มาก ทว่า พวกเขาใช้ช้างเป็นกองทัพเจ้าค่ะ”
“พวกเขาฝึกสัตว์ใหญ่อย่างช้างให้กลายเป็นกองทัพช้างเสมือนพลทหารม้าของพวกเรา ทว่า หากเทียบกับพลทหารม้าแล้ว กองทัพช้างสามารถเดินทางได้ทั้งภูเขา แม่น้ำและที่ราบ ลำตัวของช้างมีเกราะเหล็กสวมป้องกัน ทหารศึกบังคับช้างอยู่บนหลังช้าง ระหว่างออกเดินทางทำศึก ช้างยังสามารถทำหน้าที่บรรทุกเสบียงของกองทัพได้อีกด้วย ข้าอยู่ในแคว้นเทียนเฟิ่งไม่นานจึงยังไม่เคยเห็นกองทัพช้างทำศึก ทว่า ชีวิตประจำวันของชาวบ้านในแคว้นเทียนเฟิ่งขาดช้างไปไม่ได้เจ้าค่ะ”
***************