สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 503 สมใจปรารถนา
ตอนที่ 503 สมใจปรารถนา
เดิมทีชุยซื่อไม่ควรเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ไป๋ชิงเหยียนซึ่งยังไม่ได้ออกเรือนฟัง ทว่า คงเป็นเพราะไป๋ชิงเหยียนโตกว่านาง อีกทั้งยังเป็นญาติผู้พี่ ชุยซื่อจึงยอมเล่าให้ฟัง
“ท่านย่าและท่านแม่ไม่เคยเร่งรัดข้าเจ้าค่ะ ทว่า ข้าได้ยินว่าน้องจิ่นซิ่วแต่งเข้าจวนฉินก็ตั้งครรภ์ทันที ข้าจึงร้อนใจเจ้าค่ะ!” ชุยซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ไม่ได้เล่ารายละเอียดที่ลึกกว่านี้ให้ไป๋ชิงเหยียนฟัง
ไป๋จิ่นซิ่วแต่งงานกับฉินหล่าง ทว่า วันกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดากลับถูกหามกลับจวนไป๋ จากนั้นก็ตั้งครรภ์ นางและต่งฉางหลานเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันดี อย่าว่าแต่อนุเลย ต่งฉางหลานไม่มีแม้แต่เมียบ่าว ชายหนุ่มอยู่กับนางทุกวัน ทว่า นางกลับไม่ตั้งครรภ์เสียที จะไม่ให้นางเป็นกังวลได้อย่างไรกัน
“ชุนเถา ไปตามแม่นางจี้มาตรวจชีพจรให้เสี่ยวซื่อที” ไป๋ชิงเหยียนสั่งชุนเถาที่ยืนอยู่หน้าประตู
ชุยซื่อรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนใช้คุณหนูสี่มาช่วยบังหน้าให้นาง นางจึงรู้สึกซาบซึ้งมาก “ขอบพระคุณพี่หญิงมากเจ้าค่ะ”
ระหว่างรอจี้หลางหวามา ชุยซื่อเล่าให้ไป๋ชิงเหยียนฟังว่าต่งฉางหลานเคยเอ่ยถึงเรื่องเบี้ยเลี้ยงและเสบียงอาหารของทหารในกองทัพเติงโจวให้นางฟัง “ข้ามีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้เพิ่งเคยได้ยินว่าสามารถติดค้างเบี้ยเลี้ยงของทหารไว้ก่อนได้ พวกเขากล่าวว่าคลังเสบียงเสียหายอย่างหนักจากสงครามหนานเจียงและเป่ยเจียง อีกทั้งฮ่องเต้ทรงอยากบูรณะพระราชวังที่เมืองไป๋ว่อ พี่หญิงลองคิดดูสิเจ้าคะว่าการบูรณะวังสำคัญหรือปากท้องของทหารสำคัญกว่ากันแน่เจ้าคะ ท่านพ่อโมโหเรื่องนี้จนทำลายเครื่องชาที่จวนเสียหายไปหลายชุดแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนยังไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการบูรณะพระราชวังที่เมืองไป๋ว่อขึ้นมาใหม่ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้ไม่ยอมจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเสบียงอาหารให้กองทัพเติงโจว
“ฮ่องเต้และคนในราชสำนักคงคิดว่าสงครามที่หนานเจียงและเป่ยเจียงยุติลงแล้ว ส่วนทหารที่เติงโจวมีไว้เพื่อป้องกันกองทัพของหรงตี๋ บัดนี้ภายในของหรงตี๋กำลังวุ่นวาย กองทัพเติงโจวคงไม่มีความสำคัญแล้วกระมัง!” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนแฝงไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ
“เจ้าค่ะ ใต้เท้าหนิงผู้ควบคุมเสบียงของเมืองเติงโจวก็กล่าวเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ กล่าวว่าบัดนี้เป่ยหรงและหนานหรงกำลังวุ่นวาย ไม่มีทางหันมาก่อกวนต้าจิ้นได้แน่ ดังนั้นราชสำนักจึงต้องการนำเงินไปใช้บูรณะพระราชวังก่อนเจ้าค่ะ” ชุยซื่อขมวดคิ้วแน่น
“หรงตี๋เป็นแคว้นของคนอพยพเร่ร่อน เพราะปีนี้ภายในของหรงตี๋วุ่นวาย เสบียงอาหารสำหรับฤดูหนาวต้องขลาดแคลนอย่างหนักแน่นอน” ไป๋ชิงเหยียนขมวดคิ้วยุ่ง จ้องไปที่แสงไฟในตะเกียงแก้ว “เมื่อฤดูหนาวของปีนี้มาเยือน ผู้คนคงออกมาปล้นชิงเสบียงอาหารอย่างไม่คิดชีวิต ชาวบ้านแถบชายแดนคงเดือดร้อนแน่!”
ชุยซื่อคิดไม่ถึงว่าไป๋ชิงเหยียนจะกล่าวถ้อยคำที่คล้ายคลึงกับต่งชิงเยว่ พ่อสามีของนางเช่นนี้ หญิงสาวรีบพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ท่านพ่อก็กล่าวเช่นนี้เช่นกัน ดังนั้นท่านจึงถวายฎีกาขึ้นไปสามฉบับแล้ว ทว่า เหมือนโยนก้อนหินหนักอึ้งลงไปในน้ำ ไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางชุยซื่อ “ท่านน้าชายควักเงินตัวเองจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ทหารใช่หรือไม่”
ชุยซื่อพยักหน้า “ทว่า ไม่มีทางพอหรอกเจ้าค่ะ”
เป็นดั่งที่คาดไว้จริงๆ
ไม่ใช่ว่าราชสำนักจะขลาดแคลนขุนนางที่มองการณ์ไกล ทว่า บัดนี้เหตุการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ขุนนางที่รู้จักประจบสอพลอ เอนอ่อนไปตามอำนาจล้วนเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โต ส่วนขุนนางที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมากลับถูกโยกย้ายให้ไปอยู่ตามชายแดน โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านปู่ไป๋เวยถิงของนางเสียชีวิตลง ขุนนางที่กล้าโต้เถียงเพื่อความถูกต้องยิ่งน้อยลงทุกที เพราะตระกูลขุนนางที่รุ่งเรืองมานับร้อยปีอย่างตระกูลไป๋ยังพบกับจุดจบเช่นนี้ พวกเขาจะกล้าได้อย่างไรกัน
ราชสำนักในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทหรือบรรดาขุนนางล้วนทำตามใจของฮ่องเต้ทั้งสิ้น
หากลำตัวไม่งอ เงาก็ไม่มีทางเอนเอียง
ฮ่องเต้เป็นคนเช่นนี้ ลูกน้องจะดีไปกว่ากันได้อย่างไร
ชาติที่แล้วไป๋ชิงเหยียนติดตามรับใช้เหลียงอ๋อง จนถึงจุดจบของชีวิตหญิงสาวถึงได้รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้เกลียดชังตระกูลไป๋เข้ากระดูกดำเช่นนี้
ฮ่องเต้ถูกดูถูกเหยียดหยามตั้งแต่เล็ก เมื่อมีอำนาจจึงชอบให้ทุกคนสรรเสริญและตามใจเขา ขุนนางที่ตรงไปตรงมา หยิ่งในศักดิ์ศรี มีอำนาจทหารอยู่ในมือและกล่าวตักเตือนฮ่องเต้ได้ตลอดเวลาโดยไม่หวาดกลัวอย่างไป๋เวยถิงท่านปู่ของนาง ฮ่องเต้อาจทนรับฟังการตักเตือนจากเขาได้ชั่วขณะ
ทว่า เมื่อเขามีอำนาจในมือมากเพียงพอ รอบกายมีแต่ขุนนางที่ประจบสอพลอ ไป๋เวยถิงท่านปู่ของนางจึงกลายเป็นหอกข้างแคร่ของเขาทันที
ไม่นาน จี้หลางหวาซึ่งใช้ผ้าผืนบางคลุมใบหน้าไว้ก็เดินมาถึงเรือนปัวอวิ๋นพร้อมกับชุนเถา
เมื่อจี้หลางหวาตรวจชีพจรให้ไป๋จิ่นจื้อเสร็จจึงหันไปกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ คุณหนูสี่แค่เหนื่อยจนหลับไปเท่านั้น หรือคุณหนูใหญ่มีเรื่องอันใด ต้องการให้ข้าช่วยปลุกคุณหนูสี่ให้ตื่นขึ้นมาเจ้าคะ”
“เสี่ยวซื่อเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ที่ตามแม่นางจี้มาตรวจก็เพื่อความสบายใจเท่านั้น” สายตาของไป๋ชิงเหยียนหยุดอยู่ที่ชุยซื่อซึ่งกำลังขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นด้วยความประหม่า จากนั้นกล่าวกับจี้หลางหวา “ผู้นี้คือญาติผู้น้องของข้า แม่นางจี้ช่วยตรวจชีพจรให้นางทีว่านางเป็นคนยากต่อการมีบุตรหรือไม่”
จี้หลางหวาเป็นคนหัวเร็ว เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้ อีกทั้งในห้องไม่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติ แม้แต่ชุนเถาก็ถูกกันออกไปจึงรับรู้ทันทีว่าคุณหนูใหญ่ใช้คุณหนูสี่มาเป็นข้ออ้างบังหน้าเชิญนางมาตรวจชีพจรให้ญาติผู้น้องของหญิงสาวเท่านั้น
“หลางหวาจะลองดูเจ้าค่ะ” จี้หลางหวาทำความเคารพชุยซื่อ
ใบหูของชุยซื่อแดงก่ำ นั่งลงที่เก้าอี้กลมนอกฉากกั้น มองดูจี้หลางหวาจับชีพจรให้นางนิ่งๆ รู้สึกตื่นเต้นจนเหงื่อซึมไปทั้งร่าง
เมื่อเห็นจี้หลางหวาขมวดคิ้ว ใจของชุยซื่อกระตุกวูบ “แม่นางจี้ มีสิ่งใดผิดปกติหรือเจ้าคะ”
“ฮูหยินเคยใช้เครื่องหอมที่มีส่วนผสมของชะมดเป็นเวลานานติดต่อกันหรือไม่เจ้าคะ” จี้หลางหวาถามเสียงอ่อนโยน
ชุยซื่อพยักหน้า ใบหน้าซีดเผือด
เมื่อจี้หลางหวาเห็นท่าทีของชุยซื่อไม่เหมือนคนที่จะไม่รู้ว่าการดมกลิ่นของชะมดนานๆ สามารถทำให้คนมีบุตรได้ยาก หญิงสาวจึงรู้ได้ทันทีว่าคงเป็นกลอุบายของสตรีในเรือนหลังจึงไม่ถามสิ่งใดต่อ
“แม่นางจี้ ชีวิตนี้ข้าจะมีบุตรได้หรือไม่” ชุยซื่อถามเสียงสะอื้น น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย
“ต่งฮูหยินกล่าวเกินไปเจ้าค่ะ ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ” จี้หลางหวาเก็บหมอนตรวจชีพจรเข้าที่ จากนั้นเขียนสูตรยาให้ชุยซื่อ “ไม่ตั้งครรภ์ตอนนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับต่งฮูหยินเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นหากตั้งครรภ์ตอนที่ร่างกายยังไม่พร้อม อาจส่งผลเสียต่อเด็กในครรภ์ได้เจ้าค่ะ! ข้าเขียนสูตรยาขจัดพิษในร่างกายและยาบำรุงให้ฮูหยินแล้ว ขอเพียงฮูหยินทานติดต่อกันสักสองสามเดือน ย่อมได้สมใจปรารถนาแน่เจ้าค่ะ!”
ชุยซื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจึงส่อแววดีใจขึ้น จากนั้นก็มีท่าทีเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “จริงหรือ! ข้าว่าแล้วว่าต้องมีผลกระทบ ทว่า บรรดาหมอเหล่านั้นกลับบอกว่าข้าแข็งแรงดี”
เรื่องที่เกิดเมื่อครั้งเยาว์วัยเป็นหนามแทงใจของชุยซื่อ แต่งงานได้ปีกว่า ทว่า หมอกลับบอกว่าร่างกายของนางปกติ ชุยซื่อจึงเป็นกังวล
เมื่อครู่นางยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด จี้หลางหวากลับตรวจพบว่านางเคยใช้เครื่องหอมที่มีส่วนผสมของชะมดเป็นเวลานาน แค่เพียงเรื่องนี้ชุยซื่อก็เชื่อฝีมือของนางจนหมดใจ
“ขอบพระคุณแม่นางจี้มากเจ้าค่ะ!” ชุยซื่อหันไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา “ขอบพระคุณพี่หญิงเจ้าค่ะ!”
ชุยซื่อรับสูตรยาและสูตรอาหารบำรุงมา จากนั้นลุกขึ้นยืนอำลา ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับจี้หลางหวา “ข้าจะไปส่งญาติผู้น้อง รบกวนแม่นางจี้ช่วยดูแลเสี่ยวซื่อให้ข้าสักพัก”