สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1311 งานเลี้ยงชมดอกไม้
ตอนที่ 1311 งานเลี้ยงชมดอกไม้
ต่งซื่อมองเด็กน้อยในอ้อมแขนของมารดาแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “นั่นสิเจ้าคะ โชคดีที่มีหมอหลวงหวงอยู่ ช่วงที่ผ่านมาหมอหลวงหวงอยู่ดูแลเด็กทั้งสองแทบไม่ห่างกายเลยเจ้าค่ะ”
“เอ่ยถึงหมอหลวงหวงข้าก็นึกขึ้นมาได้…” ต่งเหล่าไท่จวินส่ายแขนกล่อมเด็กน้อยในอ้อมแขนให้หลับ “หมอหลวงหวงมีหลานสาวคนหนึ่งนามว่าอาหรง ตอนนี้นางผ่านพิธีปักปิ่นเรียบร้อยแล้ว ข้าได้ยินว่านางยังไม่ได้หมั้นหมายกับตระกูลใด คราวที่แล้วข้าพบนางที่ถนนโดยบังเอิญ ข้ารู้สึกว่านางเป็นเด็กร่าเริงและมีเมตตามาก เจ้าคิดว่านางเหมาะสมกับฉางหยวนหรือไม่”
ต่งซื่อมองมารดาของตัวเองอึ้งๆ จากนั้นเข้าใจความหมายของมารดาขึ้นมาทันที
ต่งซื่อรู้จักมารดาของตัวเองดี ต่งฉ่งหยวนคือเด็กที่เรียนเก่งและโดดเด่นที่สุดในตระกูลต่ง หากอาเป่าไม่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินี มารดาของนางต้องเลือกบุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ให้ต่งฉางหยวนแน่นอน
ทว่า ตอนนี้อาเป่าคือจักรพรรดินี หากฉางหยวนเลือกแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ด้วยนิสัยของอาเป่านางย่อมต้องช่วยเหลือตระกูลนั้นตามสมควรแน่นอน หากฉางหยวนมีพ่อตาเป็นขุนนางในราชสำนักเวลาฉางหยวนทำงานให้อาเป่าอาจถูกขุนนางฝ่ายอื่นขัดแข้งขัดขาได้
แม้ต่งเหล่าไท่จวินจะอายุมากแล้ว ทว่า นางยังมีสติเต็มร้อย ไม่ใช่ว่านางรักหลานสาวมากกว่าหลานชายของตัวเอง ทว่า แม้ต่งเหล่าไท่จวินจะเป็นเพียงสตรีแต่นางก็มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ นางอยากเห็นวันที่อาเป่ารวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้สำเร็จเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญต่งเหล่าไท่จวินเคยบอกกับไป๋ชิงเหยียนตั้งแต่ตอนที่นางและต่งชิงเยว่รู้ว่าไป๋ชิงเหยียนมีใจอยากขึ้นครองบัลลังก์แล้วว่าตระกูลต่งจะช่วยเหลือไป๋ชิงเหยียนอย่างสุดความสามารถ
ในเมื่อตระกูงต่งให้คำสัญญาไว้แล้ว พวกนางก็จะทำอย่างเต็มที่ที่สุดจริงๆ
“หากท่านแม่คิดว่าดีข้าจะถือโอกาสนี้จัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ขึ้นในวังหลวง ให้ครอบครัวของเหล่าขุนนางพาสตรีในตระกูลของตัวเองมาร่วมงานเลี้ยงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่พาพวกถิงเจินมาด้วยนะเจ้าคะ” ต่งซื่อนึกถึงบุรุษในตระกูลไป๋ขึ้นมา “นอกจากอาอวิ๋นแล้ว คุณชายคนอื่นของตระกูลไป๋ล้วนยังไม่ได้หมั้นหมาย ข้าจะได้ให้เหล่าน้องสะใภ้ของข้าเลือกลูกสะใภ้ที่พวกนางถูกใจไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ดีเลย!” ต่งเหล่าไท่จวินรีบบอกว่าดี
“มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือเจ้าคะ ท่านยายกับท่านแม่จึงได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้”
เสียงของไป๋ชิงเหยียนมาถึงก่อนที่ตัวจะเดินมาถึงเสียอีก
ต่งเหล่าไท่จวินสวมชุดสีม่วงอ่อนขลิบทองและสวมกระโปรงยาวสีดำ เกล้าผมสูงด้วยความเป็นระเบียบซึ่งกำลังนั่งอุ้มเด็กน้อยอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างกับต่งซื่อหันไปมองด้านนอกทันที
นางเห็นไป๋ชิงเหยียนสวมชุดกระโปรงสีอ่อนเดินผ่านเสาสองต้นข้างเตียงที่มีมุ้งผืนบางสีทองแขวนอยู่เข้ามาด้านใน
“แม่กำลังปรึกษากับท่านยายของเจ้าว่าจะจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ขึ้นในวังหลวง ให้สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อหาภรรยาที่เหมาะสมให้แก่น้องๆ ของเจ้า” ต่งซื่อกล่าวยิ้มๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่ต่งเหล่าไท่จวินได้พบหน้าไป๋ชิงเหยียนหลังจากที่หญิงสาว ‘เดินทางกลับมาเมืองหลวง’ เมื่อเห็นว่าหลานสาวของนางเพียงแค่ผอมลงจากที่เจอกันคราวก่อน สีหน้ายังคงปกติดี ต่งเหล่าไท่จวินจึงหายกังวล นางรีบส่งสี่เล่อในอ้อมแขนให้แม่นม จากนั้นเตรียมลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน
“ท่านยาย!” ไป๋ชิงเหยียนรีบถลาเข้าไปประคองต่งเหล่าไท่จวินที่กำลังจะคุกเข่าลงบนพื้น “ท่านยายจะทำอันใดเจ้าคะ!”
“หม่อมฉันทราบความตั้งใจของฝ่าบาท ทว่า หม่อมฉันต้องทำความเคารพตามกฎเพคะ” ต่งเหล่าไท่จวินตบหลังมือของไป๋ชิงเหยียนเบาๆ สื่อให้หลานสาวปล่อยมือออก
“ท่านยาย หากท่านยายคุกเข่าอาเป่าจะอายุสั้นนะเจ้าคะ!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับต่งเหล่าไท่จวินสีหน้าเคร่งขรึม “หากท่านยายคุกเข่า อาเป่าก็ต้องคุกเข่าตามด้วย หากทุกคนคุกเข่าลงหมดเช่นนี้ ท่านยายไม่คิดว่ามันน่าขันหรือเจ้าคะ”
ต่งเหล่าไท่จวินหัวเราะกับคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน นางกวาดสายตามองไปทางบรรดาแม่นมและหมัวมัวรอบกาย “หม่อมฉันเข้ามาในวังบ่อยเช่นนี้ก็ตกเป็นที่ครหาของผู้อื่นมากแล้ว หากไม่ทำตามกฎระเบียบอีกอาจถูกผู้อื่นติฉินเอาได้…”
“ท่านยายไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตระกูลไป๋ เรื่องนี้ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปแน่นอนเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนประคองต่งเหล่าไท่จวินนั่งลงบนเก้าอี้นิ่ม “ท่านยายนั่งพักตามสบายเถิดเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้รวมถึงแม่นมของไป๋ชิงเหยียนและอาสะใภ้ทุกคนของไป๋ชิงเหยียนล้วนถูกคัดเลือกอย่างดีมาจากตระกูลไป๋ ทุกคนล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ทั้งสิ้น
ต่งเหล่าไท่จวินจึงพยักหน้าอย่างวางใจ นางรับสี่เล่อจากแม่นมมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนเหมือนเดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้ต่างกล่าวกันว่าอาเป่ามีบุตรยาก ตอนนี้สวรรค์เมตตามอบเด็กให้อาเป่าถึงสองคน อาเป่าเป็นคนมีวาสนา ได้รับความคุ้มครองจากเทพบนสวรรค์จริงๆ”
ไป๋ชิงเหยียนรับตัวคังเล่อมาจากต่งซื่อ ยามที่เด็กสาวตัวน้อยที่เริ่มจ้ำม่ำขึ้นยู่ปากขึ้นสามารถมองเห็นลักยิ้มน่าเอ็นดูที่มุมปากทั้งสองข้างของนางได้อย่างชัดเจน ไป๋ชิงเหยียนมองดูบุตรสาวตัวน้อยของตัวเองนอนหลับสนิทในอ้อมกอดของนางด้วยแววตาอ่อนโยน เด็กน้อยเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามารดาของตัวเองกำลังอุ้มนางอยู่ เจ้าตัวน้อยจึงขยับหน้าเข้าไปซุกอกของมารดามากยิ่งขึ้น ไป๋ชิงเหยียนแทบใจละลายอยู่ตรงนั้น
ต่งเหล่าไท่จวินยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เสี่ยวคังเล่อคล้ายกับอาเป่าตอนเป็นเด็กมาก โตขึ้นต้องเป็นสาวงามหาคนเปรียบไม่ได้แน่นอน”
ต่งเหล่าไท่จวินหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงเซียวหรงเหยี่ยนเพราะกลัวจะทำให้หลานสาวเสียใจ
“งดงามไม่งดงามไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอเพียงนางแข็งแรงก็พอเจ้าค่ะ…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ
ไป๋ชิงเหยียนตั้งนามเล่นให้บุตรสาวว่าคังเล่อเพราะอยากให้นางเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุข ไป๋ชิงเหยียนไม่ขอสิ่งใดนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว
นี่คงเป็นความปรารถนาสูงสุดของคนเป็นแม่ทุกคน
“ในเมื่อท่านยายเข้ามาในวังแล้วก็พักอยู่ในวังเป็นเพื่อนท่านแม่สักสองสามวันเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปทางต่งเหล่าไท่จวิน “ท่านยายไม่ต้องคิดว่าไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ เรื่องเล็กแค่นี้ข้าจัดการได้เจ้าค่ะ”
ต่งเหล่าไท่จวินมองหน้าบุตรสาวของตัวเอง จากนั้นก้มมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน ในที่สุดจึงพยักหน้า “ตกลง ยายจะอยู่สักสองสามวัน จะได้อุ้มเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนให้ชื่นใจไปเลย”
“ท่านแม่ให้ท่านอาสะใภ้สามและอาสะใภ้สี่เป็นคนจัดการเรื่องงานเลี้ยงชมดอกไม้เถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านแม่ต้องดูแลเด็กสองคน ท่านอาสะใภ้สองต้องดูแลวั่งเกอ ท่านอาสะใภ้ห้าดูแลเสี่ยวปา ท่านอาสะใภ้สี่รักความสงบ นางแทบจะขลุกตัวอยู่แต่ในห้องพระทั้งวัน ท่านอาสะใภ้สามเป็นคนไม่ชอบว่างงาน นางคงกำลังเหงาอยู่พอดี ให้ท่านอาสะใภ้สามเป็นแม่งาน ท่านอาสะใภ้สี่เป็นคนช่วยเหลือ พวกนางจะได้ไม่เหงาจนเกินไปเจ้าค่ะ”
“ได้ เจ้ากล่าวมีเหตุผล เอาตามนี้ก็แล้วกัน!” ต่งซื่อพยักหน้า
คืนนั้นหวังหานปิงและผิงอี้องครักษ์ข้างกายของจักรพรรดิองค์ก่อนของต้าเยี่ยนเดินทางมาถึงเมืองหลวงของต้าโจวอย่างลับๆ โดยมีทหารค่ายผิงหยางพามาส่ง
มู่หรงเหยี่ยนสั่งให้มู่หรงลี่ส่งหวังหานปิงมาก่อน ต่อมาจึงแสร้งสั่งให้ผิงอี้นำจดหมายของเขาไล่ตามหวังหานปิงมา ทว่า ความจริงองครักษ์ผิงอี้มาถึงต้าโจวก่อนหวังหานปิงเสียอีก
หวังหานปิงรู้ว่าอีกไม่นานขบวนทูตของต้าเยี่ยนจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงของต้าโจว เขาจึงลอบเข้าไปในเมืองหลวงของต้าโจวยามวิกาลโดยไม่เปิดเผยฐานะทูตของต้าเยี่ยนของตัวเอง