สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 62 รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ตอนที่ 62 รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
องค์หญิงใหญ่เดินออกมาจากห้องพร้อมกับบรรดาลูกสะใภ้ที่รายล้อมแล้วก็ต้องตะลึงไปกับโคมไฟที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
คุณหนูห้าและคุณหนูหกที่อายุยังน้อยยืนเบียดองค์หญิงใหญ่ ชี้ไปบนท้องฟ้าพลางเอ่ยถาม
“ท่านย่า นั่นคือสิ่งใดกันเจ้าคะ!”
“เรียนองค์หญิงใหญ่ คุณหนูห้า!” หญิงชราในเรือนเอ่ยตอบยิ้มๆ
“นั่นคือโคมไฟที่ชาวบ้านทำขึ้นเพื่อขอพรให้แก่กองทัพไป๋เจ้าค่ะ”
ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจขององค์หญิงใหญ่ ท่านกล่าวอย่างยากลำบาก
“ชาวบ้านในเมืองหลวงยังไม่ลืมของทัพไป๋ของเราสินะ…”
ไป๋ชิงเหยียนและน้องสาวทั้งสามเห็นองค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ตรงระเบียงจึงพากันย่อกายทำความเคารพ จากนั้นยืนมองโคมไฟบนท้องฟ้าไปพร้อมกับองค์หญิงใหญ่
จนกระทั่งโคมไฟลอยหายไป ไป๋ชิงเหยียนกำลังจะประคององค์หญิงใหญ่กลับเข้าห้อง หลูผิงเดินตามหลังหญิงชราเฝ้าประตูเรือนเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน
เมื่อเห็นว่าเจ้านายอยู่กันครบ หลูผิงจึงก้าวเข้าไปทำความเคารพ “องค์หญิงใหญ่ ฮูหยินและคุณหนูทุกท่าน ข่าวมาถึงแล้วขอรับ ประตูเมืองทิศใต้เปิดออก ผู้ส่งสารถือธงกลับด้านขี่ม้าเร็วตรงไปยังวังหลวงแล้วขอรับ!”
ธงกลับด้านคือรายงานของกองทัพ หากเข้าทางประตูเมืองทิศใต้…หมายถึงข่าวจากหนานเจียง
เข้าเมืองแล้วไม่ประกาศแต่กลับตรงไปยังวังหลวง เป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนชาวาบไปทั้งร่าง จวนเจิ้นกั๋วกงล้วนเคร่งเครียดไปตามๆ กัน
สิ่งใดจะเกิดมันก็ต้องเกิด
หญิงสาวกุมมือองค์หญิงใหญ่แน่น หันไปมองร่างที่แข็งทื่อของท่านพลางกล่าวขึ้น “ท่านย่า อยู่ที่ท่านย่า ท่านแม่และบรรดาท่านป้าสะใภ้แล้วเจ้าค่ะ…”
สิ้นคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน น้ำตาของบรรดาท่านป้าสะใภ้ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ท่านป้าสะใภ้ห้าซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นขาอ่อนแรง
องค์หญิงใหญ่หายใจติดขัดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงสงบลง นางกำไม้เท้าหัวพยัคฆ์แน่น ยืดกายตรง “สิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด ไปเถิด! พวกเราไปรอฟังข่าวที่หน้าจวนกัน!”
บริเวณหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงรายล้อมไปด้วยชาวบ้านที่ถือโคมไฟ ยืนกางร่มมากมาย พวกเขาได้ยินว่าผู้ส่งสารของกองทัพชูธงกลับด้านขี่ม้ามุ่งตรงไปยังวังหลวงโดยไม่ประกาศข่าว ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อรอฟังข่าวจากทางวังหลวง ทุกคนกระซิบกระซาบวิจารณ์กันไปต่างต่างนานา
“ลุงสอง! อากาศหนาวเช่นนี้ท่านมาทำอันใด…”
“ได้ยินว่าข่าวจากกองทัพส่งมาแล้ว แต่ข้าไม่ได้ยินผู้ส่งสารป่าวประกาศจึงรีบมารอฟังข่าวที่จวนเจิ้นกั๋วกง แล้วเจ้าเล่า”
“ข้าก็ได้ยินว่าผู้ส่งสารมุ่งตรงไปยังวังหลวงเลย เกรงว่าจะเป็นข่าวร้ายจึงมารอฟังอยู่ที่นี่!”
“บังเอิญจริง! ข้าก็ได้ยินเลยมารอที่นี่เช่นกัน ผู้ส่งสารมาถึงเมืองหลวงแต่กลับไม่รายงาน จะเป็นเรื่องร้ายหรือไม่นะ หวังว่าสวรรค์จะเมตตา อย่าให้ท่านกั๋วกงและบุรุษตระกูลไป๋เป็นอันใดไปเลย!”
ทันใดนั้น ประตูไม้เคลือบสีแดงซึ่งประดับด้วยโคมไฟมากมายค่อยๆ เปิดออก ปรากฏร่างขององค์หญิงใหญ่และบรรดาสตรีของตระกูลไป๋ที่ออกมายืนรอฟังข่าวด้วยตัวเองท่ามกลางบรรดาบ่าวรับใช้ที่รายล้อม
“นั่น จวนเจิ้นกั๋วกงเปิดประตูแล้ว!”
“จวนเจิ้นกั๋วกงคงออกมารอฟังข่าวเหมือนกันกระมัง”
“ไม้เท้าหัวพยัคฆ์! นั่นองค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ”
ชาวบ้านรีบคุกเข่าก้มศีรษะคำนับแนบพื้น “องค์หญิงใหญ่…”
เมื่อองค์หญิงใหญ่นึกถึงโคมไฟที่เต็มท้องฟ้าเมื่อครู่ก็รู้สึกปวดใจ ยื่นไม้เท้าหัวพยัคฆ์ส่งให้เจี่ยงหมัวมัว นำสตรีตระกูลไป๋คาราวะชาวบ้าน
เมื่อยืดกายขึ้น ไป๋ชิงเหยียนมองเห็นเฉินชิ่งเซิงยืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้าน พยักหน้าให้นางสื่อว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ
“พ่อบ้านเหา!” ต่งซื่อหันไปสั่งพ่อบ้านเหา “สั่งให้โรงครัวเตรียมซุปเนื้อร้อนๆ แจกจ่ายให้ทุกคน! ไม่รู้ว่าข่าวจากวังหลวงจะส่งมาเมื่อใด ทุกคนมาอยู่เป็นเพื่อนเราในวันสิ้นปีเช่นนี้ อย่าให้ทุกคนหนาวจนจับไข้เชียว”
“ขอรับฮูหยิน!” พ่อบ้านเหารีบกลับไปในจวน สั่งให้คนเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย
ไม่นานนักก็เห็นม้าสองตัววิ่งมายังจวนเจิ้นกั๋วกง ทุกคนต่างเตรียมใจรอฟัง ทว่า ผู้ที่ลงมาจากม้าคือท่านน้าชายทั้งสองของไป๋ชิงเหยียน ต่งชิงผิงและต่งชิงเยว่
ต่งชิงผิงยื่นเชือกม้าให้บ่าวของจวนเจิ้นกั๋วกง มองดูชาวบ้านที่รายล้อมอยู่เต็มประตูแวบหนึ่ง ต่งชิงผิงและต่งชิงเยว่ก้าวขึ้นไปยังบันไดของจวนเจิ้นกั๋วกง ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่
“ท่านพี่ ชิงเยว่ พวกท่านมาได้อย่างใดกัน!” ต่งซื่อดวงตาแดงก่ำ
“เพิ่งทราบข่าวเมื่อครู่ว่าผู้ส่งสารเข้ามาทางประเมืองทิศใต้แต่กลับตรงไปยังวังหลวงโดยไม่รายงานก่อน ท่านแม่ไม่สบายใจเลยให้พี่กับน้องชายมาดู” ต่งชิงผิงกำแส้ไว้ในมืออยู่ตลอดเวลาขณะกล่าวขึ้น
ไป๋ชิงเหยียนตื้นตันใจยิ่งนัก ย่อกายคาราวะท่านน้าชายทั้งสองอย่างเคารพ
ต่งชิงผิงยิ้มให้ไป๋ชิงเหยียน ยืนรอฟังข่าวเป็นเพื่อนสตรีตระกูลไป๋อยู่ด้านข้าง
ต่งชิงเยว่เดินไปหยุดอยู่หน้าไป๋ชิงเหยียน ยกมือลูบไปบนศีรษะของหลานสาวอย่างแผ่วเบา
“อย่ากังวลไป ท่านพ่อกับน้องชายของเจ้ามิเป็นอันใดหรอก!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า
ไม่นานนักฉินหล่างก็ขี่ม้ามาเช่นกัน ชายหนุ่มทำความเคารพองค์หญิงใหญ่อย่างนอบน้อม จากนั้นเดินเข้าไปหาไป๋จิ่นซิ่วพลางประคองนางเอาไว้ มองเห็นดวงตาที่แดงก่ำของไป๋จิ่นซิ่ว ฉินหล่างเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
คืนวันสิ้นปี ถนนที่ประดับประดาไปด้วยไฟสีแดงไม่ควรมีผู้คนอยู่ ทุกคนควรจะอยู่ฉลองคืนข้ามปีกับคนในครอบครัว
แต่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง กลับมีชาวบ้านที่ทราบข่าวและบรรดาคุณชายสูงศักดิ์ที่มาสืบข่าวให้ทางบ้านทยอยกันมาอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง เมื่อซื่อจื่อแห่งจวนติ้งหย่งโหวมาถึงหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง เขานึกไม่ถึงเลยว่าที่หน้าจวนจะมีผู้คนยืนออกันมากขนาดนี้…
ครู่หนึ่ง บุตรชายคนที่สามของหมิงต๋าป๋อก็มาถึงเช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนมองดูบรรดาซื่อจื่อที่ฝ่าหิมะมายังจวน มองดูชาวบ้านที่ยืนรอฟังข่าวเป็นเพื่อนพวกนางท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก นางทราบดี…ที่พึ่งพาของตระกูลไป๋ และอำนาจที่ใช้ต่อต้านฮ่องเต้…มากันหมดแล้ว
บริเวณชั้นสองของหอเทียนเซียง เซียวหรงเหยี่ยนยืนเอามือไขว้หลังมองผ่านหน้าต่างไปที่ถนนซึ่งทอดยาวไปยังจวนเจิ้นกั๋วกงท่ามกลางแสงไฟ ด้านล่างมีชาวบ้านถือโคมไฟทยอยกันเดินผ่านไป บ้างก็มีคนขี่ม้ามุ่งตรงไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง
มือของชายหนุ่มลูบไปที่หยกจักจั่น สีหน้าเคร่งขรึม
เซียวหรงเหยี่ยนไม่เคยเชื่อเรื่องการได้ใจชาวบ้าน การรวมใจกันเป็นหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมีคนคอยจัดฉากจงใจให้เป็นเช่นนี้ ตระกูลไป๋จะได้ใจชาวบ้านจนรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างใด สถานการณ์ซื้อใจชาวบ้านของตระกูลไป๋ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นั้น
ตั้งแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนโน้มน้าวให้ฉินหล่างสละตำแหน่งซื่อจื่อ เซียวหรงเหยี่ยนก็รู้ในทันทีว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นี้เหมาะจะเป็นผู้ทำการใหญ่
ทว่า ช่างน่าเสียดาย ผู้นำทั้งหมดของตระกูลไป๋…ถูกองค์ชายผู้โง่งม และฮ่องเต้ผู้ไร้ความสามารถฆ่าตายอยู่ที่หนานเจียงแล้ว หากแคว้นต้าเยี่ยนของเขามีขุนนางที่กล้าหาญ และจงรักภักดีอยู่ทุกชั่วรุ่นอย่างตระกูลไป๋ เหตุใดจะไม่เจริญรุ่งเรืองเล่า ช่างน่าเสียดายจริงๆ…
“นายท่าน ข้าไร้ความสามารถ ครบกำหนดเส้นตายที่นายท่านให้ไว้แล้ว แต่ข้ากลับสืบได้เพียงแค่คร่าวๆ เท่านั้น”
สิ้นเสียง เซียวหรงเหยี่ยนไม่ได้หันกลับไปมอง “ว่ามา…”
“ขอทานที่นำจดหมายมามอบให้พ่อบ้านกล่าวว่าไม่รู้จักผู้ที่นำจดหมายมาให้เขา แต่เขาเคยเห็นผู้ดูแลหอหม่านเจียงกล่าวทักทายคนผู้นั้นอยู่ไกลๆ ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ข้าเคยไปสอบถามจากผู้ดูแลหอหม่านเจียง แต่ผู้ดูแลนั่นสายตาลอกแลกกล่าวว่าไม่รู้จักคนที่ข้าถามถึง ต่อมาข้าสั่งให้คนเฝ้าหอหม่านเจียงเอาไว้ ตอนบ่ายวันนี้ผู้ดูแลหอหม่านเจียงเอ่ยถึงเรื่องนี้กับคนผู้หนึ่งอย่างลับๆ ล่อๆ ว่าให้ระมัดระวังให้มากขึ้น ข้าจึงไปสอบถามจากเด็กรับใช้ในหอ เด็กรับใช้กล่าวว่าคนผู้นั้นคือคนของจวนเจิ้นกั๋วกงขอรับ แต่ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นผู้ดูแลจวนหรือไม่ รู้เพียงว่าเขาทำงานรับใช้คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ขอรับ!”