สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 103 ไปทางทิศใด
ตอนที่ 103 ไปทางทิศใด
“ไป๋จิ่นจื้อ” ไป๋จิ่นถงแสร้งทำเป็นรั้งน้องสาวเอาไว้
ไป๋จิ่นจื้อสะบัดมือของไป๋จิ่นถงออก เอ่ยถามอย่างโมโห “เหตุใดท่านป้าสะใภ้ใหญ่ต้องยอมให้คนชั่วช้าพวกนี้ข่มขู่ด้วย! จวนเจิ้นกั๋วกงของเรามิต้องล้มละลายเลยหรืออย่างไรถึงจะรวบรวมเงินจำนวนสี่แสนหม้าหมื่นตำลึงมาได้! ท่านป้าสะใภ้ใหญ่รับปากพวกนั้นได้อย่างไรกัน! หากจวนเจิ้นกั๋วกงล้มละลาย…สตรีที่เหลืออยู่อย่างพวกเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ!”
“เสี่ยวซื่อ!” ไป๋จิ่นถงอึกอัก ต้องการห้ามปรามน้องสาว
ไป๋จิ่นจื้อยิ่งเดือดดาลขึ้นเรื่อยๆ “อีกอย่าง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เหตุใดท่านปู่จึงไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อนเล่าเจ้าคะ! พอมาถึงจวนท่านลุงผู้นี้ไม่ไปเคารพศพท่านปู่ แต่กลับมาขอเงินจากจวนเจิ้นกั๋วกงโดยอ้างว่าสตรีตระกูลไป๋ต้องพึ่งพาอาศัยตระกูลบรรพบุรุษให้คอยปกป้องคุ้มครอง ขอเงินจากพวกเราเพื่อแลกกับความปลอดภัย นี่มันไม่ต่างจากการปล้นกันเลยสักนิด! ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนเข้มแข็งปานนั้น เหตุใดต้องยอมเขาด้วย! เหตุใดจวนเจิ้นกั๋วกงของเราต้องยอมพวกเขาด้วย! ตระกูลบรรพบุรุษได้เงินจากจวนเจิ้นกั๋วกงไปไม่รู้ตั้งเท่าใด ร่างของท่านปู่ ท่านลุงใหญ่ ท่านพ่อ ท่านอาและบรรดาน้องชายของพวกเรายังมิทันฝัง คนจากตระกูลบรรพบุรุษพวกนี้กลับมาบีบบังคับให้สตรีจวนเจิ้นกั๋วกงใช้เงินซื้อความสงบสุขเช่นนี้ มันต่างอันใดกับพวกอันธพาลกันเจ้าคะ!”
เดิมทีไป๋จิ่นจื้อเป็นคนเสียงดังอยู่แล้ว อีกทั้งนางมีวิทยายุทธ์ เมื่อตะคอกออกมาเช่นนี้ แขกที่มาร่วมพิธีศพในจวนและชาวบ้านที่อยู่นอกจวนล้วนมองมาทางนี้เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในทันที
บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงทั้งตระกูล บ่ายวันนี้บ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของจวนเจิ้นกั๋วกงนำม้วนไม้ไผ่บันทึกสถานการณ์รบกลับมายังเมืองหลวงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ชาวบ้านไปประท้วงที่ประตูอู่เต๋อหน้าวังหลวง
บัดนี้ชาวบ้านทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่เป็นห่วงจวนเจิ้นกั๋วกง ไม่อยากเห็นจวนเจิ้นกั๋วกงเผชิญกับปัญหาใดๆ อีก
เมื่อครู่คนจากตระกูลบรรพบุรุษมาถึงจวน ไม่ไปเคารพศพแต่กลับบุกเข้าไปในเรือน ชาวบ้านและแขกที่มาร่วมงานต่างเห็นเหตุการณ์
ที่แท้ที่รีบร้อนเช่นนั้นเป็นเพราะต้องการบีบให้สตรีตระกูลไป๋นำเงินมาแลกกับความสงบสุขนี่เอง!
ไป๋ฉีอวิ๋นเบิกตาโพลง “เด็กอย่างเจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอันใดกัน ผู้ใดให้จวนเจิ้นกั๋วกงนำเงินมาแลกความสงบสุขกัน! นั่นคือเรื่องที่ก่อนหน้านี้ท่านกั๋วกงและซื่อจื่อรับปากกับตระกูลบรรพบุรุษไว้ต่างหาก เดิมทีตกลงกันว่าจะจัดการทีเดียวตอนที่นำของขวัญไปให้ตระกูลบรรพบุรุษ ท่านกั๋วกงกล่าวว่า…ในฐานะที่เขาเป็นคนที่รุ่งเรืองที่สุด เขาควรจะออกเงินช่วยเหลือตระกูลบรรพบุรุษอยู่แล้ว ที่สำคัญตลอดหลายปีมานี้ท่านกั๋วกงเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดยามที่ตระกูลบรรพบุรุษจัดงานหรือทำสิ่งใด ท่านประมุขโน้มน้าวให้ท่านกั๋วกงปล่อยให้คนอื่นในตระกูลออกค่าใช้จ่ายบ้าง ท่านกั๋วกงกลับกล่าวเพียงว่ามีเพียงตระกูลบรรพบุรุษรุ่งเรือง ตระกูลไป๋จึงจะเจริญรุ่งเรืองสืบไป! ท่านประมุขเกรงว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจัดพิธีศพแต่ใจจะพะวงเรื่องของตระกูลบรรพบุรุษ อีกทั้งไม่มีคนเพียงพอที่จะแบ่งมาจัดการเรื่องนี้จึงให้ข้ามาที่จวน แต่เด็กอย่างเจ้าไม่เพียงกล่าววาจากลับขาวเป็นดำ แต่ยังกล่าววาจาเช่นนี้กับผู้อาวุโสอีก!”
แม้ไป๋ฉีอวิ๋นจะชอบวางมาด ทว่า เขายังไม่โง่ถึงขนาดแสดงท่าทีก้าวร้าวดังเช่นที่ทำกับต่งซื่อในห้องโถงรับรองออกมาต่อหน้าทุกคนให้โดนติฉินนินทาหรอก
เขาต้องเชิดชูบูชาท่านกั๋วกง แสดงให้เห็นว่าท่านประมุขเข้าใจจิตใจของท่านกั๋วกงที่ต้องการทำเพื่อความรุ่งเรืองและอนาคตอันรุ่งโรจน์ของตระกูลบรรพบุรุษ จึงส่งเขามาที่จวน
“ไป๋จิ่นจื้อ! ถอยออกมา! อาละวาดต่อหน้าวิญญาณวีรบุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ไป๋จิ่นถงกระชากตัวไป๋จิ่นจื้อ นางยื่นธูปในมือส่งให้ไป๋ฉีอวิ๋น “เชิญท่านลุงจุดธูปเคารพศพท่านปู่ ท่านลุง ท่านพ่อ ท่านอาและบรรดาน้องชายของข้าเถิดเจ้าค่ะ!”
ไป๋ฉีอวิ๋นมองดูไป๋จิ่นจื้อที่โดนไป๋จิ่นถงรั้งตัวไว้แวบหนึ่ง บ่นพึมพำออกมาหนึ่งประโยค “ไร้การอบรมสั่งสอนจริงๆ !”
“ท่าน…”
ไป๋จิ่นจื้อจะเข้าไปอาละวาดต่อแต่โดนไป๋จิ่นถงจับตัวไว้แน่น
ไป๋ฉีอวิ๋นยกธูปโค้งคำนับสามครั้ง ขณะที่กำลังจะปักธูป ธูปทั้งสามดอกในมือหักเป็นสองท่อน
“หักแล้ว…”
“เหตุใดธูปจึงหักกัน”
“นี่มัน…ท่านกั๋วกงมิยอมรับธูปจากเขาหรือ!”
ชาวบ้านพากันวิจารณ์ กรูกันไปด้านหน้าเพื่อสอดแนมอย่างอดไม่ได้
ไป๋ฉีอวิ๋นหน้าเสีย เงยหน้ามองแผ่นป้ายสีดำของเจิ้นกั๋วกง รู้สึกหวาดกลัวจนถอยหลังหนีไปสองก้าว
แม้ขงจื๊อจะกล่าวว่าภูตผีวิญญาณไม่มีจริง ทว่า เขามาข่มขู่เอาเงินจากสตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งๆ ที่ร่างของท่านกั๋วกงยังไม่ได้ถูกฝัง เดิมทีเขาก็ร้อนตัวอยู่แล้ว ธูปหักลงต่อหน้าต่อตาเขาเช่นนี้ จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้อย่างไรกัน
ไป๋จิ่นซิ่วมองเห็นกลยุทธ์ของไป๋จิ่นถงขณะยื่นธูปให้ไป๋ฉีอวิ๋น หญิงสาวก้มหน้านิ่งมิเอ่ยสิ่งใด
“ธูปคงชื้นเจ้าค่ะ ท่านลุงจุดใหม่อีกรอบนะเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นถงก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม จุดธูปสามดอกส่งให้ไป๋ฉีอวิ๋นอีกรอบ “เชิญท่านลุงเจ้าค่ะ!”
ไป๋ฉีอวิ๋นข่มความหวาดกลัวในใจ โค้งคำนับอีกครั้งอย่างนอบน้อมกว่าเดิม ขณะนำธูปไปปัก ธูปทั้งสามดอกในมือหักร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง ไป๋ฉีอวิ๋นตกใจจนถอยหลังหนีอย่างหวาดกลัว
“ข้าบอกแล้วว่าท่านปู่มิเคยบอกให้พวกข้ายกทรัพย์สมบัติของจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมดให้แก่ตระกูลบรรพบุรุษ!” ไป๋จิ่นจื้อคุกเข่าลงตรงหน้าพิธี ตะโกนร้องไห้ออกมา “ท่านปู่! ท่านปู่กลับมาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านปู่เห็นคนจากตระกูลบรรพบุรุษข่มเหงรังแกสตรีตระกูลไป๋ ท่านปู่โกรธแค้นแทนพวกเราจึงไม่ยอมรับธูปจากเขาใช่หรือไม่เจ้าคะ!”
จู่ๆ เปลวเทียนหน้าพิธีศพก็แกว่งไปมาอย่างรุนแรง เงาจากป้ายวิญญาณสะท้อนไปมาอยู่ตรงกำแพง ทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดเข้ามาจากทางประตู ทุกคนตื่นตระหนกในทันที
“วิญญาณท่านกั๋วกงสำแดงฤทธิ์แล้ว!”
“วิญญาณของท่านกั๋วกงสำแดงฤทธิ์แน่ๆ !”
“ท่านกั๋วกง!”
จู่ๆ ชาวบ้านที่อยู่หน้าประตูต่างพากันร้องไห้พลางคุกเข่าลง บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนเจิ้นกั๋วกงขอบตาร้อนผ่าว คุกเข่าลงพลางเอ่ยเรียกท่านกั๋วกง
ไป๋ฉีอวิ๋นหน้าซีดเผือด มือกำปลายธูปทั้งสามดอกที่หักเป็นสองท่อนแน่น จากนั้นขยับถอยหลังไปอีกสองสามก้าว
ไป๋จิ่นจื้อคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นอยู่หน้าพิธีศพ “ท่านปู่เจ้าคะ ด้านหน้ามีคำใส่ร้ายของซิ่นอ๋อง ด้านหลังมีการบังคับขู่เข็ญของตระกูลบรรพบุรุษ ท่านปู่โปรดชี้ทางพวกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะว่าควรจะไปทางทิศใดดี!”
“ตระกูลบรรพบุรุษช่างหน้าไม่อายเสียจริง!” น้ำเสียงตะคอกอย่างโกรธเคืองของชายชราดังขึ้น
ไป๋ฉีอวิ๋นหันกลับไปมองอย่างตกใจ
เห็นผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงเดินตัวสั่นเข้ามาโดยมีบ่าวรับใช้ชายคอยช่วยพยุง ดวงตาทั้งสองข้างวาวโรจน์ เดือดดาลถึงขีดสุด
ผู้เฒ่ากู่รีบร้อนเดินเข้ามา เมื่อเห็นวิญญาณของท่านกั๋วกงไม่สงบสุข หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัด ชี้หน้าไป๋ฉีอวิ๋นพลางด่าทออย่างโมโห “ตระกูลบรรพบุรุษไม่ละอายใจเลยหรืออย่างไร!”
“ผู้…ผู้เฒ่ากู่!” ไป๋ฉีอวิ๋นเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิว
ผู้เฒ่ากู่กระแทกไม้เท้าลงบนพื้นหินสีเขียวจนเกิดเสียงดัง “ข้าเป็นคนดูแลบัญชีของจวนเจิ้นกั๋วกงมาหลายปี รู้ดีที่สุดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงช่วยเหลือตระกูลบรรพบุรุษอย่างไรบ้าง รายได้ประจำปีของจวนเจิ้นกั๋วกง รวมทั้งของรางวัลที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ มีครั้งใดบ้างที่ท่านกั๋วกงไม่นึกถึงตระกูลบรรพบุรุษ ท่านแบ่งกลับมาให้ตระกูลบรรพบุรุษครึ่งหนึ่งทุกครั้ง!”
ผู้เฒ่ากู่กล่าวถึงตรงนี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้าพิธีศพ ทุบอกตะโกนร้องไห้ออกมา “บ่าวเตือนท่านกั๋วกงและซื่อจื่อนานแล้วว่าข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งโต่วคือความแค้น! ตระกูลบรรพบุรุษโลภมากขึ้นจริงๆ มาถึงก็จะเอาเงินจากจวนเจิ้นกั๋วกงตั้งสี่แสนห้าหมื่นตำลึง! จวนเจิ้นกั๋วกงแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่งให้ตระกูลบรรพบุรุษทุกปี จะเอาเงินสี่แสนห้าหมื่นตำลึงมาจากที่ใดกัน! จวนเจิ้นกั๋วกงหาเงินไม่ได้ พวกเขาก็บีบให้ฮูหยินซื่อจื่อขายกิจการและที่ดินทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกง! หากขายไปหมดเช่นนี้…ภายภาคหน้าคนในตระกูลไป๋จะใช้ชีวิตอย่างไรกัน! บ่าวไม่ดีเอง…บ่าวไม่ได้เตือนท่านกั๋วกงอย่างเต็มที่ บ่าว…บ่าวทำผิดต่อความเชื่อใจของท่านกั๋วกง ผิดต่อคนในจวนเจิ้นกั๋วกงทุกคน บ่าวตายไปเลยเสียยังดีกว่า!”