สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 711 ไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น
ตอนที่ 711 ไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อไป๋ฉีเหอกลับมาจากจวนไป๋ เขาเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องตำรา ไม่ว่าผู้ใดเรียกก็ไม่ยอมออกมา เขาไม่ไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงฉลองปีใหม่เล็กของครอบครัว อีกทั้งไม่ส่งคนไปบอกให้คนในครอบครัวรู้ ไม่สนสักนิดว่าทุกคนในครอบครัวกำลังรอเขาอยู่
ไป๋เวยเหมยบิดาของไป๋ฉีเหอนั่งหน้าเครียดอยู่บนโต๊ะอาหาร อาหารหลากหลายชนิดที่จัดวางอยู่ในจานสีทองเย็นชืดหมดแล้ว ทุกคนที่นั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะอาหารกลมไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
ไป๋ชิงผิงก้มหน้าปิดปากเงียบ
ฟางซื่อเอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อของไป๋ชิงผิง ทว่า ไป๋ชิงผิงชักแขนกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากบางเม้มแน่น
“ปู่ใช้เจ้าไม่ได้แล้วหรืออย่างไร” ไป๋เวยเหมยขบกรามแน่นพลางหันไปมองทางไป๋ชิงผิง
“หลานไม่กล้าขอรับ ทว่า ท่านปู่ยุยงให้คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไปสร้างความลำบากใจให้องค์หญิงเจิ้นกั๋ว หวังทำลายตระกูลไป๋ของพวกเรา ท่านพ่อเป็นประมุขของตระกูล ท่านพ่ออยู่ตรงกลางระหว่างพ่อแท้ๆ ของตัวเองกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ ท่านพ่อต้องคิดทบทวนเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดขอรับ”
“ตัดสินใจเด็ดขาดอย่างนั้นหรือ!” ไป๋เวยเหมยผุดลุกขึ้นยืน “ตัดสินใจเด็ดขาดอันใด!”
ผูหลิ่วที่ยืนอยู่ด้านหลังฟางซื่อรีบก้าวเข้าไปด้านหน้า “คุณชายคงเหนื่อยมากแล้ว บ่าวจะไปเชิญท่านประมุขมาให้เองเจ้าค่ะ”
ฟางซื่อหันไปมองผูหลิ่วอย่างขอบคุณ จากนั้นหันไปมองไป๋เวยเหมยที่ผุดลุกขึ้นยืนด้วยร่างที่สั่นเทาเพราะความโกรธ “สามีคงเหนื่อยจากงานพิธีไหว้บรรพบุรุษในวันนี้มากจึงมาสายเจ้าค่ะ ผูหลิ่วรีบไปตามสามีข้ามาเร็ว บอกเขาว่าท่านพ่อรู้ว่าวันนี้เขาเหนื่อยมากจึงสั่งให้ทุกคนรอทานอาหารเย็นพร้อมเขา”
“เจ้าค่ะ!” ผูหลิ่วทำความเคารพพลางหันไปส่งสัญญาณให้ไป๋ชิงผิง ไม่ให้ไป๋ชิงผิงยั่วโมโหไป๋เวยเหมยอีก จากนั้นเดินออกไปด้านนอก กางร่มไปตามไป๋ฉีเหอ
ไป๋เวยเหมยมองดูหลานชายที่เชิดคอแข็งด้วยความโมโห เมื่อนึกถึงบุตรชายที่ยืนอยู่คนละฝั่งกับเขา ไป๋เวยเหมยจึงชี้หน้าด่าไป๋ชิงผิง “เหมือนพ่อของเจ้าไม่มีผิด เจ้าคนอกตัญญู! ลุงใหญ่ของเจ้าไม่อยู่แล้ว เจ้าไม่คิดแก้แค้นให้ลุงใหญ่ของเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าศัตรูอยู่ในจวนไป๋ ทว่า พวกเจ้าทุกคนไม่เคยคิดช่วยข้าแก้แค้น กลับให้คนแก่อย่างข้าคิดหาวิธีอยู่คนเดียว!”
ไป๋ชิงผิงตัวสั่นไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่อยู่ ในที่สุดเขาก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างทนไม่ไหว เงยหน้าขึ้นมองไปทางไป๋เวยเหมยด้วยแววตาหนักแน่น “ท่านลุงใหญ่เสียชีวิตเพราะความโลภของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะท่านลุงใหญ่โลภมากและหวังทำลายจวนไป๋ ตอนนี้เขาคงยังมีชีวิตอยู่ขอรับ ท่านลุงใหญ่ทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดิน หาเรื่องใส่ตัวจนต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ ท่านลุงทำตัวเองทั้งสิ้น เหตุใดท่านพ่อของข้าต้องแก้แค้นให้ท่านลุงด้วยขอรับ”
“บังอาจนัก!” ไป๋เวยเหมยเดือดดาลถึงขีดสุด กวาดมือปัดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะจนร่วงลงบนพื้น จานกระเบื้องหล่นโดนร่างของฟางซื่อจากนั้นตกลงบนพื้นจนแตกละเอียด ฟางซื่อตกใจจนรีบกระชากตัวของบุตรชายมาเป็นที่กำบัง
ภรรยาของไป๋เวยเหมยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทุบอกร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด พร่ำเพ้อว่าตนเองทำเวรกรรมอันใดมาถึงต้องมาทำศพให้บุตรชายเช่นนี้ แม้แต่บุตรชายคนรองและหลานชายก็อกตัญญูจนไม่ยอมแม้แต่จะทานอาหารเย็นในวันปีใหม่เล็กด้วยกัน
ไป๋ชิงผิงหมุนตัวจากไปทั้งน้ำตา ร่างของฟางซื่อเต็มไปด้วยเศษอาหาร นางไม่รู้จะทำเช่นไรดี หันไปมองพ่อสามีที่กำลังเดือดดาลและแม่สามีที่กำลังร้องไห้อยู่แวบหนึ่ง จากนั้นถลกชายกระโปรงที่เปรอะเปื้อนเดินตามบุตรชายออกไป “อาผิง อาผิง!”
ภายในห้องตำราของไป๋ฉีเหอ ผูหลิ่วยืนอยู่บนพรมกำมะหยี่หนาลายตัวอักษรมงคลห้าตัวกลางห้อง นางเล่าเรื่องที่ไป๋เวยเหมยว่ากล่าวไป๋ชิงผิงกลางโต๊ะอาหารให้ไป๋ฉีเหอฟัง ไป๋ฉีเหอหน้าคล้ำลงทันที
เดิมทีไป๋ฉีเหอยังคงลังเลอยู่ ทว่า เมื่อได้ยินผูหลิ่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไป๋ฉีเหอจึงไม่คิดลังเลอีกต่อไป
เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ความหมายจากถ้อยคำที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วฝากให้ถงหมัวมัวมาบอกเขาดี ต่อให้เขาไม่ลงมือจัดการ ไป๋ชิงเหยียนก็จะลงมือจัดการอยู่ดี นางแค่รอดูว่าเขาจะจัดการเช่นไร จะสร้างบารมีต่อหน้าคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้หรือไม่
ครั้งนี้ท่านพ่อของเขาทำเกินไปจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ต้องพึ่งพาอาศัยองค์หญิงเจิ้นกั๋วและตระกูลไป๋เท่านั้น ทว่า ท่านพ่อกลับยุยงให้ผู้อาวุโสของตระกูลบรรพบุรุษไป๋บีบจวนไป๋แห่งเมืองหลวงเพื่อแก้แค้นให้บุตรชายคนโตที่เสียชีวิตเพราะความโลภมากและหวังทำลายตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเช่นนี้
หลายปีก่อนหน้านี้ ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเคยคิดสนับสนุนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ พวกเขายกย่องจนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จึงคิดว่าตัวเองเทียบตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
การที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วจัดการกับคนของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่หน้าหอบรรพชนก่อนหน้านี้เพิ่งทำให้ตระกูลบรรพบุรุษได้สติได้ไม่นาน เหตุใดพวกเขาจึงกลับไปทำตัวเหิมเกริม ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนเดิมอีกแล้ว
หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อของเขาอาศัยบารมีของเขาซึ่งเป็นประมุขไป๋คอยยุยงบรรดาคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋อยู่เบื้องหลังเช่นนี้ คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะกล้าเหิมเกริมเช่นนี้อีกหรือ
ไป๋ฉีเหอสั่งให้คนไปแจ้งให้ทุกคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทราบเรื่องโดยไม่คิดปิดบังผูหลิ่ว “ไปบอกคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทุกคนให้ไปรวมตัวกันที่หอบรรพชนของตระกูลไป๋ในยามเฉินซานเคอ[1]ของวันพรุ่งนี้ หากผู้ใดไม่ไป อย่าหาว่าประมุขไป๋อย่างข้าไม่ไว้หน้า ผู้ใดไม่ไปผู้นั้นจะไม่ถือเป็นคนของตระกูลไป๋อีกต่อไป สั่งให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดของจวนกระจายกันออกไปแจ้งให้พวกเขาทราบ ทุกคนต้องรับรู้เรื่องนี้ภายในครั้งชั่วยาม!”
คนติดตามของไป๋ฉีเหออึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเดินออกไปทำตามคำสั่งทันที
ผูหลิ่วมองดูไป๋ฉีเหอที่นั่งอยู่ท่ามกลางแสงเทียนซึ่งส่องกระทบใบหน้าของเขาจนมองเห็นอย่างริบหรี่ นางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “นายท่าน ความจริงที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กล้าอาละวาดเช่นนี้ล้วนเป็นเป็นเพราะมีนายท่านผู้เฒ่าคอยให้ท้ายอยู่เบื้องหลังเจ้าค่ะ นายท่านผู้เฒ่าเคยชินกับการเป็นประมุขที่เวลากล่าวสิ่งใดทุกคนล้วนทำตามนั้น นายท่านเคยเชื่อฟังคำสั่งของท่านผู้เฒ่ามาเสมอ ในสายตาของผู้อื่นจึงคิดว่านายท่านกลัวท่านผู้เฒ่า พวกเขาคิดว่าไม่ว่าจะก่อเรื่องเลวร้ายสักเพียงใด ขอเพียงมีท่านผู้เฒ่าคอยหนุนหลังอยู่…”
ผูหลิ่วเงยหน้ามองไป๋ฉีเหอแวบหนึ่ง เมื่อเห็นไป๋ฉีเหอมองมาที่นาง นางจึงรีบกล่าวต่อให้จบ “พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
นั่นสินะ เพราะมีอดีตประมุขไป๋อย่างบิดาของเขาอยู่ทุกคนจึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะไป๋เวยเหมยและภรรยากำลังรับประทานอาหารเช้า บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงานว่าไป๋ฉีเหอกำลังตรงมาที่เรือนของพวกเขา
ภรรยาของไป๋เวยเหมยรีบลุกขึ้นเขย่าแขนของไป๋เวยเหมย “ท่านดูสิ ในใจของฉีเหอยังมีท่านอยู่ เขากำลังมาขอขมาท่านแล้ว อีกเดี๋ยวท่านอย่าชักสีหน้าใส่ลูกเด็ดขาดนะ ฉีเหอเชื่อฟังคำสั่งของพวกเรามาตั้งแต่เล็ก เมื่อวานเขาคงยุ่งมากจริงๆ ท่านเคยเป็นประมุขมาก่อน ท่านก็น่าจะรู้ดีว่ามันลำบากมากเพียงใด”
ไป๋เวยเหมยรับผ้าเช็ดหน้าที่บ่าวรับใช้ยื่นให้มาเช็ดปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากตั้งใจมาขอขมาจริงก็คงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้ลูกชายคนดีของเจ้าเรียกรวมตัวผู้ดูแลจวนทั้งหมดตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ตอนนี้เขาคงไม่ได้มาขอขมาแต่มาต่อว่าข้ามากกว่า”
ภรรยาของไป๋เวยเหมยขมวดคิ้วแน่น “ฉีเหอไม่มีทางทำเช่นนั้น!”
ความจริงต่อให้ไป๋ฉีเหอมาต่อว่า ไป๋เวยเหมยก็ไม่กลัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นบิดาของไป๋ฉีเหอ ไป๋ฉีเหอจะทำอันใดตนได้
เขารู้จักบุตรชายแท้ๆ ของเขาดี ไปฉีเหอคงนำเรื่องที่จะไม่เป็นประมุขไป๋มาข่มขู่ให้เขายอมแพ้ ไม่คิดงัดข้อกับไป๋ชิงเหยียนอีก
[1] ยามเฉิน คือช่วงเวลาระหว่าง 07.00-09.00 นาฬิกา ซานเคอ ในการบอกเวลาในอดีตคือสี่สิบสามนาที ดังนั้นยามเฉินซานเคอคือ ช่วงเวลาเจ็ดโมงสี่สิบสามนาที