สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 77 นำทาง
ตอนที่ 77 นำทาง
ใบหน้าที่ขาวใสของไป๋ชิงเหยียนวันนี้ขาวซีดจนน่ากลัว สีหน้ามีแต่ความเศร้าสร้อย แต่ดวงตากลับหนักแน่นเช่นเดิม
“วันก่อนต้องขอบคุณคุณชายหลู่มากนะเจ้าคะที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง หลังจัดการเรื่องพิธีศพของตระกูลไป๋เสร็จ ข้าจะไปแสดงความขอบคุณที่จวนเจ้าค่ะ” ต่งซื่อเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน
“ฮูหยินยกยอหยวนเผิงมากไปแล้วขอรับ! เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ฮูหยินมิต้องใส่ใจหรอกขอรับ” วันนี้หลู่หยวนเผิงมีมารยาทมาก
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง หิมะหนาหยุดตกลง
ขณะที่ชาวบ้านเกือบจะหนาวตาย เหมือนพวกเขาจะได้ยินเสียงควบม้าดังแว่วมาแต่ไกล
ไม่นาน รถม้าสี่ล้อซึ่งมีโคมไฟประดับอยู่ทั้งสี่มุมวิ่งตรงเข้ามาอย่างเชื่องช้า มีทหารองครักษ์ชูธงของซิ่นอ๋องคอยอารักขาอยู่สองข้างทาง
ฮูหยินสองหลิวซื่อขาอ่อนแรง โชคดีที่ไป๋จิ่นซิ่วประคองไว้ทัน นางกุมมือหลิวซื่อแน่น น้ำตาไหลอาบหน้า
ต่งซื่อสูดหายใจลึก กุมมือของไป๋ชิงเหยียนแน่นอย่างไม่รู้ตัว
องครักษ์ของซิ่นอ๋องมองเห็นแสงไฟละลานตาที่หน้าประตูเมืองทิศใต้ รีบควบม้าตรงไปยังประตูเมืองทิศใต้ ขี่ม้าวนอยู่หนึ่งรอบจนเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จากนั้นจึงรีบขี่ม้ากลับไปยังรถม้า รายงานซิ่นอ๋องเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋อง สตรีตระกูลไป๋และชาวบ้านรออยู่ที่หน้าประตูเมืองทิศใต้พ่ะย่ะค่ะ…”
เมื่อซิ่นอ๋องซึ่งโอบสาวงามอยู่ในอ้อมกอดได้ยินจึงรีบแหวกม่านรถม้ามองไปทางประตูเมืองทิศใต้ เห็นเพียงแสงจากโคมไฟมากมาย ชายหนุ่มรีบหดคอกลับไปในรถม้าด้วยความร้อนตัวในทันที ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ
ครานี้เขานำกลับมาแค่ร่างของท่านกั๋วกงไป๋เวยถิง ไป๋ฉีจิ่ง บุตรชายคนที่ห้าของไป๋เวยถิง คุณชายหกและคุณชายสิบเจ็ดเท่านั้น ซิ่นอ๋องต้องการเหยียบย่ำตระกูลไป๋ให้เหล่าขุนนางได้เห็น ดังนั้นเขาจึงจงใจใช้โลงศพคุณภาพต่ำที่สุด
ซิ่นอ๋องใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ฝ่ามือ จ้องมองกระถางธูปทองแดงสามขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเอ่ยขึ้น “อีกเดี๋ยวบอกพวกนั้นว่าข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่สะดวกลงจากรถม้า ตรงเข้าเมืองหลวงไปเลย!”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ของซิ่นอ๋องรับคำ
สาวงามในรถม้าเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของซิ่นอ๋อง นางจึงหยิบเหล้าที่อุ่นอยู่บนเตาออกมารินใส่แก้วพลางยื่นส่งให้ซิ่นอ๋อง “บุรุษตระกูลไป๋ตายไปหมดแล้ว พวกนางเป็นเพียงสตรีกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เหตุใดองค์ชายต้องทรงสนพระทัยด้วยเล่าเพคะ”
สาวงามน่าเชยชมยิ้มให้เขาราวกับดอกไม้แรกแย้ม ซิ่นอ๋องหรี่ตาลงเล็กน้อย ความไม่สบายใจสลายหายไปในทันที ก้มดื่มเหล้าที่อยู่ในมือขาวเนียนของสาวงาม
นั่นสินะ บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดแล้ว สตรีพวกนั้นจะทำสิ่งใดได้
อีกอย่าง ผู้ที่อยากกำจัดตระกูลไป๋คือเสด็จพ่อของเขา คำโบราณกล่าวไว้ว่าจักรพรรดิต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางมิอาจขัดขืนได้ ตระกูลไป๋ก็เป็นเช่นนั้น เขามีสิ่งใดต้องหวาดกลัวกัน!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซิ่นอ๋องจึงเอนกายพิงที่นั่งอย่างสบายใจ กุมมือเล็กเนียนนุ่มดั่งหยกขาวของสาวงามเล่น
รถม้าแล่นไปถึงหน้าประตูเมืองทิศใต้ ต่งซื่อและบรรดาสตรีตระกูลไป๋ทำความเคารพไปทางรถม้าของซิ่นอ๋อง “คาราวะซิ่นอ๋องเพคะ”
“แค่กๆ …” เสียงไอของซิ่นอ๋องดังแว่วออกมาจากรถม้า “ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ก็นำกลับมาได้เพียงร่างของท่านกั๋วกง แม่ทัพไป๋ฉีจิ่ง คุณชายหกและคุณชายสิบเจ็ดเท่านั้น ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่ขอลงจากรถม้าก็แล้วกัน แค่กๆ ให้ทหารนำร่างของท่านกั๋วกงไปส่งที่จวนเจิ้นกั๋วกงเถิด!”
กล่าวจบ รถม้าเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง
หมายความว่าร่างสามีและบุตรชายของต่งซื่อไม่ได้กลับมาสักคน ร่างของต่งซื่อโซเซ ไป๋ชิงเหยียนรีบประคองมารดาไว้ “ท่านแม่!”
หญิงสาวมองดูต่งซื่อที่ตกใจจนไม่ได้สติ นางปวดใจเป็นที่สุด
ร่างของสามีและบุตรชายแท้ๆ อีกสองคนของฮูหยินสองหลิวซื่อก็ไม่ได้กลับมาเช่นเดียวกัน!
เมื่อหลิวซื่อได้ยิน ร่างของนางเซถลาไปทางด้านหลัง หากไป๋จิ่นซิ่วไม่ประคองเอาไว้เสียก่อนนางคงล้มพับไปบนพื้น หลิวซื่อน้ำตาไหลพราก ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น ร่างทั้งร่างนิ่งงันไปราวกับคนเสียสติ
สามีและบุตรชายของนางเสียชีวิตโดยไม่เหลือแม้กระทั้งร่างอย่างนั้นหรือ!
“เจ้าสิบเจ็ด เจ้าสิบเจ็ดของแม่!” ฮูหยินสี่หวังซื่อพุ่งถลาไปยังโลงศพไม้โลงเล็กสุดซึ่งอยู่ทางด้านหลังสุดของขบวน หิมะตกหนักทั้งคืน ถนนลื่นจนยากจะเดิน หวังซื่อหกล้มลงบนพื้นถึงสองครั้งแต่ก็พยุงกายลุกขึ้นเดินโซเซไปยังโลงศพ ในที่สุดนางก็กอดโลงศพโลงเล็กที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเอาไว้ได้ ร้องไห้อย่างคนใจสลาย
“เจ้าหก…แม่มาแล้ว! แม่มารับเจ้ากลับบ้านแล้ว!” ฮูหยินสามหลี่ซื่อเดินสะอื้นไปทางด้านหน้าโดยมีไป๋จิ่นถงคอยประคอง นางอยากเข้าไปลูบโลงศพที่เย็นเฉียบของบุตรชาย อยากแบกร่างของบุตรชายกลับจวน
ฮูหยินห้าฉีซื่อซึ่งท้องโต เหมือนจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ นางอยากก้าวไปหาโลงศพไม้ของสามีแต่ก็ฝืนข่มอารมณ์ไว้ มือกุมท้องของตนเอง กล่าวออกมาทั้งน้ำตาอย่างยากลำบาก “พี่สะใภ้ใหญ่ กลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นจื้อที่ร่างกายยังมีบาดแผลเดินไปยังโลงศพของไป๋ชิงหมิง พี่ชายแท้ๆ ของนางโดยมีสาวใช้ข้างกายช่วยประคอง
ต่งซื่อกำมือแน่น ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธเคืองแต่ก็ต้องกล่าวขอบคุณออกมา “ขอบ…ขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะ”
ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น เป็นเหมือนดังชาติที่แล้วที่มีเพียงร่างของท่านปู่ ท่านอาห้า น้องชายหมิงและน้องสิบเจ็ดเท่านั้นที่กลับมา แต่อาการบาดเจ็บสาหัสของซิ่นอ๋อง…
หญิงสาวมองตามรถม้าคันงามเบื้องหน้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวจากไป เหมือนนางจะได้กลิ่นเหล้าและกลิ่นน้ำอบจางๆ ลอยออกมาทางหน้าต่าง นางยืดกายตรง เงยหน้าขึ้นเผยดวงตาที่คมกริบ ผ้าม่านของรถม้าถูกลมหนาวพัดจนเผยอขึ้น นางมองเห็นชัดเจนว่าสาวงามชดช้อยนางหนึ่งซึ่งเครื่องแต่งกายหลุดรุ่ยกำลังเอนซบอยู่ในอ้อมกอดของผู้ที่อ้างว่า ‘บาดเจ็บสาหัส’ อย่างซิ่นอ๋องอยู่ในรถม้า
เซียวหรงเหยี่ยนซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยืนโดดเดี่ยวอยู่นอกกลุ่มคน เขามีประสาทหูที่เร็วกว่าผู้อื่น ใบหูของชายหนุ่มขยับเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีในรถม้า ดวงตาล้ำลึกของชายหนุ่มเยือกเย็น หันไปมององครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย
องครักษ์รับทราบ รีบพยักหน้าเดินจากไปในทันที
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองทหารที่แบกโลงศพอยู่ ไม่มีทหารของกองทัพไป๋เลยสักคน ล้วนเป็นทหารสังกัดของซิ่นอ๋องทั้งสิ้น หญิงสาวกำมือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อแน่น
ทหารของซิ่นอ๋องวางโลงศพลงบนพื้น เดินตามรถม้าซิ่นอ๋องเข้าไปในเมืองหลวง ทิ้งโลงศพทั้งสี่โลงไว้ที่หน้าประตูเมืองทิศใต้
ต่งซื่อพยายามอย่างสุดความสามารถจึงควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ปล่อยโฮออกมาได้
นางนำบรรดาสตรีตระกูลไป๋คุกเข่าลงบนพื้น ก้มศีรษะแนบพื้นเพื่อคำนับ “ต่งซื่อ ลูกสะใภ้ใหญ่ของตระกูลไป๋พาเหล่าสตรีของตระกูลไป๋มาต้อนรับท่านพ่อและวีรบุรุษผู้กล้าของตระกูลไป๋กลับบ้านเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนคุกเข่าทั้งน้ำตา ก้มศีรษะแนบพื้น
ชาวบ้านคุกเข่าร้องไห้ตามจนเสียงดังระงม พร่ำเรียกท่านกั๋วกง เสียงร้องไห้ที่ดังไม่ขาดสายดังกังวานไปทั่วท่ามกลางท้องฟ้ายามเช้าที่มืดครึ้ม
ต่งซื่อลุกขึ้นยืนโดยมีฉินหมัวมัวช่วยพยุง ยืนอยู่ด้านหน้าโลงศพของท่านกั๋วกง กัดฟันกรอด น้ำตาคลอเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ยกโลง! โปรยเงิน! นำทาง!”
บ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋รีบถลาเข้าไปประกบทั้งสี่ด้านของโลงศพ แบกโลงศพไม้ขึ้นไว้บนบ่า ต่งชิงเยว่เป็นคนหาม เขาตาแดงก่ำ โยนเชือกที่ถือแน่นอยู่ในมือทิ้งไป ก้าวไปด้านหน้า แบกโลกศพไว้บนบ่าของตนเอง ตะคอกออกมาเสียงกังวาน “ยกโลงขึ้น!”
“ยกโลงขึ้น!”
เสียงดังต่อกันเป็นทอดๆ เสียงร้องไห้ของชาวบ้านยิ่งฟังยิ่งปวดใจมากขึ้นเรื่อยๆ
คนที่เป็นขุนนางไม่มีผู้ใดยอมแบกโลงศพให้ผู้อื่น แม้เป็นญาติของตัวเองก็ไม่มีผู้ใดเคยทำ
ทว่า ต่งชิงเยว่ไม่เหมือนผู้อื่น เขาเคยเป็นทหารของท่านกั๋วกงมาก่อน เลือดร้อนในกายของเขายังไม่ดับสูญ
ไป๋ชิงเหยียนรับเงินกระดาษมา มองไปยังโลงศพทั้งสี่โลงนิ่งๆ แวบหนึ่ง หญิงสาวยืนอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน โปรยเงินกระดาษขึ้นไปบนฟ้า
ไป๋จิ่นซิ่วเดินตามหลังไป๋ชิงเหยียน รับเงินกระดาษ โปรยเงินนำทางให้วิญญาณของวีรบุรุษของตระกูลไป๋ด้วยตัวเอง