สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 396 สถานที่วุ่นวาย
เมื่อไป๋ชิงเหยียนและเสิ่นชิงจู๋ขี่ม้าพ้นจากจวนรัชทายาท ไป๋ชิงเหยียนรถความเร็วลง เสิ่นชิงจู๋ขยับเข้าไปใกล้
หญิงสาวกล่าวกับเสิ่นชิงจู๋เสียงแผ่วเบา
“ชิงจู๋ คงต้องรบกวนให้เจ้านำคนไปยังภูเขาชุนมู่สักรอบ อีกไม่นานต้าเหลียงจะทำสงครามกับต้าจิ้น เราต้องเตรียมรับมือไว้ก่อน”
สีหน้าของเสินชิงจู๋จริงจัง “ข้าจะเก็บของและพาคนออกเดินทางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
“นำคนไปมากหน่อย” ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองเสิ่นชิงจู๋
“เจ้าค่ะ!”
สิ้นเสียงของเสิ่นชิงจู๋ เสียงของหลู่หยวนเผิงดังแว่วมาจากด้านบน
“พี่สาวไป๋!”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลู่หยวนเผิงเอนกายพิงเสาระเบียงสีแดงพลางโบกมือทักทายนาง
“พี่สาวไป๋รอขข้าสักครู่นะขอรับ!”
“เจ้ากลับไปเตรียมตัวก่อน” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับเสิ่นชิงจู๋
ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า มองดูหลู่หยวนเผิงวิ่งลงมาจากโรงสุราด้วยความรีบร้อนจนเกือบสะดุดธรณีประตูล้ม ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้
“พี่สาวไป๋!” หลู่หยวนเผิงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน
“ข้าได้ยินว่าขบวนขนของของตระกูลไป๋ถูกโจรป่าปล้นไป โจรป่าพวกนี้ช่างบังอาจยิ่งนัก! พี่สาวไป๋จะกลับไปซั่วหยางวันที่หนึ่ง เดือนห้านี้แล้ว ข้าจึงคิดว่าจะพาองครักษ์ของจวนหลู่ตามไปส่งสตรีตระกูลไป๋ถึงซั่วหยางขอรับ ดูสิว่าโจรป่าพวกนั้นจะยังกล้าเหิมเกริมอีกหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก ให้เจ้าไปส่งตระกูลไป๋ถึงซั่วหยาง ตอนเจ้าเดินทางกลับจะยิ่งทำให้คนเป็นห่วงมากกว่าเดิม” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับหลู่หยวนเผิง
“ที่สำคัญอีกไม่นานก็จะมีการเกณฑ์ทหารแล้ว หากเจ้าสนใจก็ไปลองดูสิ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าหลู่เซียงจะยอมให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพหรือไม่”
หลู่ผิงมีอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาอย่างหลู่เซียงคอยหนุนหลัง เขาต้องอยู่ในกองทัพอย่างราบรื่น ปลอดภัยแน่นอน
“เกณฑ์ทหาร? จะเกิดสงครามอีกแล้วหรือขอรับ กับต้าเหลียงหรือขอรับ”
หลู่หยวนเผิงไหวพริบดีมาก
“ไม่แน่เหมือนกัน ทว่า มีการเกณฑ์ทหารแน่นอน เราสูญเสียทหารจากสงครามที่หนานเจียงไปมาก ต้องเพิ่มกำลังคน” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
หลู่หยวนเผิงเกือบหลุดโพล่งออกไปว่าเขาตั้งใจจะไปเข้าร่วมกองทัพไป๋ที่หนานเจียง ทว่า เขากลืนถ้อยคำนั้นไว้ได้ทัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจจะไปเข้าร่วมกองทัพโดยการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง หากเขาบอกพี่สาวไป๋ พี่สาวไป๋ต้องเสียเวลามาห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขาแน่!
เขาจะสร้างผลงานในกองทัพไป๋ จากนั้นไปยืนอยู่ต่อหน้าพี่สาวไป๋ รับมอบหอกเงินหงอิงมาจากมือของพี่สาวไป๋อย่างภาคภูมิ
ไป๋ชิงเหยียนก้าวขึ้นหลังม้า กล่าวกับหลู่หยวนเผิง “ดูแลตัวเองด้วย!”
“วันที่หนึ่ง เดือนห้าข้าจะไปส่งพี่สาวไป๋ขอรับ ถึงตอนนั้นค่อยบอกลาข้าก็ได้ขอรับ”
หลู่หยวนเผิงก้าวถอยหลังไปโค้งคำนับไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนจ้องมองไปยังดวงตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ของหลู่หยวนเผิง พยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นขี่ม้าจากไป
หลู่หยวนเผิงมองส่งไป๋ชิงเหยียนจากไป จากนั้นวิ่งกลับขึ้นไปบนโรงสุราอย่างกระตือรือร้น นำข่าวเรื่องที่ต้าเหลียงจะเปิดสงครามกับต้าจิ้นไปบอกให้กลุ่มคุณชายเจ้าสำราญฟัง
ภายในห้องหนังสือในวังหลวง ฮ่องเต้ประทับอยู่ท่ามกลางแสงของตะเกียง มองดูขันทีเล็กซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายขวากำลังคัดเลือกม้วนไม้ไผ่ทีละเล่ม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน
วันนี้ฮ่องเต้เรียกตัวขันทีทุกคนในวังหลวงที่รู้หนังสือเข้าไปพบ ให้พวกเขาช่วยกันค้นหาตำราที่บันทึกเกี่ยวกับความเป็นอมตะ ไม่แก่เฒ่า หรือแก่แล้วกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
เกาเต๋อเม่ารับใช้ฮ่องเต้มานานหลายปี เขารู้ดีว่าฮ่องเต้กำลังสนใจเรื่องยาวิเศษชุบชีวิตที่สตรีซึ่งไปอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ครอบครองอยู่
ที่จริงเกาเต๋อเม่าก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นเดียวกัน แม้เขาไม่กล้าหวังเรื่องความเป็นอมตะ ทว่า เขาก็หวังอยากให้มียาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นหรือยาที่ทำให้ร่างกายกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งจริงๆ
ในฐานะขันที สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเกาเต๋อเม่าก็คือการมีร่างกายไม่ครบสามสิบสอง
หากสามารถฝังร่างกายที่สมบูรณ์ของตัวเองในหลุมศพได้ก็คงจะดี
นอกห้องหนังสือ ขันทีเล็กคนหนึ่งเดินก้มหน้าเข้าไปด้านใน สาวเท้าอ้อมผ่านเสาเคลือบน้ำมันสีแดงเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายของเกาเต๋อเม่า ใช้มือป้องปากกระซิบข้างใบหู
“เกากงกง องค์รัชทายาทมาขอรับ ทรงรออยู่นอกตำหนักขอรับ”
ฮ่องเต้ได้ยินเสียงกระซิบจึงกล่าวขึ้น “เชิญองค์รัชทายาทเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ไม่นาน รัชทายาทเดินเข้ามาด้านใน ทำความเคารพจากนั้นรายงานที่เกิดขึ้นที่ภูเขาชุนมู่ ขอความเห็นจากฮ่องเต้
ฮ่องเต้ลูบคลำที่ปลายหมอน นิ่งเงียบ ทอดพระเนตรไปยังรัชทายาทอย่างค้นหา เดาได้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของบุตรชายของตน
รัชทายาทกล่าวอย่างมีสติ “ลูกคิดว่าต้าเหลียงอาจรุกล้ำดินแดนของเราเพื่อต้องการหยั่งเชิง หากไม่สั่งสอนต้าเหลียง พวกเขาอาจคิดว่าเรากลัวพวกเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นาน ฮ่องเต้ตรัสขึ้น “แม่ทัพหลักในครั้งนี้คือสวินเทียนจาง เป็นแม่ทัพคนสำคัญในราชสำนักต้าเหลียง…”
รัชทายาทคุกเข่าอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ รอฟังคำของฮ่องเต้อย่างสงบนิ่ง ฮ่องเต้หยิบม้วนไม่ไผ่ม้วนหนึ่งเคาะไปบนโต๊ะตรงหน้า “ทว่า หากไม่สังหารทหารเหล่านั้น ต้าจิ้นจะสูญเสียความน่าเกรงขามทันที”
“เสด็จพ่อทรงหมายความว่า…”
“ทำตามวิธีของเจ้า ให้จางตวนรุ่ยตัดศีรษะของทหารเหล่านั้นแล้วส่งกลับไปยังค่ายทหารของต้าเหลียง!” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างไม่รีบร้อน
ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเคลื่อนพลไปยังภูเขาชุนมู่ รัชทายาทก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ได้แต่ถอยออกมาจากห้องหนังสือ
“ฝ่าบาททรงไม่สั่งเคลื่อนพลไปยังภูเขาชุนมู่หรือพะย่ะค่ะ หากสวินเทียนจางแห่งต้าเหลียงโจมตีต้าจิ้นขึ้นมาจริงๆ จะทำเช่นไรพะย่ะค่ะ” เกาเต๋อเม่าถาม “ฝ่าบาทจะเรียกใช้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก้มหน้าลง ตรัสขึ้นช้าๆ “หากต้าเหลียงกล้าบุกต้าจิ้น พวกนั้นคงไม่รอถึงวันนี้หรอก ต่อให้พวกนั้นกล้าบุกโจมตีต้าจิ้นจริงๆ ก็…ส่งเกาอี้เซี่ยนจู่ไป หากไม่จำเป็นจริงๆ เราไม่มีทางใช้ไป๋ชิงเหยียน”
สงครามที่หนานเจียงทำให้ไป๋ชิงเหยียนเริ่มมีบารมีในราชสำนักแล้ว เขาไม่อยากเปิดโอกาสให้ไป๋ชิงเหยียนอีก
ส่วนคุณหนูสี่ตระกูลไป๋ไป๋จิ่นจื้อก็ฝึกฝนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กเช่นเดียวกัน แม้จะเทียบกับไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ ทว่า อย่างน้อยก็เป็นทายาทของตระกูลไป๋ คงไม่แย่กว่ากันสักเท่าใด ที่สำคัญก็คือนางไม่ได้ฉลาดและเจ้าวางแผนเหมือนดั่งพี่สาว ควบคุมได้ง่ายกว่า
ฉินซ่างจื้อได้รับข่าว เมื่อเห็นว่าเป็นดั่งที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เขาเงียบขรึมไปครู่ใหญ่
ตอนจี้หลางหวาถูกเชิญมาหาไป๋ชิงเหยียนที่เรือนชิงฮุย ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งฝึกซ้อมหอกเงินเสร็จ
เมื่อเห็นจี้หลางหวาเดินเข้ามา ไป๋ชิงเหยียนปักหอกเก็บที่เดิม ใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นเชิญจี้หลางหวานั่งลง
จี้หลางหวาทำความเคารพพลางกล่าวขึ้น “เสี่ยวไป๋ไซว่ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอกเจ้าค่ะ จี้หลางหวาหวังว่าเสี่ยวไป๋ไซว่จะช่วยพาญาติผู้พี่ของข้าไปจากสถานที่วุ่นวายแห่งนี้ จี้หลางหวารับมือกับฮ่องเต้คนเดียวก็พอเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนเห็นความดื้นรั้นของจี้หลางหวา หญิงสาวปลดถุงทรายออกจากแขน วางลงบนโต๊ะหิน นั่งลง “สังหารฮ่องเต้ องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ ไม่เห็นว่าเขาจะดีกว่าฮ่องเต้เท่าใดนัก”
ชุนเถารินน้ำชาให้ไป๋ชิงเหยียนและจี้หลางหวา
ไป๋ชิงเหยียนยกชาขึ้นจิบ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บัดนี้แก้ปัญหาของซีเหลียงได้แล้ว ทว่า กับมีปัญหากับต้าเหลียงต่อ หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ลงตอนนี้แล้วองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ต่ออย่างราบรื่นก็ดีไป ทว่าหากไม่ได้ ต้าจิ้นวุ่นวายเหมือนซีเหลียงในทันที ซีเหลียงย่อมถือโอกาสนี้โจมตีต้าจิ้น บัดนี้ต้าจิ้นไม่อาจรับมือกับการถูกโจมตีจากทั้งสองแคว้นได้ ผู้ที่ลำบากคือชาวบ้านแถบชายแดน ไม่ใช่ราชสำนัก การที่เจ้าสังหารฮ่องเต้ไม่ใช่การทำเพื่อบ้านเมือง แต่เป็นการสร้างหายนะ”