สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 791 ดูหมิ่น
ตอนที่ 791 ดูหมิ่น
ถึงเวลานั้น…ดินแดนของต้าเหลียงก็จะกลายเป็นของต้าจิ้น เราจะไม่มีอุปสรรคจากทางด้านเหนือของแคว้นหากต้องการรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้จักรพรรดิต้าจิ้นและองค์รัชทายาทยังวุ่นวายกับเรื่องในราชสำนัก ไม่มีเวลาคิดเรื่องการรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ทว่า การยึดครองต้าเหลียงจะทำให้แคว้นต้าจิ้นกลายเป็นแคว้นที่ร่ำรวยและแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนได้อีก
มิเช่นนั้น…เมื่อต้าเยี่ยนทำลายแคว้นเว่ยได้ ทว่า แคว้นต้าจิ้นไม่ได้ครอบครองแคว้นต้าเหลียง ต้าเยี่ยนจะกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่แทนที่แคว้นต้าจิ้นทันที
ที่สำคัญหากต้าจิ้นไม่ถือโอกาสที่ต้าเยี่ยนและแคว้นเว่ยกำลังทำสงครามกันอยู่จัดการกับต้าเหลียง วันหน้าต้าจิ้นคงไม่มีโอกาสยึดครองต้าเหลียงได้อีก เพราะหากต้าเยี่ยนกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา พวกเขาคงไม่ทนดูต้าจิ้นกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่จนสามารถแทนที่แคว้นต้าเยี่ยนอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนยินดีกำจัดอุปสรรคอย่างแคว้นต้าเหลียงให้องค์รัชทายาทก่อนที่นางจะหมดลมหายใจ
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวในจดหมายอย่างจริงใจ แสดงความจงรักภักดีให้องค์รัชทายาทเห็นอย่างเต็มที่ แสร้งทำตัวเป็นคนใกล้ตายที่พร้อมทำเรื่องสุดท้ายเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาท
ที่หญิงสาวเขียนลงไปในจดหมายเช่นนี้เพราะนางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่คนที่มีจิตใจทะเยอทะยานอยากครอบครองใต้หล้า ทว่า เขาคิดมาโดยตลอดว่าแคว้นต้าจิ้นเป็นใหญ่เหนือแคว้นอื่นใดทั้งปวง เขาไม่มีทางยอมให้แคว้นต้าเยี่ยนที่เคยถูกต้าจิ้นเหยียบย่ำกลายมาเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่แทนตนอย่างแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงมอบจดหมายให้จางตวนหนิง ทว่า จางตวนหนิงกลัวว่าจดหมายขององค์หญิงเจิ้นกั๋วจะเป็นจดหมายด่วน เขาจึงจัดการให้ฟ่านอวี้กานเดินทางกลับไปพร้อมกับขบวนขนเสบียงในตอนแรก ส่วนตัวเองพาคนขี่ม้าเร็วนำจดหมายไปยังเมืองหลวงก่อน
ชาวบ้านเมืองหลิ่วโจวที่อยู่ในวัดนอกเมืองต่างอยู่ด้วยความหวาดหวั่น เตรียมพร้อมสู้รบกับทหารต้าจิ้น
ผู้ใดจะคิดว่านักพรตและทหารต้าเหลียงที่อยู่ในวัดจะเห็นกองทัพต้าจิ้นพาหมอและยามารักษาอาการป่วยของชาวบ้านที่ติดเชื้อแทน หมอของต้าจิ้นปรึกษากับหมอของต้าเหลียงว่าสามารถเปลี่ยนตัวยาที่ค่อนข้างมีราคาสูงสองสามตัวเป็นยาที่ถูกกว่านี้ได้หรือไม่ ทหารของต้าเหลียงตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก
ในบรรดาหมอของต้าเหลียงมีหมอที่ฝีมือเก่งกาจอยู่เช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นสูตรยาสูตรแรกที่หมอหงมอบให้ทหารต้าจิ้นและสูตรยาที่หมอทหารของต้าเหลียงปรับเปลี่ยนที่ด่านชิงซีซาน เขาจึงนำสูตรยาทั้งสองมาวิเคราะห์และปรับสูตรใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ายาสูตรใหม่รักษาอาการป่วยของชาวบ้านได้ดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก
เมื่อมารดาที่กอดบุตรของตัวเองรอความตายอยู่ในวัดนอกเมืองหลิ่วโจวได้ยินว่ากองทัพต้าจิ้นพาหมอและนำยามาช่วยรักษาอาการป่วยของชาวบ้านที่ติดเชื้อโรคระบาดจึงคุกเข่ากล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา บรรดามารดาเหล่านั้นไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณที่ทหารต้าจิ้นช่วยชีวิตบุตรของตนเองเช่นไร เมื่อได้ยินว่าสามารถนำยาสมุนไพรเหล่านั้นมาทำเป็นถุงหอมแขวนไว้ที่เสื้อผ้าเพื่อป้องกันโรคระบาด พวกนางจึงพากันรวบรวมสมุนไพรแล้วทำเป็นถุงหอมให้ทหารต้าจิ้นพกติดกายเพื่อแสดงความขอบคุณพวกเขา
บรรดาชาวบ้านไม่ได้มีความคิดที่ซับซ้อน ผู้ใดช่วยชีวิตพวกเขาไว้ตอนที่พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ผู้ใดทำให้พวกเขากินอิ่มนอนหลับในตอนที่เหตุการณ์สงบสุข พวกเขาก็จะซาบซึ้งบุญคุณคนผู้นั้น
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านต้าจิ้นหรือต้าเหลียงที่ไม่ได้ตกอยู่ในวังวนอำนาจล้วนไม่สนใจว่าจักรพรรดิของแคว้นพวกเขาคือผู้ใด สิ่งที่ชาวบ้านเหล่านี้ต้องการมีเพียงการมีที่นาทำมาหากิน มีเสบียงอาหารประทังชีวิต มีเครื่องแต่งกายไว้ใส่ตอนเหน็บหนาว มีที่พักอาศัยไว้พักพิงก็เพียงพอแล้ว
เมื่อหยางอู่เช่อแม่ทัพคุ้มกันเมืองหลิ่วโจวได้รับรายงานเรื่องนี้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อได้ยินว่าชาวบ้านที่ถูกพาตัวไปที่วัดนอกเมืองเนื่องจากติดโรคระบาดล้วนหายขาดจากโรคระบาดและเดินทางกลับมายื่นใบนำทางเพื่อขอให้ทหารเปิดประตูเมืองให้พวกเขากลับเข้ามาในเมืองกันมากมาย แม่ทัพหยางอู่เช่อจึงสั่งให้ทหารเปิดประตูเมืองปล่อยให้ชาวบ้านเหล่านั้นเข้ามา
วันที่ยี่สิบหก เดือนสิบ รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบเจ็ด กองทัพต้าจิ้นเดินทางไปถึงเมืองหลิ่วโจว แม่ทัพหยางอู่เช่อสั่งให้ทหารคุ้มกันประตูเมืองอย่างแน่นหนา จ้าวเซิ่งที่เข้าร่วมกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วขี่ม้าไปด้านหน้าเพียงคนเดียวเพื่อขอพบหยางอู่เช่อ
หยางอู่เช่อครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายจึงยอมขี่ม้าออกมาจากเมืองหลิ่วโจวไปพบจ้าวเซิ่งตามลำพังโดยไม่ได้พกอาวุธใดๆ ติดตัวมาด้วยแม้แต่น้อยเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพจ้าวมาก่อน
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนหลังม้าของตัวเอง หยางอู่เช่อมองดูกองทัพต้าจิ้นมากมายที่อยู่ห่างออกไป เขากล่าวกับจ้าวเซิ่งเสียงทุ้มต่ำ “แม่ทัพจ้าวถูกกองทัพต้าจิ้นบีบบังคับจนจำใจต้องมาขอร้องให้ข้ายอมจำนนอย่างนั้นหรือ”
จ้าวเซิ่งส่ายหน้าให้หยางอู่เช่อ “สหายหยาง พวกเราเคยเป็นสหายร่วมรบกันมาก่อน ถือเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกัน วันนี้ข้าขอบอกกับท่านตามตรงว่าข้าสวามิภักดิ์กับองค์หญิงเจิ้นกั๋วแล้ว แม้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะเป็นเพียงสตรี ทว่า นางมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่หวังรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง จ้าวเซิ่งยินดีติดตามรับใช้องค์หญิงเจิ้นกั๋วเพื่อทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริง”
เมื่อหยางอู่เช่อฟังจบจึงกำบังเหียนม้าแน่น เขาหยัดกายตรงมองไปทางจ้าวเซิ่งด้วยแววตาเย็นชาและดูถูก “จ้าวเซิ่ง เจ้ายอมจำนนต่อศัตรู กลายเป็นสุนัขรับใช้ของแคว้นต้าจิ้น เป็นด่านหน้าที่บุกมาทำลายแคว้นบ้านเกิดของตัวเอง เจ้าไม่ละอายต่อท่านปู่ ท่านพ่อและบรรพบุรุษกองทัพจ้าวที่เคยสละชีพปกป้องแผ่นดินต้าเหลียงบ้างหรืออย่างไร”
“พวกเราทำสงครามไปเพื่อสิ่งใด สหายหยางเคยคิดบ้างหรือไม่” น้ำเสียงของจ้าวเซิ่งราบเรียบ ไม่มีความโกรธเคืองแม้แต่อย่างใด
“เพื่อปกป้องชาวบ้านและบ้านเมืองของตัวเอง!” หยางอู่เช่อตอบเสียงหนักแน่น
จ้าวเซิ่งขบกรามแน่น กล่าวเสียงสูงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ “บัดนี้จักรพรรดิของพวกเรา จักรพรรดิแห่งแคว้นต้าเหลียงไม่สนใจใยดีชีวิตของชาวบ้านในแคว้น ไม่สนใจชีวิตของบรรดาทหาร คิดแต่จะแก้แค้นให้องค์ชายสี่! พระองค์ไม่ยอมก้มศีรษะให้ต้าจิ้น ไม่ยอมละทิ้งความแค้นเพื่อขอยารักษาโรคระบาดจากต้าจิ้นมารักษาชาวบ้านและทหารทุกคนในแคว้นก่อน ทหารอย่างพวกเราและชาวบ้านอีกมากมายต้องล้มตายเพราะโรคระบาดไม่รู้กี่คนต่อกี่คน จักรพรรดิเช่นนี้มีค่าพอให้พวกเราจงรักภักดีไปจนวันตายอย่างนั้นหรือ! สหายหยาง นักรบอย่างพวกเรามีหน้าที่ปกป้องชาวบ้านไม่ใช่หรือ หากจักรพรรดิสามารถช่วยเหลือชาวบ้านให้รอดพ้นจากวิบากกรรมนี้ได้ พวกเรายินดีรับใช้เขาจนวันตาย ทว่า บัดนี้พระองค์เอาแต่คิดจะแก้แค้นโดยไม่ฟังคำคัดค้านจากผู้ใดทั้งสิ้น พระองค์ไม่สนพระทัยว่าชาวบ้านจะเป็นหรือตาย เขายังคู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดิอีกอย่างนั้นหรือ”
หลินคังเล่อที่ขี่ม้าอยู่หน้าสุดของขบวนซึ่งอยู่ห่างออกไประยะหนึ่งขมวดคิ้วแน่น จากนั้นหันไปถามหวังสี่ผิง “สองคนนั่นสนทนาสิ่งใดกัน จ้าวเซิ่งไม่ได้คิดกลับคำใช่หรือไม่”
หวังสี่ผิงหันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่สวมชุดเกราะนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวด้วยใบหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วรู้ขอบเขตดี”
ม้าศึกของหยางอู่เช่อย่ำเท้าไปมาท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ เขากระชากบังเหียนม้าแน่นเพื่อควบคุมให้ม้าสงบลง จากนั้นขบกรามแน่น
จ้าวเซิ่งชี้มือที่ถือแส้ม้าไปทางค่ายทหารของกองทัพต้าจิ้น “เมื่อทหารกองทัพต้าจิ้นเหล่านั้นมาถึง พวกเขาให้ยารักษาโรคระบาดแก่ทหารต้าเหลียงที่ยอมจำนน ทหารต้าจิ้นเหล่านั้นกำลังช่วยรักษาชาวบ้านที่ติดเชื้อโรคระบาดให้พวกเรา เพราะในใจขององค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่เคยแบ่งแยกว่าพวกเขาคือชาวบ้านต้าจิ้นหรือต้าเหลียง พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นชาวบ้านของใต้หล้านี้เหมือนกันทุกคน!”
หยางอู่เช่อไม่ปฏิเสธคำกล่าวของจ้าวเซิ่ง บัดนี้จักรพรรดิแห่งต้าเหลียงไม่สนใจความเป็นอยู่ของชาวบ้านต้าเหลียงแม้แต่น้อย เขาคิดแต่จะแก้แค้นเพียงอย่างเดียว ยาที่ราชสำนักต้าเหลียงส่งไปยังด่านหน้าไม่เพียงพอสำหรับทหารที่รบอยู่ที่นั่น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาชาวบ้านเลย ชาวบ้านเมืองหลิ่วโจวที่ถูกส่งตัวไปยังวัดนอกเมืองทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น ทว่า เมื่อกองทัพต้าจิ้นมาถึง พวกเขาช่วยชีวิตชาวบ้านเมืองหลิ่วโจวไว้ได้มากจริงๆ เขาล้วนรับรู้เรื่องนี้ดี
ทว่า หยางอู่เช่อสงสัยว่านี่คือแผนการของกองทัพต้าจิ้น
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ทรยศแคว้นบ้านเกิดของตัวเอง…” ในดวงตาของหยางอู่เช่อเต็มไปด้วยแววตาดูถูก “ข้าดูถูกเจ้า เจ้าทำลายชื่อเสียงความจงรักภักดีของกองทัพจ้าวจนไม่เหลือชิ้นดี!”
จ้าวเซิ่งไม่ได้โต้เถียงสิ่งใดอีก “องค์หญิงเจิ้นกั๋วตรัสว่าแม้ตอนนี้ทุกแคว้นจะแบ่งแยกเป็นแคว้นของตัวเอง ทว่า พวกเราเคยใช้ตัวอักษรเดียวกัน ใช้การปกครองแบบเดียวกัน มีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน พวกเราเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมาก่อน ครั้งนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ได้ต้องการทำลายล้างแคว้นต้าเหลียง นางแค่ต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนเพราะสงครามอีกต่อไป ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุข สหายหยาง…ท่านไม่อยากเห็นวันนั้นอย่างนั้นหรือ”