สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1038 ยุแยง
ตอนที่ 1038 ยุแยง
คุณหนูแปดตระกูลไป๋ไป๋หวั่นชิงที่กำลังก้มหน้าทานขนมอยู่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวอ้วนกลมของเด็กน้อยเลอะไปด้วยเศษขนม เด็กน้อยกล่าวเสียงอู้อี้ “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อขำกับท่าทีของเด็กน้อย นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเศษขนมที่เปื้อนบนใบหน้าของไป๋หวั่นชิงออก “ตายแล้ว เสี่ยวปาของเราทานขนมเลอะไปทั้งหน้าเลย…”
เด็กน้องเงยหน้าขึ้นให้หลี่ซื่อเช็ดหน้าให้อย่างว่าง่าย จากนั้นกล่าวเสียงน่ารัก “ขอบคุณท่านป้าสะใภ้สามเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อลูบผมแกะบนศีรษะของไป๋หวั่นชิงยิ้มๆ วางพัดกลมลงบนโต๊ะด้านข้าง ยกถ้วยชาขึ้นจิบ จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ “ข้าได้ยินว่าเกาอี้จวินเชิญสตรีหม้ายที่แต่งงานใหม่มาร่วมงานวันเกิดของนางด้วย การแต่งงานใหม่ดีต่อสตรีหม้ายจริงหรือไม่ ไม่สู้ให้ใต้เท้าหลิ่วเชิญสตรีหม้ายเหล่านั้นออกมาบอกกับคุณหนูสองตระกูลฉินด้วยตัวเองก่อนการประกาศรายชื่อผู้ชนะการแข่งขันว่าวในครั้งนี้ดีหรือไม่ พวกเราจะได้ไม่สงสัยในการปกครองระบอบใหม่ของฝ่าบาทอีก กฎหมายใหม่นี้มีขึ้นเพื่อสตรีหม้ายอย่างพวกนางทั้งสิ้น”
สตรีหม้ายที่เพิ่งแต่งงานใหม่ได้ไม่นานจะรู้สึกว่าการแต่งงานใหม่ไม่ดีได้อย่างไรกัน พวกนางไม่มีทางกังขาในระบอบการปกครองใหม่ข้อนี้ พวกนางทุกคนรู้สึกขอบคุณไป๋ชิงเหยียนที่มอบโอกาสให้พวกนางได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง ต่างรู้สึกว่าไป๋ชิงเหยียนทำเรื่องที่ดีที่สุดเพื่อพวกนาง ผู้ใดเป็นปรปักษ์กับการปกครองใหม่เท่ากับเป็นศัตรูกับพวกนางด้วย สตรีหม้ายเหล่านี้จะทนได้อย่างไรกัน!
สตรีหม้ายที่ยอมออกมาแต่งงานใหม่เป็นกลุ่มแรกล้วนเข้มแข็งด้วยกันทุกคน
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฮูหยินสามหลี่ซื่อ สตรีหม้ายใจกล้าคนหนึ่งแสดงตัวออกมาทันที นางคุกเข่าคำนับศีรษะแนบพื้น จากนั้นกล่าวขึ้น “หม่อมฉันคือสตรีหม้ายที่เพิ่งแต่งงานใหม่ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่สร้างกฎหมายข้อนี้ขึ้นเพื่อพวกหม่อมฉัน สนับสนุนให้หม่อมฉันได้แต่งงานใหม่! พวกที่ไม่เคยเป็นหม้ายมาก่อนไม่มีทางรู้ว่าสตรีหม้ายจากครอบครัวธรรมดาอย่างพวกเราอยู่อย่างทุกข์ทรมานและยากลำบากมากเพียงใด คนเหล่านั้นดีแต่กล่าวโดยไม่รู้สิ่งใดทั้งสิ้น หม่อมฉันกล่าวคำสวยหรูไม่เป็น ทว่า หม่อมฉันซาบซึ้งบุญคุณของฝ่าบาทจากใจจริง ผู้ใดกล้านำกฎหมายใหม่ขึ้นมาเป็นประเด็น ผู้ใดคัดค้านกฎหมายใหม่ของฝ่าบาท หม่อมฉันจะคัดค้านคนเหล่านั้นเป็นคนแรกเพคะ!”
“หม่อมฉันด้วยเพคะ!” สตรีหม้ายอีกคนลุกขึ้นเดินออกมาคุกเข่าหน้ากระโจม
ไม่นาน เหล่าสตรีหม้ายต่างทยอยกันออกไปคุกเข่าหน้ากระโจม กล่าวว่ากฎหมายใหม่ช่วยชีวิตพวกนางไว้ ทำให้พวกนางมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น
สตรีสูงศักดิ์ที่ไม่ชอบการกระทำของคุณหนูทั้งสองของตระกูลฉินกล่าวขึ้นเสียงเย็น “กฎหมายใหม่ที่สนับสนุนให้สตรีหม้ายแต่งงานใหม่มีขึ้นเพื่อสตรีหม้ายเหล่านั้น คุณหนูสองตระกูลฉินเป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ อีกทั้งไม่เคยเป็นหม้ายมาก่อน ยังมีหน้ากล้าออกมาคัดค้านระบอบการปกครองใหม่ข้อนี้อีก! ไม่กลัวถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะหรืออย่างไร สตรีหม้ายที่แต่งงานใหม่เหล่านั้นล้วนกล่าวว่าระบอบการปกครองนี้ดี ไม่รู้ว่านางจะสร้างปัญหาขึ้นเพื่อสิ่งใด”
“การกระทำของคุณหนูตระกูลฉินสองคนนี้ช่างน่าไม่อายเสียจริง! จู่ๆ ก็ออกมาคัดค้านการปกครองใหม่ของฝ่าบาท ต้องการทำตัวเป็นจุดเด่นชัดๆ”
“นั่นน่ะสิ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้สตรีหม้ายแต่งงานใหม่เพราะต้องการยกระดับฐานะสตรีอย่างพวกเรา นางเป็นสตรีแท้ๆ ไม่เพียงไม่ช่วยเหลือสตรีด้วยกัน ยังสร้างปัญหาเพื่อขัดขวางกฎหมายนี้อีก ทำตัวต่ำช้าเช่นนี้ ทำให้สตรีอย่างพวกเราขายหน้ายิ่งนัก”
“ช่างเถิด คุณหนูตระกูลฉินมีความละอายหลงเหลือที่ใดกัน มารดาของพวกนางยื่นมือเข้าไปยุ่งกับสินเดิมของสะใภ้ตั้งแต่วันแรกที่ลูกสะใภ้แต่งเข้าตระกูล พวกนางสองคนทำร้ายฝู่กั๋วจวินจนเกือบเสียชีวิต ต่อมายังหน้าไม่อายอวดอ้างว่าตัวเองเป็นญาติกับฝ่าบาทอีก…”
“หากมีเวลาสนใจเรื่องการแต่งงานของผู้อื่น ไม่สู้เอาเวลาไปสนใจมารดาหม้ายที่ถูกขังอยู่แต่ในวัดของตัวเองดีกว่า เหตุใดไม่เป็นห่วงตัวเองบ้างว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนี้จะแต่งงานออกเรือนไปกับผู้ใดได้ ดีแต่เอาเวลามาทำเรื่องไร้ประโยชน์!”
“ตระกูลสูงศักดิ์อย่างตระกูลฉินมีคุณหนูตระกูลฉินที่นิสัยเช่นนี้ถึงสองคน พวกนางไม่รู้จักคำว่าอับอายแล้วกระมัง”
เมื่อคุณหนูสองตระกูลฉินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินคำนินทาของคนรอบกายจึงกำหมัดแน่น สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก แม้นางจะไม่กลัวตาย ยอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อสร้างปัญหาให้ตระกูลไป๋ ทว่า นางไม่ได้หน้าหนาถึงเพียงนี้ นางถูกด่าทอจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว
“หากรู้จักความอับอายก็คงไม่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองคือน้องสะใภ้ของจิ่นซิ่วหลังจากทำให้จิ่นซิ่วเกือบตายหรอก ยังมีหน้ากล่าวว่าอา…” หลิวซื่อเกือบหลุดนามเล่นของไป๋ชิงเหยียนออกมา นางรีบเปลี่ยนคำทันที “กล่าวว่าฝ่าบาทเห็นพวกนางเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ อายุแค่นี้ยังกล้าทำถึงเพียงนี้ วันหน้าจะใจกล้าถึงเพียงใดกัน!”
หลิวซื่ออารมณ์ดีจนอยากทานข้าวเพิ่มอีกสักถ้วย สวรรค์ช่างมีตาจริงๆ คุณหนูตระกูลฉินทำลายชื่อเสียงของตัวเองจนยับเยินหมดแล้ว
ในเมื่อพวกนางกล้าคัดค้านการปกครองระบอบใหม่ของอาเป่า วันหน้าก็อย่าหวังจะอวดอ้างความสัมพันธ์กับจิ่นซิ่วและอาเป่าอีกต่อหน้าคนภายนอกอีกเลย
“อย่างน้อยข้าก็เป็นน้องสะใภ้ของฝู่กั๋วจวิน ฮูหยินสองดูถูกข้าเช่นนี้ไม่กลัวว่าข้าจะฟ้องพี่ชายของข้าหรืออย่างไรเจ้าคะ” ดวงตาของคุณหนูสองตระกูลฉินแดงฉาน กล่าวจบน้ำตาก็ไหลพรากทันที
หลิวซื่อเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูสองตระกูลฉินจึงลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคุณหนูสองตระกูลฉินทันที “เจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงบุตรเขยผู้น่าสงสารของข้าอีกหรือ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าบุตรเขยของข้าปฏิบัติต่อน้องสาวต่างมารดาอย่างพวกเจ้าเช่นไร ชื่อเสียงของบุตรเขยข้าถูกมารดาอำมหิตของพวกเจ้าทำให้เสื่อมเสีย ต่อมายังถูกน้องสาวอย่างพวกเจ้าซ้ำเติมอีก พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเหตุใดฉินหล่างและจิ่นซิ่วจึงพาเพียงวั่งเกอและคุณชายสองไปยังเมืองหาน ทว่า ไม่พาพวกเจ้าไปด้วย!”
“ท่านพ่อ…” คุณหนูสองตระกูลฉินร้องไห้โอออกมาอย่างไม่รักษาภาพพจน์อีกต่อไป นางเงยหน้ามองขึ้นฟ้า “ท่านได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ฉินหล่างจงใจไม่พาข้าและท่านพี่ไปด้วย ฉินหล่างจงใจทำร้ายพวกข้า ต้องการให้พวกข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เจ้าค่ะ! พวกเราไม่เสียท่านพ่อไปแล้ว ไม่มีท่านแม่คอยคุ้มครอง ไม่มีคนสนใจพวกเราแล้วเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองคุณหนูสองตระกูลฉินที่กำลังทำตัวน่าสงสาร จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ
“ในเมื่อคุณหนูสองตระกูลฉินกล่าวว่าเจ้าไม่มีมารดาคอยดูแล เช่นนั้นก็ส่งคุณหนูทั้งสองไปหามารดาของพวกนางเถิด”
คุณหนูสองตระกูลฉินเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินได้ยินคำกล่าวนี้จึงเข่าอ่อนลงทันที มารดาของนางมีความผิดติดตัว ชาตินี้ไม่มีทางได้ออกมาดูโลกภายนอกอีก นางรีบคลานเข่าไปด้านหน้า
“ฝ่าบาทได้โปรดอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเพคะ น้องหญิงสองหน้ามืดตามัว หลงเชื่อคำยั่วยุจากผู้อื่นให้ออกมาคัดค้านระบอบการปกครองใหม่ของฝ่าบาท ล้วนเป็นความผิดของน้องหญิงสอง ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยเพคะ!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูใหญ่ตระกูลฉิน ไป๋ชิงเหยียนยืนขึ้นจากโต๊ะ จากนั้นเอ่ยเรียก “ใต้เท้าหลู่…”
หลู่จิ้นก้าวไปด้านหน้า “ฝ่าบาททรงรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”