สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 738 จัดการ
ตอนที่ 738 จัดการ
“ข้าลงโทษเจ้าแล้วได้สิ่งใดกัน ลงโทษเจ้าแล้วหลู่จิ้นจะปล่อยตัวหมิงรุ่ยอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของหลี่เม่านิ่งขรึม ดวงตาลึกล้ำจ้องไปยังลมหนาวซึ่งพัดอยู่นอกหน้าต่าง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “เหล่าเวิงยังอยู่ที่ซอยจิ่วชวนหรือไม่”
“เรียนนายท่าน น่าจะยังอยู่ขอรับ…” ที่ปรึกษาชุดขาวกล่าว
“เจ้าไปตามเหล่าเวิงกลับมาที่นี่ก่อน หากหลู่จิ้นไปสำรวจที่จวนนั้นแล้วพบเหล่าเวิงที่มีวรยุทธ์เก่งกาจเช่นนี้ เขาอาจสงสัยตระกูลหลี่ของเราได้” หลี่เม่ากล่าวเสียงรอดไรฟัน “บัดนี้หมิงรุ่ยอยู่ในคุก ข้ากลัวว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะส่งคนไปฆ่าปิดปากหมิงรุ่ยเพราะหวาดระแวงในตัวเขา เจ้าส่งเหล่าเวิงไปคอยคุ้มครองหมิงรุ่ยด้วย อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด”
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” ที่ปรึกษาขาวรีบเดินออกไปจากห้องหนังสือแล้วส่งคนไปตามเหล่าเวิงที่จวนในซอยจิ่วชวนมา
เหล่าเวิงคือผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตหลี่หมิงรุ่ยเอาไว้ ตอนที่หลี่เม่ายังไม่ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ฮูหยินของเขาพาหลี่หมิงรุ่ยกลับไปเยี่ยมญาติตระกูลฝั่งมารดา ระหว่างทางบังเอิญพบกับโจรป่า เหล่าเวิงผู้นี้สละชีวิตช่วยพวกนางเอาไว้ ทว่า เมื่อฟื้นขึ้นมาเหล่าเวิงกลับจำอดีตไม่ได้แม้แต่น้อย ฮูหยินและหลี่หมิงรุ่ยจึงพาเหล่าเวิงกลับมาเลี้ยงดูที่จวนอย่างดีและให้เคารพเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แม้เหล่าเวิงจะไม่ฟังคำสั่งของจวนหลี่ ทว่า เขาดูแลหลี่หมิงรุ่ยเป็นอย่างดี อีกทั้งได้รับความไว้ใจจากบุตรชายของเขามาก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของหลี่หมิงรุ่ย เหล่าเวิงคงยินดีช่วยเหลือ
เมื่อไป๋จิ่นซิ่วกลับไปถึงเรือนชิงฮุย หญิงสาวเห็นแสงไฟในห้องยังสว่างอยู่จึงรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนยังรอนางอยู่ นางไม่รอช้ารีบแหวกม่านเข้าไปด้านในทันที “พี่หญิงใหญ่ยังไม่นอนหรือเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนที่นั่งอ่านตำราไม้ไผ่อยู่ใต้แสงไฟนวดคิ้วของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถาม “รัชทายาทจะจัดการกับหวังชิวลู่เช่นไร”
ไป๋จิ่นซิ่วยืนถูมืออยู่หน้าเตาผิงที่ร้อนระอุ “ให้หลู่จิ้นพาตัวกลับไปแล้วเจ้าค่ะ ทว่า จากที่ข้าได้ยินคำที่รัชทายาทตรัสกับหลู่จิ้นในวันนี้ ข้าไม่คิดว่าหวังชิวลู่จะไม่รู้ว่าหลี่หมิงรุ่ยเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้นะเจ้าคะเพราะก่อนหน้านี้พี่หญิงใหญ่ก็เคยบอกเขาแล้ว เขายังกล่าวอีกว่าคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ให้คนปลอมตัวเป็นหลิวรั่วฟูมาหลอกเขาหวังจะบังคับควบคุมเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าข้างพี่หญิงใหญ่นะเจ้าคะ ทว่า เราไม่มีหลักฐานที่แน่นอนจึงไม่อาจตัดสินได้ว่าหวังชิวลู่ทรยศพี่หญิงใหญ่หรือไม่เจ้าค่ะ”
“ไม่รีบ ในเมื่อหลี่หมิงรุ่ยดึงเหลียงอ๋องเข้ามาเกี่ยวด้วย ประกอบกับที่พวกเราส่งข่าวนี้ไปยังจวนรัชทายาท รัชทายาทต้องเก็บหวังชิวลู่ไว้ต่อกรกับเหลียงอ๋องแน่นอน! หวังชิวลู่ยังจำได้ว่าพี่คือเจ้านายของเขา ครั้งนี้คือโอกาสที่เขาจะได้รับอิสระอีกครั้ง! มิเช่นนั้นเขาคงได้ไปพบบิดาของเขาในปรโลกแน่” ไป๋ชิงเหยียนสะบัดตำราไม้ไผ่ในมือเล็กน้อย จากนั้นวางลงด้านข้าง “วันนี้คงได้นอนหลับอย่างสงบเสียที”
ไป๋จิ่นซิ่วถูมือไปมาพลางเดินอ้อมฉากกั้นเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของไป๋ชิงเหยียน สีหน้าของไป๋จิ่นซิ่วส่อแววเห็นใจขึ้นมาทันที “พี่หญิงใหญ่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ ยังไม่ได้พักผ่อนอย่างจริงจังเสียที”
“ลำบากเจ้าทิ้งวั่งเกอมาดูแลพี่ที่นี่ต่างหาก! พรุ่งนี้รีบกลับไปเถิด…” ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้ไป๋จิ่นซิ่ว “ร่างกายของพี่ไม่เหมาะจะเดินทางระยะไกล พี่ต้องพักอยู่ที่เมืองหลวงอีกสักระยะหนึ่งแน่”
เมืองหลวงรับรู้ข่าวของสถานการณ์รบที่ต้าเหลียงเร็วกว่าซั่วหยาง บัดนี้กองทัพของแม่ทัพหลิวหงและไป๋จิ่นจื้อหยุดอยู่ที่เมืองเย่าหยาง หากหยุดชะงักนานกว่านี้ รัชทายาทอาจไม่พอพระทัย สั่งให้ถอยทัพได้หรืองดส่งเสบียงอาหารไปให้กองทัพได้ ไป๋ชิงเหยียนไม่ไว้ใจรัชทายาท
รัชทายาทไปเยี่ยมพระชายาเอกที่ผล็อยหลับไปแล้วเพราะความเหนื่อยล้า จากนั้นมองดูโอรสตัวอ้วนกลมของตัวเองครู่หนึ่ง สุดท้ายทนไม่ไหว เขานึกถึงใบหน้าเย้ายวนใจของหงเหมยขึ้นมาจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนของหญิงสาว
เฉวียนอวี๋และบรรดานางกำนัลยืนเฝ้าอยู่ที่นอกห้อง พวกเขาได้ยินเพียงเสียงครางอย่างอ่อนหวานดังมาจากด้านใน เสียงนั้นอ่อนนุ่มราวกับจะละลายกลายเป็นน้ำ อย่าว่าแต่บุรุษเลย ขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินแล้วยังรู้สึกกระชุ่มกระชวยขั้นมาเช่นกัน
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง รัชทายาทสวมเสื้อผ้าพลางหันไปมองหงเหมยที่บัดนี้นอนสลบอยู่บนเตียงไม้แกะสลักลายดอกไม้โดยที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาติดอยู่ที่หางตา แววตาของรัชทายาทเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
แสงเทียนสีเหลืองนวลส่องเข้ามาในม่านผืนบางสีขาวที่สะบัดพลิ้วไปมาเล็กน้อย กระทบลงบนใบหน้าเนียนนุ่มเกลี้ยงเกลาของหงเหมยทำให้ใบหน้าของหญิงสาวดูอ่อนหวานมากกว่าเดิมจนรัชทายาทไม่อยากละสายตาไปจากนาง
“องค์ชายจะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ” หงเหมยยกมือกอดรัชทายาทจากทางด้านหลัง หญิงสาวโน้มกายรอดใต้วงแขนของรัชทายาทไปทางด้านหน้า แขนขาวเรียวเล็กโอบรอบคอของรัชทายาทไว้ ดวงตาคู่งามที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตามองสบตาชายหนุ่ม หญิงสาวออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของรัชทายาทจนเขาเริ่มหวั่นไหว
“วันนี้หม่อมฉันตั้งใจไปรอแสดงความยินดีกับพระองค์ที่ทรงได้พระโอรสที่เรือนหน้า ทว่า หม่อมฉันได้ยินว่าองค์ชายทรงมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ หม่อมฉันมีเรื่องมากมายอย่างกล่าวกับพระองค์ อุตส่าห์รอจนพระองค์เสด็จมาหาหม่อมฉันที่นี่ พระองค์รังแกหม่อมฉันเสร็จแล้วจะจากไปโดยที่ไม่ฟังหม่อมฉันกล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ”
รัชทายาทกอดสาวงามในอ้อมกอดยิ้มๆ ใช้นิ้วเขี่ยไปที่ปลายจมูกของหงเหมยอย่างหยอกเย้า “หงเหมยของเรามีเรื่องอันใดอยากระบายให้เราฟังอย่างนั้นหรือ เจ้าลองว่ามาสิ”
เมื่อหงเหมยได้ยินรัชทายาทกล่าวเช่นนี้จึงมีแรงขึ้นมาทันที หญิงสาวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายของรัชทายาท สะบัดผมที่คลอเคลียอยู่ที่บ่าของตัวเองไปทางด้านหลัง ดวงตาใสจ้องไปที่รัชทายาทนิ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ตอนที่หม่อมฉันยืนรอองค์ชายอยู่ด้านนอก หม่อมฉันได้ยินบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวว่าเหลียงอ๋องเป็นคนสั่งให้เขาช่วยหวังชิวลู่ออกมาจากคุก ต่อมาองค์ชายทรงสั่งให้หลู่จิ้นจับตัวบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไป พรุ่งนี้องค์ชายจะทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบใช่หรือไม่เพคะ”
รัชทายาทมองสาวงามผิวพรรณเปล่งปลั่งที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงนิ่ง เขาจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นนอนเอนกายพิงหมอนอิงโดยใช้ศอกข้างหนึ่งยันศีรษะเอาไว้พลางมองไปทางหงเหมยอย่างตั้งใจ
“หงเหมยเป็นพยาธิที่อยู่ในท้อง[1]ของเราอย่างนั้นหรือ”
“องค์ชาย!” หงเหมยคลานเข่าไปแนบชิดรัชทายาท เอนศีรษะซบไปที่บ่าของชายหนุ่ม จากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว “หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายควรรอให้เลิกว่าราชการตอนเช้าก่อนแล้วค่อยขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์เพคะ องค์ชายควรทูลกับฝ่าบาทว่าหากพระองค์กล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมาต่อหน้าขุนนางมากมาย เหลียงอ๋องคงมีแต่ตายสถานเดียว องค์ชายมาพบฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์เพราะอย่างไรเสียเหลียงอ๋องก็คืออนุชาของพระองค์ คือโอรสแท้ๆ ของฝ่าบาท ดังนั้นองค์ชายจึงอยากถามความเห็นฝ่าบาทว่าควรจัดการกับเรื่องนี้เช่นไรเพคะ”
หงเหมยสังเกตสีหน้าของรัชทายาทอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นรัชทายาทมีสีหน้าครุ่นคิดจึงกล่าวต่อเสียงเบาหวิว “เช่นนี้ฝ่าบาทจะได้คิดว่าองค์ชายทรงเห็นแก่พระองค์ เห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้อง เป็นคนมีเมตตา องค์ชายคิดว่าหงเหมยกล่าวถูกต้องหรือไม่เพคะ”
รัชทายาทจ้องไปที่ไฟในตะเกียงที่อยู่บนแท่นสูงนิ่งอย่างใช้ความคิด
ดวงตาของหงเหมยไหววูบเล็กน้อย หญิงสาวเอนกายซบอกรัชทายาท “หงเหมยเกิดมาในครอบครัวธรรมดา ไม่ทราบว่าครอบครัวอื่นเป็นเช่นไร ทว่า ครอบครัวที่หงเหมยเคยพบเห็นมาทั้งหมด ญาติผู้ใหญ่มักอยากเห็นลูกหลานในครอบครัวรักใคร่ปรองดองกัน องค์ชายคือโอรสแห่งสวรรค์ ทว่า องค์ชายก็เป็นบิดาด้วยเช่นกันหงเหมยกล่าวมีเหตุผลหรือไม่เพคะ ควรได้รับรางวัลตอบแทนหรือไม่เพคะ”
รัชทายาทได้สติจึงก้มหน้ามองสาวงามในอ้อมแขน “หงเหมยต้องการรางวัลนี่เอง!”
ดวงตากลมใสของหงเหมยเต็มไปด้วยความยั่วยวนและรอยยิ้มได้ใจ
[1] พยาธิในท้อง เป็นคำเปรียบเทียบที่ต้องการสื่อว่าคนๆ หนึ่งเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำราวกับพยาธิที่อยู่ในตัวของอีกฝ่าย