สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1045 เตรียมรบ
ตอนที่ 1045 เตรียมรบ
“ใช่แล้ว…” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “แคว้นเทียนเฟิ่งให้คนรวบรวมขนสัตว์มาทำเสื้อขนสัตว์นานแล้ว พ่อค้านามว่าชุยเฟิ่งเหนียนเป็นคนเดินทางเสาะหาขนสัตว์ตามแคว้นต่างๆ ส่งไปยังแคว้นเทียนเฟิ่ง ทุกท่านจำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ซีเหลียงเคยละทิ้งการเพาะปลูก หันไปทอผ้าและล่าหนังสัตว์แทน ได้ยินว่าสัตว์ป่าของแคว้นซีเหลียงถูกสังหารเกือบหมดแล้ว”
“นี่มัน…พวกเขาเตรียมพร้อมนานแล้วอย่างนั้นหรือ!” ต่งชิงผิงกำหมัดแน่น รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที ช้างคือสัตว์ใหญ่ หากมันใช้ร่างกายที่มีเสื้อเกราะเหล็กของมันโจมตีเมือง เมืองต้องพังทลายเพราะถูกโจมตีแน่นอน
“ข้าเชิญทุกท่านมาในวันนี้เพราะเรื่องนี้ ต้าโจวของพวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา” ไป๋ชิงเหยียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ
บรรดาขุนนางได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนจึงหยัดกายตรงพลางมองสบตากัน
“การโยกย้ายกองทัพยกให้เป็นหน้าที่ของเสิ่นซือคงและใต้เท้าจางเสนาบดีกรมทหาร จงคิดหาวิธีออกมาให้ได้เร็วที่สุด! ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการป้องกันหรงตี๋ ป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นทางต้าเหลียงและต้าเยี่ยนก็พอ รีบจัดทัพส่งไปยังหนานเจียงให้ได้มากที่สุด ใต้เท้าทั้งสองรีบจดรายชื่อกองทัพที่ใช้งานได้มาให้ข้าโดยเร็วที่สุด”
“เสิ่นจิ้งจงรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
“จางตวนหนิงรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
ใต้เท้าทั้งสองรับคำพร้อมกัน
“ส่วนเรื่องเสบียงอาหาร ต้าโจวมีพื้นที่ราบมากมาย ทว่า มักเกิดไฟไหม้ขึ้นเป็นประจำ รบกวนต่งซือถูและใต้เท้าเว่ยเสนาบดีกรมการคลังส่งเสบียงอาหารไปให้เหล่าทหารที่หนานเจียงให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเรื่องปัญหาไฟไหม้ด้วย จงจำไว้ว่าอย่าปล่อยให้ทหารอดอยากเด็ดขาด!” ไป๋ชิงเหยียนกำชับเว่ยปู้จิ้งและลุงของตัวเองอีกครั้ง
“ต่งชิงผิงรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
“เว่ยปู้จิ้งรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสองคนรับคำอย่างพร้อมเพรียงเช่นเดียวกันดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“หลู่ไท่เว่ยเป็นตัวกลางประสานงาน หากใต้เท้าทั้งสี่มีเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถรายงานให้ข้าทราบได้ทันท่วงที ทุกท่านสามารถปรึกษากับราชครูหลู่ไท่เว่ย จากนั้นค่อยมารายงานข้าภายหลังได้”
“ฝ่าบาท…” หลู่ไท่เว่ยเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน เขากำหมัดยืดกายตรง “กระหม่อมขอบังอาจทูลถามสักนิด ฝ่าบาททรงวางแผนเช่นนี้ ฝ่าบาทจะเสด็จไปยังหนานเจียงด้วยองค์เองหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนใช้นิ้วลูบขอบถ้วยชากระเบื้องที่อยู่ในมือ “ข้ายังไม่ได้มีแผนการเช่นนั้น หลู่ไท่เว่ยไม่ต้องเป็นห่วง”
“บัดนี้ฝ่าบาททรงพระครรภ์อยู่ ฝ่าบาทไม่ควรเอาองค์เองไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” หลู่ไท่เว่ยกล่าวโน้มน้าวไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกล่าวต่อ “ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ พวกเรารับรู้ข่าวเร็ว เมื่ออ่านจดหมายที่กองทัพไป๋ส่งมา กองทัพไป๋น่าจะเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว! บัดนี้แม่ทัพที่เก่งกาจของกองทัพไป๋ล้วนอยู่ที่หนานเจียงทั้งหมด ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเสด็จไปออกรบเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทควรคิดถึงทายาทในครรภ์ให้มากพ่ะย่ะค่ะ”
ต่งชิงผิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฝ่าบาทคือเทพแห่งสงครามของแคว้นต้าโจว ทรงไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบเลยสักครั้ง ฝ่าบาททรงเป็นขวัญกำลังใจของพวกเราชาวต้าโจว หากฝ่าบาทเสด็จไปหนานเจียงโดยยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ หากพวกเราแพ้สงครามขึ้นมาจะไม่เป็นผลดีต่อกำลังใจของคนต้าโจวนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “หลู่ไท่เว่ยและท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ข้ายังไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆ”
ต่งชิงผิงได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ถึงแม้ไป๋ชิงเหยียนจะขึ้นชื่อว่ารบไม่เคยพ่ายแพ้ ทว่า บัดนี้หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์อยู่ การออกไปรบตอนนี้เสี่ยงอันตรายเกินไป
ไม่นานรถม้าหยุดลงที่หน้าค่ายทหาร
หลินคังเล่อได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนและใต้เท้าทั้งหลายจะเดินทางมายังค่ายทหารจึงพาหวังสี่ผิงและหยางอู่เช่อออกมารอต้อนรับที่หน้าค่ายทหาร
พวกเขาทำความเคารพไป๋จิ่นจื้อ จากนั้นหันไปทำความเคารพใต้เท้าที่ลงมาจากรถม้า เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนจับมือชุนเถาเดินลงมาจากรถม้า หลินคังเล่อ หยางอู่เช่อและหวังสี่ผิงรีบเข้าไปทำความเคารพทันที
“ช้างอยู่ที่ใด ตอนนี้พวกมันเป็นเช่นไรบ้าง” เมื่อลงจากรถม้าไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยถามหลินคังเล่อทันที
“ทางนี้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลินคังเล่อผายมือเชิญไป๋ชิงเหยียน เขาเดินนำทางไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวขึ้น “ครูฝึกเหล่านั้นกล่าวว่าช้างทนหนาวไม่ค่อยได้ พวกมันเข้าไปในกระโจมไม่ได้ พวกเราจึงทำได้เพียงให้มันอาศัยอยู่กลางสนามฝึก จากนั้นนำผ้าใบกันลมมากางรอบสนามฝึกเพื่อบังลม อีกทั้งจุดคบเพลิงรอบสนามพ่ะย่ะค่ะ ทว่า ตอนนี้พวกเรากำลังเร่งสร้างกระโจมให้ช้างอยู่ อีกไม่นานคงเสร็จเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นเดินไปยังสนามฝึกพร้อมกับหลินคังเล่อ
อย่าว่าแต่ใต้เท้าเหล่านี้เลย เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาพบช้างขนาดมหึมาเหล่านั้นก็ตกใจเช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนเห็นใบหน้าของช้างขนาดยักษ์เหล่านั้นดูไร้ชีวิตชีวา เหล่าครูฝึกยี่สิบกว่าคนก้าวเข้าไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน อธิบายเรื่องความเคยชินของช้างเหล่านี้ให้ไป๋ชิงเหยียนฟัง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีฝูงช้างข้ามผ่านภูเขาอวี้ซานมาก่อน ดังนั้นเมื่อฝูงช้างเหล่านี้เดินข้ามภูเขาอวี้ซานมา พวกมันจึงล้มตายเป็นจำนวนมาก
ครูฝึกช้างรู้ว่าช้างทนหนาวไม่ได้ พวกเขาจึงพยายามหาขนสัตว์มาทำเสื้อขนสัตว์ให้ช้างเหล่านี้ ช้างฝูงนี้จึงรอดจากความหนาวตายมาได้ ทว่า อากาศของแคว้นต้าโจวหนาวลงเรื่อยๆ ช้างไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศเช่นนี้ ดังนั้นพวกมันจึงไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้
“ทุกท่านช่วยเข้าไปเล่าเรื่องนิสัย ความชอบและความกลัวของช้างเหล่านี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียดในกระโจมที”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในกระโจมใหญ่ ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนที่นั่งด้านหน้าสุด ขุนนางและแม่ทัพนั่งอยู่สองข้างของไป๋ชิงเหยียน เหล่าครูฝึกช้างคุกเข่าอยู่กลางกระโจม พวกเขาสลับกันเล่าลักษณะนิสัยของช้างให้ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างละเอียด
ไป๋ชิงเหยียนฟังจบจึงกล่าวขอบคุณครูฝึกช้างเหล่านี้ หญิงสาวให้พวกเขากลับไปพักผ่อน จากนั้นเท้าแขนลงบนที่วางแขนพลางเอ่ยอย่างขบคิด “ตามที่ครูฝึกเหล่านี้บอกมา ช้างพวกนี้กลัวไฟ กลัวเสียงที่ไม่คุ้นเคย พวกมันทนหนาวไม่ได้เพราะความเคยชินจากสภาพอากาศเดิมที่เคยอยู่มา ทว่า ช้างที่ได้รับการฝึกฝนคงไม่กลัวไฟและเสียงที่ไม่คุ้นชิน ส่วนอากาศหนาว…แคว้นเทียนเฟิ่งมีขนสัตว์มากพอที่จะทำเสื้อขนสัตว์ให้ช้างเหล่านั้นใส่เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้”
หากเป็นเช่นนั้นจริง ช้างที่สวมเสื้อเกราะจะเป็นสัตว์ใหญ่ที่ไร้เทียมทานที่สุดในสงคราม พวกเขาได้เปรียบพวกเราอย่างมหาศาล
ไป๋จิ่นจื้อได้ยินจึงกำหมัดแน่น แสงจากโคมไฟส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าของไป๋จิ่นจื้ออย่างริบหรี่
“เช่นนี้พวกเราจะไม่มีทางชนะเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลู่ไท่เว่ยขมวดคิ้วแน่น “ทว่า ช้างเป็นสัตว์ใหญ่จึงเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกนัก พวกมันอาจไม่คล่องแคล่วในสนามรบสักเท่าใดนัก”
“พี่หญิงใหญ่ ข้าขอเดินทางไปยังหนานเจียงตอนนี้เลยเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นพลางกำหมัดคารวะ
“เกาอี้จวินอย่าเพิ่งรีบร้อน ถึงพวกเราจะเดินทางไปหนานเจียง พวกเราก็ต้องหาจุดอ่อนของช้างให้ได้ก่อน” ความจริงเซี่ยอวี่จั่งร้อนใจอยากเดินทางไปสนามรบแล้วเช่นเดียวกัน
ทุกคนล้วนเป็นทหาร ยิ่งสงครามดุเดือดมากเท่าใด พวกเขาล้วนอยากบุกอยู่ด่านหน้าสุดเพื่อปกป้องชาวบ้านแถบชายแดน ใช้ความสามารถของพวกเขากำจัดศัตรูที่มารุกรานให้สิ้นซาก
“นั่นสิ…” หลินคังเล่อขบกรามแน่น เขาอยากบุกไปสนามรบตอนนี้เช่นเดียวกัน “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งจึงจะชนะร้อยครั้ง โชคดีที่ตอนนี้แคว้นเทียนเฟิ่งยังไม่บุ่มบ่ามลงมือ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ของพวกเราคือหาจุดอ่อนของช้างให้เจอให้ได้!”
ตอนที่ 1046 ฝากฝัง
ฝูรั่วซีและหวังสี่ผิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แม้ช้างจะตัวหนัก ทว่า งวงของมันคล่องแคล่วมาก งวงช้างยาวจนสามารถรัดตัวคน…หรือโยนคนออกไปไกลได้ ไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย” เสิ่นจิ้งจงที่นั่งเงียบอยู่พักใหญ่วางถ้วยชาในมือลง เขามองไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวขึ้น “จากจดหมายที่กองทัพไป๋ส่งมาให้ ที่งวงของช้างมีเกราะเหล็กป้องกันอยู่ ยากจะหาจุดอ่อนของมัน”
“งวง…” ไป๋ชิงเหยียนชะงักมือที่เคาะลงบนโต๊ะ จากนั้นลุกขึ้นยืนพลางเดินไปด้านหน้าสองก้าว
“ประสาทรับกลิ่นของช้างเป็นเช่นไร”
บรรดาหลู่ไท่เว่ยเข้าใจความหมายของไป๋ชิงเหยียนขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาทต้องการใช้ประสาทรับกลิ่นของช้างโจมตีจุดอ่อนของกองทัพช้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จางตวนหนิงรู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผล
“รีบไปตามครูฝึกมาสักสองคน!” ต่งชิงผิงหันไปตะโกนสั่งด้านนอก
ไม่นานครูฝึกสองสามคนเดินกลับมาในกระโจมอีกครั้ง จางตวนหนิงถามพวกเขาว่าช้างมีประสาทรับกลิ่นที่เร็วกว่าปกติใช่หรือไม่ ครูฝึกเหล่านั้นตะลึงไปชั่วขณะ
หนึ่งในครูฝึกนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ใช่ขอรับ บางทีอาจเป็นเพราะจมูกของมันค่อนข้างยาว ประสาทรับกลิ่นของช้างจึงค่อนข้างเร็วขอรับ ข้าเคยได้ยินครูฝึกเล่าต่อกันมาว่าก่อนหน้านี้ช้างเคยป่วยหนัก หากนำสมุนไพรไปกองรวมๆ กัน ช้างจะแยกออกมาได้อย่างแม่นยำขอรับ…”
ครูฝึกอีกคนนึกขึ้นได้จึงรีบกล่าวเสริม “ดังนั้นครูฝึกอย่างพวกเราจึงต้องสร้างความคุ้นเคยกับช้างให้ได้มากที่สุด บอกพวกกันว่าสมุนไพรชนิดใดสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ เช่นนี้ช้างจะจึงไม่ล้มป่วยตายอย่างง่ายดายขอรับ”
“พวกเราล้วนเป็นครูฝึกช้าง ช้างเหล่านี้อาศัยอยู่กับพวกเรามาตั้งแต่เล็ก ทว่า บรรพบุรุษของเคยรับหน้าที่จับช้างแทนเจ้านาย เจ้านายของบรรพบุรุษข้าเคยค้างาช้างมาก่อน ตอนเด็กๆ ข้าเคยได้ยินท่านปู่บอกว่าช้างอาศัยงวงในการหาของกิน เวลาพวกเราจับช้างจึงมักใช้ของที่ช้างชอบกินที่สุดเป็นเหยื่อล่อให้ช้างมาติดกับขอรับ” ครูฝึกผู้นั้นรวบรวมความกล้าเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน จากนั้นก้มหน้าลงอีกครั้ง “มนุษย์ต้องอยู่ให้ห่างจากเหยื่อล่อ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงค่อยเข้าไปใกล้ มิเช่นนั้นช้างจะรู้ว่ามนุษย์อยู่แถวนั้นด้วย ข้าจึงคิดว่าช้างมีประสาทรับกลิ่นที่ดีกว่าสุนัขล่าขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ลำบากทั้งสองท่านแล้ว แม่ทัพหลินพาครูฝึกทั้งสองกลับไปพักผ่อนที”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ครูฝึกช้างสองคนก้มศีรษะคำนับอย่างพร้อมเพรียง
“รวบรวมข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดส่งไปให้แม่ทัพของกองทัพไป๋โดยเร็วที่สุด แม่ทัพเหล่านั้นจะได้ลองใช้วิธีนี้กับช้างเหล่านั้นก่อนที่จะเปิดศึกกันขึ้นจริงๆ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“กระหม่อมจะรับผิดชอบเรื่องนี้เองพ่ะย่ะค่ะ” จางตวนหนิงอาสารับผิดชอบเรื่องนี้ “กระหม่อมจะส่งข่าวไปให้หนางเจียงภายในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ลำบากท่านแล้ว”
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไป๋ชิงเหยียนต้องเดินทางกลับวังหลวงแล้ว หญิงสาวกำชับให้หลินคังเล่อดูแลช้างเหล่านี้ให้ดี หากวันหน้าเกิดสงครามขึ้น ชัยชนะของต้าโจวขึ้นอยู่กับช้างฝูงนี้แล้ว
ไป๋ชิงเหยียนจะให้ขนทำเสื้อขนสัตว์ให้ช้างเหล่านี้โดยเร็วที่สุด เมื่อช้างปรับตัวได้แล้ว นางจะให้ช้างเหล่านี้และครูฝึกช้างออกเดินทางไปยังหนานเจียง ให้พวกเขาอาศัยอยู่บริเวณตอนเหนือของแม่น้ำจิง เช่นนี้จะได้นำจุดอ่อนของช้างไปรายงานให้สนามรบด่านหน้ารับรู้ได้เร็วที่สุด
การปรากฏตัวของกองทัพช้างของแคว้นเทียนเฟิ่งทำให้เหล่าขุนนางคนสำคัญของแคว้นต้าโจวเคร่งเครียดมาก พวกเขารวบรวมสติเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เตรียมโยกย้ายเสบียง กำลังทหาร บรรยากาศตึงเครียดจากหลู่ไท่เว่ยและเสนาบดีทั้งหกกรมทำให้ขุนนางในราชสำนักและเหล่าทหารตึงเครียดไปตามๆ กัน
การเก็บเกี่ยวผลผลิตหลังช่วงฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลงแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ชาวบ้านกำลังเตรียมตัวสำหรับอากาศหนาว ทว่า พวกเขากลับเห็นกองกำลังทหารจากเมืองต่างๆ เริ่มมีการเคลื่อนไหว
เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารชาวซีเหลียงที่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือก่อความวุ่นวายหากต้าโจวเริ่มทำสงครามที่หนานเจียง นอกจากพลทหารทางน้ำของต้าเหลียงแล้ว ไป๋ชิงเหยียนส่งกองทัพหลักของต้าเหลียงไปยังหนานเจียงทั้งหมด จากนั้นให้หวังสี่ผิงนำทัพไปดูแลต้าเหลียงแทน
เดิมทีทหารบางส่วนของต้าเหลียงรู้สึกไม่พอใจ ทว่า เมื่อได้ยินว่ากองทัพไป๋อยู่ที่หนานเจียงทั้งหมด พวกเขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดอีก ยอมเดินทางไปยังหนานเจียงแต่โดยดี
เมื่อชาวบ้านเห็นการเปลี่ยนแปลงของค่ายทหารจึงเริ่มรับรู้ว่ากำลังจะเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง ชาวบ้านที่มีญาติทำงานอยู่ในจวนว่าการรับรู้ข่าววงในมาเล็กน้อย พวกเขาเล่าว่าซีเหลียงกำลังจะก่อความวุ่นวายดังนั้นฝ่าบาทจึงส่งทหารไปคุ้มกันชายแดนซีเหลียง
เจ้าเมืองของเมืองต่างๆ ได้ยินว่ามีกองทัพช้าง ทว่า เจ้านายสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาบอกเรื่องนี้ให้ชาวบ้านรับรู้ มิเช่นนี้นชาวบ้านอาจตื่นตระหนกได้
เมืองหลวงอยู่ใกล้กับวังหลวง ครอบครัวของขุนนางในราชสำนักต่างรับรู้เรื่องกองทัพช้างแล้ว พวกนางอดปาดเหงื่อแทนกองทัพที่หนานเจียงไม่ได้
เพราะมีเรื่องกองทัพช้าง ช่วงนี้ไป๋จิ่นจื้อและเซียวรั่วเจียงจึงอยู่ศึกษาพฤติกรรมของช้างกับครูฝึกในค่ายทหารนอกเมือง
ไป๋จิ่นจื้อคิดว่าแม้แคว้นเทียนเฟิ่งและซีเหลียงจะไม่กล้าบุกโจมตีต้าโจวในตอนนี้ ทว่า ต้าโจวต้องหาวิธีควบคุมช้างเหล่านี้ให้ได้จึงจะปลอดภัยที่สุด
วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบ รัชศกหยวนเหอปีที่หนึ่ง เซียวรั่วไห่ เฉินชิ่งเซิงที่ได้รับคำสั่งเดินทางไปยังแคว้นเทียนเฟิ่งและเสิ่นชิงจู๋ที่ถูกไป๋ชิงเหยียนส่งตัวไปยังหนานเจียงอย่างลับๆ เดินทางกลับมาเมืองหลวงพร้อมกัน พวกเขาบังเอิญพบกับไป๋จิ่นจื้อที่กลับมาจากค่ายทหารพอดี ทั้งสี่คนจึงเข้าไปในวังหลวงพร้อมกัน
เซียวรั่วไห่และเฉินชิ่งเซิงกลับมาอย่างกะทันหันจึงไม่ได้ส่งคนไปรายงานให้ไป๋ชิงเหยียนทราบ ชุนเถากำลังอยู่เป็นเพื่อนไป๋ชิงเหยียนตรวจฎีกา เมื่อได้ยินเว่ยจงรายงานว่าเฉินชิ่งเซิงกลับมาแล้ว มือที่ช่วยไป๋ชิงเหยียนฝนหมึกอยูจึงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ชุนเถารีบมองไปนอกตำหนักทันที
ไป๋ชิงเหยียนวางพู่กันในมือลง จากนั้นกล่าวกับเว่ยจงยิ้มๆ “รีบเชิญพวกเขาเข้ามา”
กล่าวจบไป๋ชิงเหยียนจึงหันไปมองชุนเถาที่เอาแต่จ้องไปทางประตูตำหนัก “ญาติผู้พี่ของเจ้าเดินทางกลับมาครั้งนี้ ข้าจะจัดงานแต่งงานให้พวกเจ้า เช่นนี้ท่านแม่ของข้าจะได้สบายใจเสียที”
ใบหน้าของชุนเถาแดงก่ำ นางเอ่ยเรียกอย่างเขินอาย “คุณหนูใหญ่…”
ชุนเถาคือบุตรสาวของแม่นมของต่งซื่อ แม้ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ทว่า แม่นมของต่งซื่อรักชุนเถาประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ
ก่อนแม่นมของต่งซื่อจะจากโลกนี้ไป นางกุมมือต่งซื่อแน่นพลางฝากฝังชุนเถาไว้กับต่งซื่อ จากนั้นบอกความลับนี้ให้ต่งซื่อรู้
ชุนเถาคือบุตรสาวของน้องสาวของแม่นมต่งซื่อ แม่ของชุนเถาสิ้นใจตอนตั้งท้องชุนเถา แม่นมของต่งซื่อเป็นคนรับรู้ว่าเด็กในครรภ์ของน้องสาวยังดิ้นอยู่จึงผ่าท้องของน้องสาวเพื่อช่วยชุนเถาออกมา
ทว่า แม่สามีของชุนเถาคิดว่าชุนเถาคือเด็กอัปมงคลจึงไม่ยอมรับชุนเถา แม่นมของต่งซื่อจึงเลี้ยงดูชุนเถาราวกับลูกแท้ๆ ของตัวเอง ชุนเถาคือญาติคนเดียวบนโลกใบนี้ของนางแล้ว
ต่งซื่อคิดว่าแม่นมเลี้ยงชุนเถาไว้ข้างกายเพื่อคลายเหงา นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะซับซ้อนเช่นนี้ เมื่อแม่นมของต่งซื่อจากไป ต่งซื่อจึงรับชุนเถามารับใช้ข้างกายไป๋ชิงเหยียน บอกกับทุกคนในจวนว่าชุนเถาคือบุตรสาวของแม่นมของนางเพื่อไม่ให้ผู้ใดรังแกชุนเถา
ต่งซื่อเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของชุนเถามาก นางรู้สึกว่าควรหาคู่ครองที่ดีให้ชุนเถาจึงจะไม่เป็นการทำผิดกับแม่นมของนางที่ฝากฝังชุนเถาไว้ให้นางดูแล