สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 68 สู้จนตัวตาย
ตอนที่ 68 สู้จนตัวตาย
ไป๋จิ่นจื้อดวงตาแดงก่ำจับแส้ที่เอวด้านหลังไว้แน่น เดือดดาลเป็นอย่างมาก อยากใช้แส้ฟาดพวกโง่เขลาที่มาอาละวาดหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงให้ตายไปให้หมด
เห็นว่าชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกต่างห้อมล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงไว้อย่างหนาแน่ ไป๋จิ่นซิ่วซึ่งยืนอยู่ข้างกายไป๋จิ่นจื้อใจเต้นรัว
“มิได้นะน้องสี่!” ไป๋จิ่นซิ่วรีบจับมือที่เตรียมจะตวัดแส้ของไป๋จิ่นจื้อ
“คนพวกนี้มาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเพราะมีเจตนาร้าย เจ้าห้ามวู่วามเป็นอันขาด!”
“ตระกูลไป๋ของพวกเจ้าไม่มีคนขี้ขลาด ตระกูลไป๋ของพวกเจ้ามิเคยพ่ายแพ้ แต่ชัยชนะที่พวกเจ้าได้มาเป็นชัยชนะที่ลูกชายของชาวบ้านอย่างพวกข้า…แลกมาด้วยชีวิต!”
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งร้องไห้ฟูมฟาย
“ความสำเร็จของแม่ทัพแลกมาด้วยชีวิตของทหารนับหมื่น! แค่แม่ทัพออกคำสั่ง ลูกชายของพวกเราก็ต้องบุกน้ำลุยไฟไปออกรบ คนที่ตายมิใช่พวกเจ้า พวกเจ้าจะไปเสียใจอันใดกัน เจิ้นกั๋วกงอยากได้ความดีความชอบขอแค่ได้มีชื่ออยู่ในจารึกอยู่ในบันทึก พวกเจ้าก็พร้อมใช้ชีวิตลูกชายของพวกเราสร้างผลงานให้แก่พวกเจ้า!”
“เจ้าลองกล่าวเหลวไหลอีกสิ!” ไป๋จิ่นจื้อสะบัดไป๋จิ่นซิ่วออกอย่างแรง ง้างแส้ฟาดไปทางสตรีวัยกลางคน วาจาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เจ้าสิสมควรตาย วันนี้ข้าจะฟาดเจ้าให้ตายไปเลย!”
“ไป๋จิ่นจื้อ” ไป๋จิ่นซิ่วรั้งตัวไป๋จิ่นจื้อไว้สุดกำลัง บาดแผลบริเวณศีรษะเปิดออก เลือดสดไหลออกมาตามหน้าผาก
“ท่านเป็นคนอ่อนแอยอมให้ผู้อื่นรังแก แต่ข้ามิใช่!” ไป๋จิ่นจื้อตะคอกใส่ไป๋จิ่นซิ่วด้วยดวงตาที่แดงฉาน ผลักไป๋จิ่นซิ่วออกอย่างโมโห
เสียงตวัดแส้ในอากาศทำให้สตรีวัยกลางคนกรีดร้องออกมา
“เสี่ยวซื่ออย่านะ!” เดิมทีไป๋จิ่นซิ่วได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว พอถูกไป๋จิ่นจื้อผลักไปชนกำแพงก็ยิ่งปวดศีรษะมากยิ่งขึ้น
ชิงซูร้อนใจเป็นอย่างมาก “คุณหนูสี่ทำร้ายคุณหนูรองได้อย่างใดเจ้าคะ! คุณหนูรอง…เป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนเร่งฝีเท้าถลกชายกระโปรงยกสูงเดินลงบันได เห็นภาพไป๋จิ่นจื้อกำลังฟาดแส้ใส่สตรีวัยกลางคนอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยดวงตาที่วาวโรจน์
“ไป๋จิ่นจื้อหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ไป๋ชิงเหยียนใบหน้าขาวซีดหันไปสั่งหลูผิง “ลุงผิง หยุดคุณหนูสี่ให้ข้าที!”
หลูผิงได้รับคำสั่งจึงรีบเดินไปด้านหน้า โดนแส้ฟาดไปทีหนึ่งจึงหยุดไป๋จิ่นจื้อที่กำลังโมโหเอาไว้ได้ ไป๋จิ่นจื้อตวาดราวกับคนบ้าคลั่ง พยายามสะบัดตัวออกจากการจับกุมของหลูผิง ท่าทางราวกับพร้อมจะตายไปพร้อมกับกลุ่มคนชั่วช้าที่มาอาละวาดอยู่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง
ไป๋จิ่นถงที่เดินตามออกมาทีหลังเห็นท่าทีราวคนบ้าของไป๋จิ่นจื้อจึงหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะซึ่งวางไว้จนเย็น ก้าวลงบันไดจวนอย่างรวดเร็ว สาดน้ำในกาไปที่ไป๋จิ่นจื้อเพื่อเรียกสติ
น้ำเย็นดับโทสะของไป๋จิ่นจื้อ นางได้สติทรวงอกสั่นไหวอย่างรุนแรง มองไปยังไป๋จิ่นถงที่ใบหน้าขาวซีดอย่างอึกอัก จากนั้นกวาดสายตามองไปที่ไป๋ชิงเหยียนซึ่งยืนทำหน้าเครียดอยู่บนบันได “พี่…พี่หญิงใหญ่”
“โธ่สวรรค์ ท่านลองมองลงมาสิ ท่านกั๋วกงทำให้ลูกชายข้าต้องตายเพราะอยากได้จวินกง บัดนี้คุณหนูแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงก็กำลังจะฆ่าข้าให้ตายเช่นกัน!”
“เจ้ากล่าวเหลวไหล ข้าจะฉีกปากเจ้า!” ไป๋จิ่นจื้อเริ่มเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง สะบัดกายอยากจะพุ่งไปด้านหน้า
ไป๋ชิงเหยียนสวมชุดไว้อาลัยสีขาวยืนอยู่บนบันไดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายยืดตรงอย่างทระนง เอ่ยถาม
“ข้าขอถามฮูหยินผู้นี้สักหน่อย บัดนี้ยังไม่มีบันทึกจากขุนนางผู้ติดตามไปจดบันทึกเหตุการณ์ในกองทัพและซิ่นอ๋องส่งกลับมาจากข่าวที่ส่งกลับมาในตอนนี้ พวกข้ายังรู้แค่ว่ากองทัพของข้าพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุง และบรรดาน้องชายล้วนเสียชีวิตลงหมดแล้ว แต่ยังมิมีรายงานสรุปจำนวนทหารที่เสียชีวิต เหตุใดพวกท่านจึงมั่นใจนักว่าลูกชายของพวกท่านเสียชีวิตแล้ว”
สตรีที่โดนแส้ฟาดจนตัวลายเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงยืดคอฝืนเถียง
“ขนาดเจิ้นกั๋วกงยังตาย ลูกข้าจะรอดได้อย่างใดกัน!”
“เช่นนั้นท่านก็เดาไปเองว่าลูกชายของท่านเสียชีวิตแล้วใช่หรือไม่ ข้าติดตามกองทัพไปออกรบตั้งแต่เด็ก เคยติดตามท่านลุงไปมอบเงินชดใช้ให้แก่ครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต แต่ข้าไม่เคยเห็นพ่อแม่ของทหารคนใด…ไม่ภาวนาให้ลูกชายของตนเองมีชีวิตรอด แต่กลับมาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง เอาแต่กล่าวหาว่าลูกชายของตนเองเสียชีวิตแล้วทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานเช่นนี้เลย”
สตรีวัยกลางคนนั่งหดกายท่ามกลางสายตาจดจ้องของทุกคน นางทำได้เพียงอ้างไปเรื่อย
“ข้า…ข้าแค่ใจร้อนเกินไป ข้าสงสารลูกชายของข้า! หากเจ้าตายไปแล้วแม่จะทำเช่นใด! เจ้าบอกว่าจะเข้าร่วมกองทัพเพื่อยศถาบรรดาศักดิ์…แต่เจ้ายังไม่ทันได้ยศใดๆ กลับต้องกลายเป็นศพให้แม่ทัพจวนเจิ้นกั๋วกงเหยียบย่ำเพื่อสร้างผลงานเพื่อจารึกชื่อในบันทึกเช่นนี้!”
“เจ้าร้อนใจที่ใดกัน เจ้าจงใจมาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงต่างหาก!” ไป๋จิ่นจื้อตวาดเสียงแหลม
“ข่าวการตายของบุรุษตระกูลไป๋ส่งกลับมาเมื่อคืน แม้ขันทีผู้มาส่งสารจะบอกว่าอีกไม่กี่วันซิ่นอ๋องจะทรงนำศพกลับมาด้วยพระองค์เอง แต่ตระกูลไป๋ของเรายังแอบหวังอยู่เลยว่าข่าวจะมีการผิดพลาด ส่วนเจ้า…ข่าวยังไม่ทันมาถึง แต่เจ้ากลับมาอาละวาดที่หน้าจวน กล่าวหาว่าท่านปู่ของข้าทำให้ลูกชายของเจ้าต้องตาย เจ้ายังมีความเป็นแม่อยู่หรือไม่ หากเจ้ายังกล่าวไร้สาระอีก ข้าจะฟาดเจ้าให้ตายเลย!”
สตรีวัยกลางคนที่เดิมทีไร้เรี่ยวแรงลงแล้ว จับประโยคสุดท้ายของไป๋จิ่นจื้อได้ เสียงกรีดร้อง ร้องไห้ดังกว่าไป๋จิ่นจื้อไม่รู้ตั้งกี่เท่า
“สวรรค์จงดูเถิด! เจิ้นกั๋วกงทำให้ลูกชายของข้าต้องตาย บัดนี้คุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกงยังจะฟาดข้าให้ตายอีก! ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นใดกัน ไม่มีทางรอดแล้ว!”
“เจ้า…เจ้ามันหญิงชั่ว” ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อแดงก่ำ สะบัดกายอย่างแรงจนหลูผิงแทบจะจับไว้ไม่อยู่
“ท่านปู่ของข้าทำให้ลูกชายของท่านต้องตายอย่างนั้นหรือ!” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนเย็นเฉียบ โทสะซึ่งปะทุอยู่ภายในใจแผดเผาดวงตาสีดำสนิทของนางจนแดงฉาน
“ลูกชายของท่านถูกท่านปู่ของข้าใช้มีดจี้คอบังคับให้เข้าร่วมกองทัพหรืออย่างใดกัน! ออกรบในสงคราม สร้างผลงานเพื่อตำแหน่ง บุรุษเลือดร้อนคนใดมิอยากปกป้องเกียรติของบ้านเมืองบ้าง แต่ยศตำแหน่งมันได้มาเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ! อยากได้เกียรติยศ ความร่ำรวยมากเพียงใดก็ต้องเสี่ยงอันตรายมากเท่านั้น! อยากได้ยศตำแหน่งแต่ไม่อยากเสี่ยงอันตราย โลกนี้มีเรื่องดีแบบนั้นด้วยหรืออย่างใด!”
“ไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างตระกูลไป๋ก็แล้วกัน! ต่างกล่าวกันว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมีเกียรติยศมานับร้อยปี แต่เกียรติยศพวกนี้แลกมาด้วยชีวิตของบุรุษตระกูลไป๋ซึ่งจบลงในสนามรบ ป้ายบรรพชนนับร้อยในศาลบรรพชนของตระกูลไป๋ ป้ายใดบ้างที่ไม่ได้จบชีวิตลงในสนามรบ ผู้ที่จากไปอย่างสงบสุขของตระกูลไป๋มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
“เจ้าหาว่าตระกูลไป๋ชอบสร้างผลงานอย่างนั้นหรือ! หากตระกูลไป๋อยากได้ผลงาน…รัชศกเซวียนเจียปีที่สาม เหตุใดท่านปู่ของข้าจึงต้องถวายฎีกา ‘พิจารณาแต่งตั้งบรรดาศักดิ์’ ขอร้องให้ฮ่องเต้ทรงพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้แก่ทหารธรรมดาที่สร้างผลงานในสนามรบกันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าตระกูลไป๋มีความดีความชอบ เหตุใดต้องกล่าวให้มากความ เหตุใดท่านปู่ของข้าต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อสร้างผลงานด้วย!”
เห็นแววตาลอกแลกของสตรีวัยกลางคน ไป๋ชิงเหยียนกล่าวต่อเสียงเย็น
“ข้าเคยถามท่านปู่ว่าเหตุใดบุตรของขุนนางท่านอื่นรับตำแหน่งขุนนางอยู่ในเมืองหลวงที่รุ่งเรือง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย! แต่บุตรของตระกูลไป๋เมื่ออายุครบสิบปีกลับต้องออกรบ ออกไปเผชิญความลำบาก ฆ่าฟันศัตรู ท่านปู่กล่าวว่า เพราะต้องมีคนยอมเสี่ยงอันตรายอยู่ที่ด่านหน้า เพราะที่นั่นมีชาวบ้านนับหมื่นไร้ซึ่งคนคุ้มครอง เพราะไม่อาจใช้ชื่อเจิ้นกั๋วโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อันใดให้บ้านเมืองเลย คำว่าเจิ้นกั๋ว ควรจะหมายความว่า หากกำจัดผู้ที่มารุกรานแคว้นต้าจิ้นให้หมดไปไม่ได้ พวกเราพร้อมจะสู้จนตัวตาย!”
———————————————
[1] เจิ้นกั๋ว มีความหมายว่าทำให้บ้านเมือง ประเทศชาติสงบสุข