สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 392 เข้าวัง
หญิงชราเฝ้าประตูกล่าวกับสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง
“รบกวนเข้าไปรายงานเจี่ยงหมัวมัวด้วยว่าคนของวังหลวงมารับตัวคุณหนูหลูเข้าไปในวัง”
เจี่ยงหมัวมัวได้ยินจึงรีบเดินออกมาถามทันที
องค์หญิงใหญ่หันไปมองทางด้านนอก ขมวดคิ้วแน่น “ฮ่องเต้ทรงประชวรอีกแล้วหรือ”
แม่นางหลูยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง
“หนิงฮว่ากำชับกับฮ่องเต้แล้วว่าให้พระองค์ควบคุมเรื่องบนเตียง หลายวันมานี้พระองค์ไม่ได้แตะต้องยานั้นเลย ต่อให้พระองค์ทรงเสวยยานั่นเข้าไปเมื่อคืนก็ไม่มีทางแสดงอาการในวันนี้แน่นอนเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนเหมือนจะเดาเรื่องราวได้ หญิงสาวเงยหน้ามองหลูหนิงฮว่า กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ฝ่าบาททรงเรียกท่านอาเข้าวังเพราะเรื่องยาชุบชีวิตของแม่นางจี้แน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อวานเรื่องของจี้หลางหวากลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต บัดนี้ชาวบ้านในเมืองหลวงยังคงถกเถียงเรื่องยาวิเศษชุบชีวิตนี้อยู่เลย เรื่องนี้ไม่มีทางรอดหูพระกรรณของฮ่องเต้ไปได้แน่นอน
“เมื่อวานท่านอาเกลี้ยกล่อมแม่นางจี้ได้ผลหรือไม่เจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนถามหลูหนิงฮว่า
หลูหนิงฮว่าส่ายหน้า
“พวกเจ้าอมพะนำอันใดกัน!”
องค์หญิงใหญ่รู้เรื่องความวุ่นวายที่จี้หลางหวาก่อขึ้นเมื่อวาน ทว่า ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างจี้หลางหวาและหลูหนิงฮว่า
“ยังไม่ทันได้เรียนองค์หญิงใหญ่ จี้หลางหวาคือญาติผู้น้องของหนิงฮว่า หลานแท้ๆ ของท่านตาเจ้าค่ะ”
หลูหนิงฮว่ากล่าวอย่างนอบน้อม
องค์หญิงใหญ่นิ่งอึ้งเล็กน้อย “ดังนั้นจี้หลางหวาก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นเพราะต้องการพุ่งเป้าไปที่ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”
หลูหนิงฮว่าลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า
“องค์หญิงใหญ่ได้โปรดอย่าได้ถือสานางเลยนะเจ้าคะ นางยังเด็กอยู่…”
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้โกรธ เพียงแค่เอ่ยถาม
“นางต้องการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้เพื่อแก้แค้นให้ปู่ของนางอย่างนั้นหรือ”
“จี้หลางหวากล่าวว่าบุรุษทุกคนของตระกูลไป๋สละชีพเพื่อปกป้องชาวบ้านและบ้านเมือง นางซาบซึ้งในความซื่อสัตย์และภักดีของพวกเขา นางเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่โชคดีได้รับการช่วยเหลือจากแม่ทัพแห่งกองทัพไป๋ นางยอมตายเพื่อทวงความยุติธรรมให้ผู้มีพระคุณเจ้าค่ะ”
หลูหนิงฮว่ามองไปทางไป๋ชิงเหยียนแวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าลงตามเดิม นางไม่กล้าบอกองค์หญิงใหญ่ว่าแท้จริงแล้วจี้หลางหวากล่าวว่า…ยอมสละชีพของตนเพื่อทวงความยุติธรรมให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อสังหารทรราชแทนชาวบ้านทั่วทั้งใต้หล้า
องค์หญิงใหญ่หลับตาลง ดวงตาแดงก่ำอย่างรุนแรง สตรีธรรมดาคนหนึ่งยังรู้ว่าตระกูลไป๋จงรักภักดี ยังคิดว่าฮ่องเต้คือทรราช!
เจี่ยงหมัวมัวเดินอ้อมฉากกั้นเข้ามาทำความเคารพพลางกล่าวขึ้น “ทางวังส่งคนมาเชิญคุณหนูหลูเข้าไปในวังเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปเถิด!” องค์หญิงใหญ่กล่าว “หากฮ่องเต้ตรัสถามถึงเรื่องยาวิเศษชุชีวิตนั่น เจ้าจงบอกไปว่าเป็นเรื่องเหลวไหล…”
หลูหนิงฮว่าพยักหน้ารับคำ “หนิงฮว่าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากหลูหนิงฮว่าจากไป องค์หญิงใหญ่รับประทานอาหารต่อไม่ลง ไป๋ชิงเหยียนรู้สาเหตุดี...ท่านย่าเห็นสตรีอ่อนแอธรรมดาคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งอำนาจบารมีและไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลไป๋ต้องการแก้แค้นแทนตระกูลไป๋โดยอาศัยเพียงสติปัญญาของตัวเอง ส่วนท่านย่าในฐานะภรรยา มารดาและย่ากลับจำต้องปกป้องราชวงศ์หลินเอาไว้
“ท่านย่า อาหารเย็นหมดแล้ว รับประทานอาหารก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ ได้แต่หวังว่าเมื่อรัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เขาจะทำได้ดีกว่านี้
ช่วงบ่าย ข่าวเรื่องขบวนขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ที่ส่งกลับไปยังซั่วหยางเมื่อวันที่ยี่สิบหก เดือนสี่ถูกโจรปล้นระหว่างทางแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายเถิด! ได้ยินว่าของที่ส่งกลับไปซั่วหยางในครั้งนี้ล้วนเต็มไปด้วยสินเดิมของบรรดาฮูหยินของตระกูลไป๋ทั้งนั้น”
“ได้ยินมานานแล้วว่าโจรป่าออกอาละวาดแถวซั่วหยาง นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะเหิมเกริมถึงเพียงนี้! ขบวนของจวิ้นจู่ใหญ่โตเพียงนั้น องครักษ์ที่คุ้มกันไปด้วยล้วนสูงใหญ่บึกบึนทุกคน!”
“นั่นนะสิ! ข้าได้ยินมาว่าสินค้าที่ถูกปล้นไปของพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็ยังไม่ได้คืนเลย”
“เหตุใดช่วงนี้เหตุการณ์ถึงได้ไม่สงบเช่นนี้นะ”
“คงเป็นเพราะของมีค่ามากเกินไป โจรป่าพวกนั้นจึงออกมาปล้นอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้”
“กล้าปล้นแม้กระทั่งขบวนของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ราชสำนักคงส่งคนไปปราบปรามแล้วกระมัง”
“ไม่แน่เหมือนกัน!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งส่ายหน้าพลางเบ้ปาก
“ตอนนี้กองทัพของต้าเหลียงตั้งกองทัพอยู่ที่เขตชายแดนระหว่างสองแคว้น ราชสำนักคงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องโจรป่าหรอก ทว่า โจรป่าเหล่านี้ไม่กล้าบุกมายังเมืองหลวงแน่ พวกเราไม่ต้องกังวลหรอก”
“เฮ้อ เกิดภัยโจรป่าขึ้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จะยังเดินทางกลับไปซั่วหยางอีกหรือไม่”
“ข้าว่าคงไม่กล้ากลับไปแล้ว!”
…
จวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่
“พวกข้าปกป้องข้าวของทั้งหมดไว้ด้วยชีวิต โจรเหล่านั้นปล้นไปได้แค่เพียงส่วนน้อยเท่านั้นขอรับ พวกเรายังรักษาของส่วนใหญ่เอาไว้ได้ ใต้เท้าหลูสั่งให้ทุกคนเร่งขนย้ายข้าวของกว่าครึ่งไปเก็บไว้ที่จวนบรรพบุรุษไป๋ตั้งแต่คืนนั้นแล้วขอรับ ส่วนที่เหลืออีกเพียงเล็กน้อยใต้เท้าหลูจะคุ้มกันไปยังซั่วหยางในตอนกลางวันเองขอรับ”
องครักษ์ที่มารายงานสถานการณ์รายงานตามคำสั่งของหลูผิงทุกประการ
“ใต้เท้าหลูกำชับให้พวกเราป่าวประกาศออกไปว่าของส่วนใหญ่โดนปล้นไปหมดแล้ว เหลือเพียงของส่วนน้อยที่ใต้เท้าหลูขนไปยังซั่วหยางตอนกลางวันเท่านั้น ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะได้ไม่กล้ามาแย่งชิงเงินของตระกูลไป๋อีกขอรับ”
ต่งซื่อได้ยินองครักษ์รายงานเช่นนี้จึงคลายกังวล
“หลูผิงรอบคอบดีมาก ทุกคนต่างรับรู้ว่าตระกูลไป๋ขายสมบัติแลกเป็นเงินให้ตระกูลบรรพบุรุษไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงสินเดิมของบรรดาสะใภ้เท่านั้น ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะกล้ามาแย่งชิงสินเดิมของสะใภ้ได้อย่างไรกัน ที่สำคัญประมุขไป๋ถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว พวกเราไม่ต้องระวังตัวกันขนาดนั้นแล้ว”
“รอบคอบไว้ก่อนก็ดีเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองหลิวซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าทาบอก ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“ตระกูลบรรพบุรุษไป๋พวกนั้นยิ่งชอบเงินอยู่ด้วย”
“ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนเถิด!” ต่งซื่อกล่าวกับองครักษ์
องครักษ์รับคำพลางเดินจากไป ต่งซื่อหันไปถามฮูหยินสอง
“เจ้าคัดเลือกบ่าวที่จะเดินทางไปยังซั่วหยางเรียบร้อยแล้วหรือไม่ เจ้าจะจัดการกับครอบครัวของหลัวหมัวมัวเช่นไร”
“ให้หลัวหมัวมัวอยู่ดูแลจิ่นซิ่วที่เมืองหลวงข้าถึงจะวางใจเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองถอนหายใจยาว
“มิเช่นนั้น หากพวกเราย้ายกลับไปซั่วหยางกันหมด จิ่นซิ่วตั้งครรภ์อยู่ในเมืองหลวงคนเดียว ข้าอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ!”
“ข้าก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่” ต่งซื่อเป็นมารดาเช่นเดียวกันย่อมเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ดี นางกล่าวขึ้น
“รอให้จิ่นซิ่วคลอดลูกเสร็จแล้วเจ้าค่อยเดินทางกลับไปซั่วหยางเถิด มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่สบายใจอยู่อย่างนี้”
ฮูหยินสองมองไปทางต่งซื่อ ดวงตาเป็นประกาย “ได้หรือ…เจ้าคะ”
“ได้สิ!” ต่งซื่อยิ้มให้ฮูหยินสอง
“บัดนี้จวนฉินไม่มีผู้ใหญ่หลงเหลืออยู่สักคน ตอนจิ่นซิ่วคลอดจะไม่มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนได้อย่างไรกัน”
ใบหน้าของฮูหยินสองหลิวซื่อปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันที นางกินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างผอมลงกว่าเดิมเพราะเรื่องที่จิ่นซิ่วตั้งครรภ์ ทว่า นางต้องเดินทางกลับไปยังซั่วหยางมานานแล้ว การคลอดบุตรคือการก้าวขาข้างหนึ่งลงไปในโลงศพ ในฐานะคนเป็นแม่ นางจะไม่กังวลได้อย่างไร
บัดนี้ได้รับอนุญาตจากต่งซื่อ หลิวซื่อรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
“พอจิ่นซิ่วคลอดบุตรเสร็จ ข้าจะรีบตามกลับไปซั่วหยางทันทีเจ้าค่ะ!” หลิวซื่อกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ต่งซื่อส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบร้อนปานนั้นหรอก พอเด็กครบหนึ่งเดือนพวกเราตระกูลไป๋ย่อมเดินทางมาเมืองหลวงอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยกลับไปพร้อมกันเถิด”
“เจ้าค่ะ ข้าเชื่อพี่สะใภ้เจ้าค่ะ” หลิวซื่อยิ้มกว้างกว่าเดิม
บัดนี้ ไป๋ชิงเหยียนกำลังพบปะกับเฉิงซ่านหรูบุตรชายของถงหมัวมัวอยู่ที่ศาลา