สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 135 ยิ่งกว่าจักรพรรดิ
ตอนที่ 135 ยิ่งกว่าจักรพรรดิ
ไป๋จิ่นซิ่วเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ก้าวไปด้านหน้าแล้วชี้นิ้วไปยังป้ายวิญญาณสีดำสลักอักษรสีทอง “พวกเขาถึงจะเป็นบุรุษที่ดีงามของตระกูลไป๋ พวกเขารู้ว่าเมื่อเกิดมาในจวนเจิ้นกั๋วกง พวกเขาต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะลูกหลานของตระกูลไป๋! ต่อให้บรรพบุรุษสร้างความดีความชอบไว้มากมายเพียงใด ไม่มีพวกเขาคนใดคิดจะอาศัยสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในเมืองหลวงที่รุ่งเรืองนี้เลยสักคน พวกเขาเลือกที่จะไปออกรบในสงครามเพื่อปกป้องชาวบ้าน! นี่ถึงจะคือบุรุษผู้กล้าคนดีของตระกูลไป๋!”
กล่าวจบ ไป๋จิ่นซิ่วหันไปทางองค์หญิงใหญ่แล้วคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้น “ท่านย่า ตระกูลไป๋ยินดีสละยศเจิ้นกั๋วกง แต่จะไม่ยอมให้สัตว์เดรัจฉาน ขี้ขลาดไม่เอาไหนผู้นี้ทำให้คำว่าเจิ้นกั๋วต้องแปดเปื้อนเด็ดขาดเจ้าค่ะ หลังจากเสร็จพิธีฝังศพของวีรบุรุษตระกูลไป๋ในวันนี้ ท่านย่าได้โปรดเข้าวังไปสละตำแหน่งด้วยเถิดเจ้าค่ะ อย่าให้สัตว์เดรัจฉานไร้ศีลธรรม ไร้คุณธรรมผู้นี้ทำให้ตระกูลไป๋ต้องแปดเปื้อนเลยเจ้าค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ
ไป๋ชิงเสวียนเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ “พวกเจ้าจะทำเช่นนี้มิได้! พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร สละตำแหน่งอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าไม่ต้องการเกียรติยศที่มีมานับร้อยปีของตระกูลไป๋แล้วหรืออย่างไร!”
“เกียรติยศนับร้อยปีของตระกูลไป๋ได้มาจากการสละชีพปกป้องชาวบ้านของคนทุกคนในตระกูลไป๋ เจ้า…ไม่คู่ควร!” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนดังกังวาน “ลุงผิง จับลูกอนุผู้นี้ไปขังไว้ก่อน เสร็จจากพิธีศพของตระกูลไป๋ค่อยจัดการ!”
ถ้อยคำที่คุณหนูใหญ่กล่าวว่า เกียรติยศนับร้อยปีของตระกูลไป๋ได้มาจากการสละชีพปกป้องชาวบ้านของคนทุกคนของตระกูลไป๋ ยิ่งทำให้ชาวบ้านร้องไห้หนักขึ้น
องค์หญิงใหญ่กล่าวขึ้นช้าๆ “ต้องมีคนโยนชามกระเบื้องตอนเคลื่อนขบวนศพท่านปู่ของพวกเจ้า ให้เด็กนั่น…โยนกระเบื้องก่อน เมื่อเสร็จพิธี ย่าจะมอบตัวเขาให้อาเป่าจัดการได้หรือไม่”
“คนไร้ศีลธรรม ไร้คุณธรรม เนรคุณ อกตัญญูเช่นนี้มีสิทธิ์อันใดมาโยนยามกระเบื้องให้ท่านปู่กัน! หลานของตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดแล้วหรืออย่างไรเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นจื้อก้าวไปด้านหน้า ถีบไปที่หน้าอกของไป๋ชิงเสวียนอย่างเดือดดาลจนเขากลิ้งไปบนพื้น “ให้คนที่ข่มเหงรังแกภรรยาของผู้มีพระคุณของตระกูลไป๋จนนางฆ่าตัวตายมาโยนชามกระเบื้อง ข้าเกรงว่าท่านปู่คงนอนตายตาไม่หลับเจ้าค่ะ!”
ทั้งๆ ที่จะเคลื่อนขบวนศพอยู่แล้ว แต่ตระกูลไป๋กลับเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้
“ข้าจะเป็นคนโยนชามกระเบื้องไว้ทุกข์ให้ดวงวิญญาณของตระกูลไป๋เอง! แต่ไหนแต่ไรมาที่ไม่ให้สตรีเป็นคนโยนชามก็เพราะกลัวว่าวันหนึ่งสตรีต้องแต่งงานออกเรือนไปมิใช่หรือ! วันนี้ข้า ไป๋ชิงเหยียนขอสาบานต่อหน้าดวงวิญญาณของท่านปู่ ท่านพ่อว่าชีวิตนี้จะอยู่เป็นลูกหลานของตระกูลไป๋ แม้ตายไปก็จะเป็นดวงวิญญาณของตระกูลไป๋ จะไม่แต่งงานตลอดชีวิต! ท่านย่า เช่นนี้ข้ามีสิทธิ์โยนชามกระเบื้องไว้ทุกข์แล้วหรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาเป็นประกายของไป๋ชิงเหยียนมองไปทางองค์หญิงใหญ่
“ข้าจะโยนกับพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ! ไป๋จิ่นถงตั้งมั่นต้องการเป็นสตรีที่ดูแลประคับประคองตระกูลไป๋ให้ได้ ชาตินี้ไม่มีวันแต่งงานออกเรือนไปกับผู้อื่นเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นถงกล่าว
องค์หญิงใหญ่มองดูไป๋ชิงเหยียนไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อที่เตรียมเดินเข้ามากล่าวสาบาน นางพยักหน้า “พวกเจ้าพี่น้องช่วยกันโยนเถิด!”
ไป๋จิ่นซิ่วแต่งงานออกเรือนไปแล้ว นางยืนนิ่งอยู่ด้านข้างไม่ได้เข้าไป ไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อถือชามไว้ทุกข์แน่น
จากนั้นต่งชิงเยว่และบรรดาแม่ทัพในเครื่องแบบทหารก็เดินเข้ามาในจวนจากประตูด้านข้างแล้วช่วยแบกโลงศพของบุรุษตระกูลไป๋ทุกคนแทนองครักษ์ออกไปทางประตูด้านข้าง
ทหารคนอื่นๆ ยืนประกบอยู่สองด้านของประตูจวนเจิ้นกั๋วกง ยืนรอให้เสร็จพิธีโยนกระเบื้องอยู่นิ่งๆ ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมา จากนั้นจะได้แบกโลงศพเคลื่อนขบวนออกไป
“ยิ่งชามแตกละเอียดเท่าใดยิ่งดี พวกเราพี่น้องร่วมแรงร่วมใจกันส่งท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุง ท่านอาและบรรดาพี่ชายน้องชายของพวกเราให้จากไปอย่างสงบเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนมองดูน้องสาวทั้งสองคนแล้วกล่าวขึ้น
หนึ่ง สอง สาม สิ้นเสียงนับ สามพี่น้องโยนชามกระเบื้องลงบนพื้นจนแตกละเอียด
ต่งชิงเยว่ขบกรามตะโกนออกมา “ยกโลง!”
“ยกโลง…”
“ยกโลง…”
น้ำเสียงดังก้องของบรรดาแม่ทัพดังขึ้นตามๆ กันราวกับเสียงฟ้าผ่า โลงศพแต่ละโลงถูกยกขึ้นลอยเหนือพื้น จากนั้นทยอยแบกออกไปจากจวนเจิ้นกั๋วกง
องค์หญิงใหญ่กำไม้เท้าหัวพยัคฆ์แน่น นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูหลัก…มองดูบรรดาแม่ทัพในชุดเครื่องแบบทหารแบกโลงศพไม้ของวีรบุรุษของจวนเจิ้นกั๋วกงพาดบ่า
มองดูเหล่าทหารสวมชุดเกราะถือดาบยาวเดินคุ้มกันขนาบอยู่สองข้างของโลงศพไม้ของไป๋เวยถิงสามีของนางและโลงศพไม้ของบุรุษตระกูลไป๋คนอื่นๆ !
บนถนนที่ทอดยาวเต็มไปด้วยชาวบ้านที่สวมชุดไว้อาลัยถือโคมไฟยืนรออยู่ ขบวนศพเคลื่อนผ่านที่ใดชาวบ้านต่างคุกเข่าเปล่งเสียงตะโกน “น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพตระกูลไป๋ทุกท่าน!” ต่างรู้สึกเศร้าโศกเสียใจและร้องไห้ออกมาอย่างจริงใจ
หลิวซื่อร้องไห้จนทรงตัวไม่อยู่ หลัวหมัวมัวและไป๋จิ่นซิ่วคอยพยุงนางยืนอยู่ด้านหลังขององค์หญิงใหญ่
หลี่ซื่อโอบกอดไป๋จิ่นจื้อพลางร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน
ตั้งเกิดมาจนถึงบัดนี้ องค์หญิงใหญ่ยังไม่เคยเห็นพิธีศพเช่นนี้มาก่อน
บนพื้นเต็มไปด้วยหิมะและเงินกระดาษ ทำให้แทบมองไม่เห็นทางเดิน ทว่า เสียงร้องไห้กลับเป็นเสียงนำทางที่ดี…
นางไม่รู้ว่าเวลานี้ ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในวังหลวงจะทรงได้ยินเสียงร้องไห้ที่น่าซาบซึ้งใจของชาวบ้านทั่วทั้งเมืองหลวงหรือไม่ หากได้ยิน…จะทรงรู้สึกเช่นไรบ้าง จะทรงรู้สึกเสียพระทัยหรือไม่ที่ความหวาดระแวงของพระองค์ทำให้วีรบุรุษตระกูลไป๋ผู้จงรักภักดีต้องเสียชีวิตลงทั้งตระกูลเช่นนี้
“องค์หญิงใหญ่…” พ่อบ้านเหาก้าวเข้าไปเอ่ยเตือน
สายตาขององค์หญิงใหญ่หยุดอยู่ที่องครักษ์ของตระกูลไป๋ที่สวมชุดเต็มยศ สูดหายใจเอาอากาศหนาวเย็นเข้าไปเต็มปอด กล่าวขึ้น “ไปเถิด!”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปกำชับถงหมัวมัว “ฝากฉินหมัวมัวและถงหมัวมัวคอยดูแลเรื่องในจวนด้วย!”
ฉินหมัวมัวและถงหมัวมัวทำความเคารพพลางรับคำด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ไป๋ชิงเหยียนเดินอยู่ข้างกายของต่งซื่อ ขณะที่เดินลงจากบันไดของจวนเจิ้นกั๋วกง สายตาของหญิงสาวเหลือบไปสบกับสายตาล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้งของเซียวหรงเหยี่ยนโดยไม่ได้ตั้งใจ
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ ให้เซียวหรงเหยี่ยนผ่านหิมะที่ตกหนักแทนคำขอบคุณที่ชายหนุ่มมาส่งดวงวิญญาณของตระกูลไป๋
องค์หญิงใหญ่เดินนำอยู่ด้านหน้า พาบรรดาสตรีของตระกูลไป๋ฝ่าหิมะเดินตามหลังขบวนศพไปยังหลุมฝังศพของตระกูลไป๋ นางไม่ได้หยุดรอให้อาเป่าเดินไปกับนางแม้แต่น้อย
ข้างกายของเซียวหรงเหยี่ยนมีเพียงองครักษ์หนึ่งคนและม้าอีกสองตัวเท่านั้น ชายหนุ่มจูงเชือกม้าเดินตามหลังขบวนไปอย่างช้าๆ เขามองเห็นชาวบ้านซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งสองข้างทางลุกขึ้นยืน ถือโคมไฟจับมือพากันเดินตามหลังองค์รักษ์ของตระกูลไป๋ไปเป็นขบวน ความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในใจของเซียวหรงเหยี่ยน
ชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอพิธีศพเช่นนี้มาก่อน ไม่ใช่จักรพรรดิ…แต่ยิ่งกว่าจักรพรรดิ
ขบวนศพออกจากเมืองหลวงผ่านประตูเมืองทิศใต้
ทหารเฝ้าประตูเมืองทิศใต้ยืนอยู่บนกำแพงสูง ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักในคืนที่มืดมิด เขามองเห็นถนนเต็มไปด้วยชาวบ้านซึ่งถือโคมไฟเดินขนาบอยู่สองข้างทาง โคมไฟทั้งหมดพากันส่องสว่างไปยังโลงศพยี่สิบกว่าโลง เป็นภาพที่เด่นชัดท่ามกลางกลางคืนที่มืดมิดเช่นนี้
ทหารเฝ้าประตูเมืองทิศใต้รู้สึกสะเทือนใจกับเสียงร้องไห้ที่ดังระงมของชาวบ้านจนใจเต้นรัว ขอบตาร้อนผ่าว
เขากำดาบประจำตำแหน่งทหารเฝ้าประตูเมืองที่อยู่บริเวณเอวของตัวเองแน่นพลางเดินลงไปด้านล่าง สั่งให้คนไปเรียกทหารที่กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในกระโจมออกมาทั้งหมด
เมื่อเห็นขบวนโลงศพค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามา ทหารเฝ้าประตูเมืองทิศใต้และบรรดาทหารเฝ้าเมืองนับร้อยซึ่งยืนอยู่นอกประตูเมืองต่างคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ยกมือกำหมัดข้างหนึ่งแนบหน้าอก ทำความเคารพแบบทหาร
“น้อมส่งเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและท่านแม่ทัพทุกท่าน!”
ทหารนับร้อยทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน น้ำเสียงที่แตกต่าง ทว่าดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสนามรบ
หนทางยาวไกล ในที่สุดก็ไปถึงจุดหมายก่อนฟ้าสว่าง
ฝังร่าง กลบดิน คำนับ…
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพ มองดูโลงศพแต่ละโลงค่อยๆ หายลับไปจากสายตาทั้งน้ำตา ในใจเจ็บปวดร้าวรานเป็นอย่างมาก
บนโลกนี้ไม่มีเจิ้นกั๋วกงผู้กล้าหาญและซื่อตรงอีกต่อไปแล้ว ไม่มีคุณชายผู้มากความสามารถและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ทั้งสิบเจ็ดคนของตระกูลไป๋อีกต่อไปแล้ว