สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 352 อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย
องค์หญิงใหญ่ยืนให้อาหารปลาอยู่หน้าบ่อปลาขนาดใหญ่ของเรือนฉางโซ่วกับแม่นางหลู เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเดินมา แม่นางหลูไม่ต้องการรบกวนเวลาส่วนตัวของย่าหลานจึงทำความเคารพพลางเดินจากไป
“ท่านอาอย่าเพิ่งจากไปเจ้าค่ะ เราพาท่านย่ากลับไปสนทนาต่อที่ห้องเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนรั้งแม่นางหลูเอาไว้
แม่นางหลูหันไปมององค์หญิงใหญ่
องค์หญิงกล่าวยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเมตตา
“อาเป่าให้เจ้าอยู่ เจ้าก็อยู่เถิด!”
“เจ้าค่ะ!” แม่นางหลูรับคำอย่างนอบน้อม อ้อมไปประคองแขนอีกด้านขององค์หญิงใหญ่ ทั้งสามคนกลับเข้าห้องไปพร้อมกัน
ไป๋ชิงเหยียนเล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ปวดศีรษะบ่อยครั้งให้องค์หญิงใหญ่ฟัง องค์หญิงใหญ่โมโหขึ้นทันที วางสร้อยลูกประคำลงบนโต๊ะด้านข้างอย่างแรง แผ่รังสีอำมหิตน่ากลัวออกมาจากร่าง
“หากเรื่องนี้คือฝีมือของชิวกุ้ยเหรินจริงๆ ก็บังอาจเกินไปแล้ว กล้าใช้ความปลอดภัยของจักรพรรดิมาเป็นประกันความโปรดปรานของตัวเองได้อย่างไรกัน!”
องค์หญิงใหญ่เติบโตมาจากวังหลวง สตรีในวังหลังกล้าทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นที่โปรดปราน องค์หญิงใหญ่เห็นมาหมดแล้ว
“แม้แต่ท่านหมอหลวงหวงก็ยังวินิจฉัยอาการไม่ได้เจ้าค่ะ ทว่า ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นฝีมือของชิวกุ้ยเหรินที่ทำไปเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจริงหรือไม่เจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางแม่นางหลู
“ข้าคิดว่าสามารถใช้โอกาสนี้ให้ท่านอาเข้าไปพบฮ่องเต้สักครั้งเจ้าค่ะ ทว่า…ท่านย่าไม่สามารถเอ่ยปากเองได้ เรื่องนี้ต้องให้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ”
เมื่อแม่นางหลูได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการให้นางพบหน้าฮ่องเต้ หญิงสาวไม่ได้มีสีหน้าตื่นตระหนกหรือวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น หญิงสาวยืนสีหน้าสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
“ท่านอามั่นใจในฝีมือการรักษาของตัวเองหรือไม่เจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
แม่นางหลูทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนแล้วเอ่ยตอบ
“ไม่กล้าโกหกคุณหนูใหญ่ แม้ฝีมือการรักษาของหนิงฮว่าจะไม่ได้เก่งกาจเหนือผู้ใด ทว่า ฝีมือการฝังเข็มของข้า…ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงจะเทียบเทียมได้เจ้าค่ะ”
“หนิงฮว่าคือนามของท่านอาเจ้า” องค์หญิงใหญ่กล่าว
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าน้อยๆ หลูหนิงฮว่าหมายความว่านางกล้ารักษาฮ่องเต้
“หากท่านย่าเห็นสมควรก็ควรถือโอกาสนี้ให้ท่านอาได้พบฮ่องเต้สักครั้งเจ้าค่ะ ท่านอาจะได้ช่วยตรวจอาการของฮ่องเต้ด้วยว่าฮ่องเต้ทรงปวดพระเศียรเพราะสาเหตุใดกันแน่”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางองค์หญิงใหญ่
“ได้ เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้เลย หากต้องการใช้คนให้มาขอจากเจี่ยงหมัวมัวและเว่ยจง”
องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลไป๋ที่ส่งกลับไปยังซั่วหยางรอบแรกล้วนเป็นของที่ไม่ค่อยได้ใช้ เดิมทีตั้งใจจะออกเดือนทางในวันที่สิบสี่ เดือนสี่ ทว่า เนื่องจากปัญหาโจรป่า หวังเหล่าไท่จวินแห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาที่จะเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิดในวันที่ยี่สิบ เดือนสี่ ให้สะใภ้ของตนซึ่งสนิทสนมกับต่งซื่อมาสอบถามว่าจะเดินทางไปพร้อมกันได้หรือไม่ เช่นนี้จะได้กลายเป็นขบวนใหญ่ โจรป่าคงไม่กล้าเข้ามาปล้น
ทั้งสองฝ่ายปรึกษาวันที่จะออกเดินทางกันใหม่ สุดท้ายขบวนของตระกูลไป๋และขบวนของหวังเหล่าไท่จวินแห่งจวนเสนาบดีกรมโยธากำหนดออกเดินทางพร้อมกันในวันที่สิบเจ็ด เดือนสี่แทน
ต่งฉางซิ่งไม่ต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางในปีหน้า เขากระตือรือร้นอยากเดินทางไปเที่ยวซั่วหยางพร้อมกับตระกูลไป๋ ดังนั้นจึงขอให้บิดาต่งชิงผิงพาเขาไปหาต่งซื่อที่จวนไป๋เพื่อรับมอบหมายหน้าที่ช่วยงาน
ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่อายุพอๆ กับต่งฉางชิ่งล้วนต้องออกไปฝึกฝนประสบการณ์ยังโลกภายนอกสักปีสองปี ทว่า ตั้งแต่ที่บุรุษตระกูลไป๋สละชีพเพื่อบ้านเมือง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดใต้หล้าที่ดูสงบสุขมานานกลับดูมีอันตรายมากขึ้นทุกที ดังนั้นตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงไม่กล้าปล่อยให้บุตรหลานของตัวเองออกไปเผชิญโลกกว้าง
บัดนี้ต่งฉางชิ่งมีโอกาสได้ออกไปท่องโลกกว้าง เขาย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ ต่งชิงผิงเห็นว่ามีองครักษ์ของตระกูลไป๋คอยคุ้มครองจึงอนุญาตให้ต่งฉางชิ่งออกไปเรียนรู้โลกกว้าง
ทว่า ต่งฉางชิ่งไปนามตัวแทนของตระกูลไป๋ ไป๋ชิงเหยียนจึงพาไป๋จิ่นจื้อไปส่งต่งฉางชิ่งที่นอกเมือง
ต่งฉางชิ่งใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขิน ทั้งๆ ที่ตัวเองอาศัยความคุ้มครองขององครักษ์ตระกูลไปออกไปเรียนรู้โลกกว้างแท้ๆ ยังต้องให้ตระกูลไป๋มาขอบคุณเขาเช่นนี้อีก
“พี่หญิง น้องหญิงเกรงใจเกินไปแล้ว! ข้าอาศัยความคุ้มครองของตระกูลไป๋ออกไปท่องโลกกว้างเองแท้ๆ จะกล้ารับคำขอบคุณจากพี่หญิงได้อย่างไรขอรับ” ต่งฉางชิ่งถามยิ้มๆ
“พี่หญิงและน้องหญิงมีสิ่งใดอยากได้จากซั่วหยางหรือไม่ กลับมาข้าจะนำมาฝากขอรับ”
“พวกเราใกล้จะย้ายกลับไปซั่วหยางแล้ว ญาติผู้พี่ไม่ต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นจื้อยืนเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง ทั้งดูอ่อนช้อยราวกับสตรีแต่ก็ดูองอาจสง่างามด้วยเช่นกัน
ต่งฉางชิ่งก้มหน้าไม่กล้าสบตาไป๋จิ่นจื้อ ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย
“เช่นนั้นหากข้าเจอของน่าสนใจจะซื้อมาฝากพี่หญิงและน้องหญิงนะขอรับ”
“แม้จะมีองครักษ์ของตระกูลไป๋อยู่ แต่เจ้าต้องระวังตัวให้มากด้วยนะ” ไป๋ชิงเหยียนกำชับต่งฉางชิ่ง
ต่งฉางชิ่งคำนับ
“พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องห่วงขอรับ!”
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่ ขบวนของจวนเสนาบดีกรมโยธามาแล้วขอรับ พวกเราพร้อมออกเดินทางแล้วขอรับ” หลูผิงกำหมัดคำนับไป๋ชิงเหยียน
“คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ไม่ต้องกังวลขอรับ ข้าจะดูแลคุณชายเปี่ยวให้ดีขอรับ”
“รบกวนลุงผิงด้วย” ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าให้เล็กน้อย
ต่งฉางชิ่งก้าวขึ้นไปบนหลังมาตามหลูผิง หันไปมองไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเล็กน้อยจากนั้นควบม้าค่อยๆ จากไป
“พี่หญิงใหญ่ เราก็กลับกันเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงสายตาที่ต่งฉางชิ่งมองไป๋จิ่นจื้อเมื่อครู่ เอ่ยถามไป๋จิ่นจื้อเสียงแผ่วเบา
“เสี่ยวซื่อ เจ้าคิดว่าฉางชิ่งเป็นเช่นไรบ้าง”
“ญาติผู้พี่เป็นคนดีมากเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อตอบอย่างรวดเร็ว แววตาส่อแววสงสัย
“พี่หญิงใหญ่จะใช้งานญาติผู้พี่ตระกูลต่งหรือเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ดูเหมือนว่าไป๋จิ่นจื้อจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับต่งฉางชิ่ง หากนางทำลายกำแพงนี้ออกไป ต่อไปเสี่ยวซื่อต้องหลบหน้าต่งฉางชิ่งอย่างแน่นอน มิสู้ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า
ไป๋จิ่นจื้อประคองไป๋ชิงเหยียนขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นก้าวขึ้นหลังม้าของตัวเอง มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหลวง
ขณะจะเลี้ยวเข้าซอยของจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ไปจิ่นจื้อที่อยู่บนหลังม้ามองเห็นรถม้าของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่า
สาวน้อยขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างรถม้าของไป๋ชิงเหยียนพลางกระซิบเสียงเบา
“พี่หญิงใหญ่ รถม้าของหลี่เม่ากลับมาเวลานี้แสดงว่าฮ่องเต้ทรงปวดพระเศียรจนออกว่าราชการตอนเช้าไม่ได้แน่เจ้าค่ะ”
หลายวันมานี้ฮ่องเต้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ไม่ได้ออกว่าราชการตอนเช้ามาสองวันติดแล้ว
ภายในรถม้า ไป๋ชิงเหยียนลูบมือที่หยาบกร้านของตัวเองเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา
“ขวางรถม้าของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไว้ พี่มีเรื่องต้องสนทนากับหลี่เม่า”
“เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อควบม้าทะยานไปด้านหน้า หันหน้าเข้าหารถม้าของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่ม่า ขวางทางของเขาเอาไว้
ไป๋จิ่นจื้อรู้สึกไม่พอใจหลี่เม่ามานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเลี้ยงในวังหลวงครั้งนั้น หลี่เม่ากล่าววาจาเหน็บแหนมพี่หญิงใหญ่ต่อหน้าพระพักตร์ ไป๋จิ่นจื้อโกระจนแทบอยากฟาดแส้ใส่หลี่เม่า
คนบังคับรถม้าของหลี่เม่ารีบกระตุกบังเหียนม้า ตะคอกออกมาเสียงดัง
“เด็กสาวที่ใดกัน ยังไม่รีบหลบไปอีก กล้าขวางทางรถม้าของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้อย่างไรกัน!”
“ข้าคือเกาอี้เซี่ยนจู่ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่พี่หญิงใหญ่ของข้ามีเรื่องอยากจะสนทนากับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย!”
คนบังคับม้าตกตะลึง รีบลงจากม้ามาทำความเคารพ
หลี่เม่าซึ่งนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้าได้ยินเช่นนี้ แววตาของเขานิ่งขรึมลง แหวกม่านของรถม้าออก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวขึ้น “ในเมื่อจวิ้นจู่และเซี่ยนจู่มีเรื่องอยากจะสนทนากับข้า มิสู้ไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีดีหรือไม่ขอรับ”