สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 372 นิสัยเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม
รถม้าคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาในเมืองเป็นที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้านมากมาย รถม้าคันนั้นเคลื่อนตัวผ่านถนนที่มั่งคั่งและครึกครื้นที่สุดแห่งเมืองซั่วหยางไปยังเขตที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในชนบททางฝั่งตะวันออก รถม้าหยุดอยู่หน้าจวนซอมซ่อหลังหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่ ถึงแล้วขอรับ” องครักษ์ที่เคยติดตามหลูผิงมาเยี่ยมหย่าเหนียงคราวที่แล้วกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนที่อยู่ในรถม้า
ชุนเถาแหวกม่านเปิดให้ไป๋ชิงเหยียน ประคองหญิงสาวลงจากรถม้า…
ซั่วหยางไม่เหมือนเมืองหลวง ที่พักอาศัยของที่นี่ค่อนข้างซอมซ่อ ประตูหลักสีดำบานเล็กสีถลอกหลุดลุ่ย ธรณีประตูสึกร่อนมานานจนตรงกลางผุจนเห็นไม้เปื้อนฝุ่นหนาเตอะ ลานหญ้ามีต้นพลับปลูกอยู่ กิ่งก้านไปของมันเลื้อยเกาะไปนอกกำแพง ทว่า ยังดีที่เก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบ
ไป๋ชิงเหยียนและชุนเถายืนดูองครักษ์เดินไปเคาะประตูอยู่บริเวณด้านหน้า
ไม่นาน สตรีวัยกลางคนที่อายุราวๆ สามสิบปีอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ในอ้อมกอดเดินมาเปิดประตู
เมื่อเห็นด้านนอกดูเอิกเกริก สตรีกลางคนรีบเอ่ยถามอย่างหวั่นวิตก “ท่านมาหาผู้ใดเจ้าคะ”
องครักษ์โค้งกายคำนับสตรีวัยกลางคน
“ข้าคือองครักษ์ของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ท่านนั้นคือจวิ้นจู่ จวิ้นจู่ตั้งใจมาเยี่ยมหย่าเหนียง ไม่ทราบว่าหญิงชราที่ดูแลหย่าเหนียงอยู่หรือไม่ขอรับ”
เมื่อสตรีกลางคนได้ยินว่าผู้ที่มาคือเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ อีกทั้งมาหาหย่าเหนียง สีหน้าของนางส่อแววกังวลทันที วางเด็กในอ้อมกอดลง ไม่รู้ว่าควรคุกเข่าหรือย่อกายทำความเคารพดี
“แม่นางไม่ต้องมากพิธี หย่าเหนียงอยู่หรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
สตรีกลางคนก้มหน้างุด จับมือเด็กที่อายุราวสองขวบที่ยืนอยู่ข้างกายแน่นราวกับกำลังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่ เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก
“คือว่า…หย่าเหนียงถูกญาติรับตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหนียนขมวดคิ้วแน่น จ้องไปยังสตรีกลางคนที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเย็นชา
“ญาติที่ใดรับตัวไป ข้าจำได้ว่าตระกูลไป๋ให้เงินหญิงชราเพื่อช่วยดูแลหย่าเหนียงไม่ใช่หรือ”
สตรีกลางคนหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสริมอีกประโยคอย่างไม่รีบร้อน
“มารดาของหย่าเหนียงตกน้ำเสียชีวิต เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ ต้องให้ข้าไปเชิญนายอำเภอโจวมาถามเจ้าหรือไม่”
สตรีกลางคนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา อ้าปาก ทว่า ไม่อาจตอบได้ว่าหย่าเหนียงอยู่ที่ใด
“ตอบมา หย่าเหนียงอยู่ที่ใด”
น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบราวกับสายน้ำ ทว่า กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร
“ขออภัยจวิ้นจู่เจ้าค่ะ หลังจากที่แม่สามีของข้ารับเลี้ยงดูหย่าเหนียง สามีของข้ากลัวว่าคนของตระกูลไป๋จะมาหาเรื่องพวกข้า เขาจึงส่งตัวหย่าเหนียงกลับไปบ้านของตัวเองตั้งแต่คืนวันนั้นแล้วเจ้าค่ะ ทว่า พวกข้าไม่ได้เก็บเงินไว้เองนะเจ้าคะ เงินที่ตระกูลไป๋และองครักษ์ผู้นั้นมอบให้ พวกข้าให้หย่าเหนียงนำติดตัวไปหมดเลยเจ้าค่ะ!”
สตรีกลางคนหวาดกลัวไป๋ชิงเหยียนจนสารภาพทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก
“ต่อมาแม่สามีของข้าโมโหมาก ใช้ไม้เท้าฟาดสามีของข้าอย่างหนัก สั่งให้เขาไปรับตัวหย่าเหนียงกลับมา ทว่า สามีข้าหาตัวหย่าเหนียงไม่เจอ เขาเฝ้าอยู่หน้าบ้านของหย่าเหนียงทั้งวันก็ไม่เห็นหย่าเหนียงกลับมา ตอนนี้สามีข้ายังตามหาหย่าเหนียงอยู่เลยเจ้าค่ะ ทว่า ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ แม่สามีข้าโมโหจนล้มป่วยเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้ยังนอนซมอยู่ที่เตียงอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
สตรีกลางคนกล่าวเสียงสะอื้นอย่างรวดเร็วและกระชับ ไม่เหมือนกำลังโกหก
แม้ไป๋ชิงเหยียนจะโมโห ทว่า นางรู้ดีว่าการเอาตัวรอดคือเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน
ไป๋ชิงเหยียนเดินไปยังบ้านของหย่าเหนียงโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อเห็นประตูล็อคอยู่จึงให้องครักษ์ปีนเข้าไปสำรวจด้านใน
เมื่อองครักษ์สำรวจเสร็จจึงกลับมารายงานว่าประตูห้องด้านหลังเปิดอยู่ หม้อบนเตาถ่านยังมีหมั่นโถวที่ทานไม่หมดวางไว้อยู่ ไก่บ้านยังอยู่ ดูเหมือนว่าไม่ได้จะหนีออกไปจากบ้าน
ทว่า สตรีกลางคนกล่าวว่ายังไม่เห็นหย่าเหนียงกลับมาบ้าน
ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น
หย่าเหนียงหน้าตาสะอาดสะอ้าน เป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ ทั้งยังเป็นใบ้อีก หากบังเอิญเจอคนไม่ดีเข้าคงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่ได้ อีกทั้งทุกคนคิดว่านางล่วงเกินตระกูลไป๋เข้าให้แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนไม่ดีคิดไม่ซื่อกับนางหรือไม่
ว่ากันว่าจิตใจของมนุษย์ล้วนมีเมตตา ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับรู้สึกว่าใจคนโหดร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง
หย่าเหนียงหายตัวไปสองวันแล้ว ระหว่างนี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง ไม่มีผู้ใดรับประกันได้
ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่นพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปมององครักษ์แล้วเอ่ยสั่งอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คนหนึ่งอยู่เฝ้าหน้าบ้านของหย่าเหนียง หากหย่าเหนียงกลับมาให้รีบรายงานทันที! บอกเฉวียนอวี๋ว่าข้าต้องการใช้องครักษ์สองกองของจวนรัชทายาท แบ่งเป็นห้าคนหนึ่งกลุ่ม แยกย้ายกันตามหาหย่าเหนียงในทั่วทุกมุมของเมืองซั่วหยาง”
ไป๋ชิงเหยียนชะงักเล็กน้อย จากนั้นกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงรวดเร็วกว่าเดิม
“ไปยังสถานที่เริงรมย์ต่างๆ ป่าวประกาศว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไป๋ชิงเหยียนกำลังตามหาหย่าเหนียงอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามหากนำตัวหย่าเหนียงมาส่งที่หอบรรพชนก่อนยามเว่ย[1]ของวันนี้อย่างปลอดภัย ไป๋ชิงเหยียนจะตบรางวัลให้หนึ่งพันตำลึง หากตะวันตกดินวันนี้ข้ายังหาตัวหย่าเหนียงไม่พบ หากตรวจสอบแล้วพบว่าผู้ใดจับตัวหย่าเหนียงไป จะถือว่าเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
หย่าเหนียงหน้าตาสละสวย หากนางถูกคนจับตัวไปเพราะเห็นว่านางเป็นใบ้ไร้ที่พึ่ง ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือถูกจับไปยังสถานที่เริงรมย์ หวังว่าบารมีของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จะทำให้คนเหล่านั้นหวาดกลัว และคืนตัวหย่าเหนียงกลับมา
“ขอรับ!”
ไป๋ชิงเหยียนขึ้นไปบนรถม้า หลับตาลง ข่มความโกรธที่มีต่อตระกูลบรรพบุรุษไม่ไหว ตระกูลดีๆ ตระกูลหนึ่งถูกพวกเขาทำจนเสื่อมโทรม ไม่หลงเหลือความเป็นตระกูลไป๋อยู่เลยสักนิด!
ไม่เพียงทำผิดไม่ยอมแก้ไข ยั่วยุทางการ แต่กลับโยนเด็กบริสุทธิ์ลงแม่น้ำอย่างโหดร้ายอีก! ทำลายชีวิตคนเช่นนี้ ชั่วช้ายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก! ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ศักดิ์ศรีความเป็นตระกูลไป๋ไปทิ้งไว้ที่ใดหมดแล้ว!
บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดท่านปู่จึงไม่อนุญาตให้บุตรอนุของตระกูลไป๋เจอกับมารดาแท้ๆ ของพวกเขา ต้องเลี้ยงอยู่ข้างกายของมารดาเอกเท่านั้น
มารดาเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง ในสมองคิดแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ถูกสั่งสอนมาอย่างนั้นตั้งแต่เล็ก นิสัยเปลี่ยนไปตามมารดาผู้เลี้ยงดู เติบโตขึ้นมาเป็นคนเลว นิสัยล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เรียนรู้พฤติกรรมทุกอย่างที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนติดเป็นนิสัย ส่งผลกระทบต่อทายาทรุ่นต่อไป เลี้ยงคนรุ่นต่อไปให้แย่ยิ่งกว่ารุ่นเดิม
ต่อให้รับมาเป็นบุตรของมารดาเอก ทว่า แก้ไขนิสัยเหล่านั้นไม่ได้แล้ว
จำเป็นต้องเปลี่ยนประมุขของตระกูลคนใหม่ จำเป็นต้องสะสางตระกูลไป๋ให้กลับมาสะอาดอีกครั้ง
“คุณหนูใหญ่…” ชุนเถารู้ว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นห่วงหย่าเหนียงจึงเอ่ยปลอบเสียงแผ่วเบา
“หย่าเหนียงต้องไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่อย่ากังวลเกินไปเจ้าค่ะ”
“กลับจวนบรรพบุรุษ!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชุนเถาหันไปบอกคนบังคับม้า “กลับจวนบรรพบุรุษ”
ข่าวเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนจะเดินทางไปยังจวนบรรพบุรุษส่งมาถึงจวนบรรพบุรุษอย่างรวดเร็ว กู่เหล่าพาบรรดาบ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋มารอต้อนรับอยู่หน้าจวนนานแล้ว
กู่เหล่าติดตามหลูผิงคุ้มกันขนย้ายข้าวของเครื่องใช้มายังซั่วหยางในครั้งแรก เขาจึงย้ายเข้ามาอยู่ดูแลจวนบรรพบุรุษก่อนล่วงหน้าแล้ว
เมื่อก่อนตอนที่เจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงยังมีชีวิตอยู่ กู่เหล่าจะเดินทางมาเตรียมความพร้อมที่ซั่วหยางก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง อีกทั้งเป็นคนดูแลเรื่องเงินของตระกูลบรรพบุรุษ จัดการดูแลบ่าวรับใช้เหล่านี้อย่างเข้มงวดจนบ่าวรับใช้ต่างเกรงกลัวบารมีเขา เขาจึงมีฐานะสูงส่งกว่าคนเหล่านี้
ตั้งแต่กู่เหล่ามาถึงซั่วหยาง เขาไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาจัดการกับผู้ดูแลจวนบรรพบุรุษที่เซ็นสัญญาทาสกับตระกูลไป๋อย่างเด็ดขาด…หักขาและขายทิ้งทั้งครัวเรือน
[1] ยามเว่ย เวลาระหว่าง 13.00-15.00 นาฬิกา