สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 80 เด็กน้อยไม่ประสีประสา
ตอนที่ 80 เด็กน้อยไม่ประสีประสา
แค่คำว่าประคองไม่ไหวก็กัดกินใจของนางจนแทบทนไม่ไหว ความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบสิ้นหวังถาโถมเข้ามาในใจ หญิงสาวเกือบเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้น้ำตาไหลพราก
หญิงสาวกัดฟันแน่น “ประคองไหวเจ้าค่ะ!”
“ท่านป้าสะใภ้สี่ พวกเราพี่น้องช่วยกันประคองร่างของเสี่ยวสือชี ประคองได้แน่นอนเจ้าค่ะ!” หญิงสาวจับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกแน่นจนเส้นเอ็นบนหลังมือปูดขึ้น กัดฟันตะโกนเรียก “ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จินถง!”
ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงที่น้ำตานองหน้าได้ยินเสียงเรียกจึงรีบเดินมา ทั้งสองคุกเข่าลงข้างกายของไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นจื้อสะบัดสาวใช้ที่พยุงนางออกพลางเดินกะเผลกไปยังร่างของน้องสิบเจ็ด
“วันนี้พวกเราสามพี่น้องจะประคองร่างและศีรษะของเสี่ยวสือชี พาเสี่ยวสือชีวีรบุรุษผู้กล้าของจวนเจิ้นกั๋วกงกลับบ้าน!”
ร่างของเด็กชายอายุสิบขวบที่อยู่ในชุดเกราะแข็งทื่อไปนานแล้ว ไป๋ชิงเหยียนประคองหลังของน้องสิบเจ็ดแทนฮูหยินสี่หวังซื่อ ไป๋จิ่นถงประคองศีรษะของน้องสิบเจ็ด ส่วนไป๋จิ่นซิ่วประคองขาของน้องสิบเจ็ดเอาไว้
“ยังมีข้าด้วย!” ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด สองมือประคองเอวของน้องสิบเจ็ด น้ำตาคลอพลางตะโกนออกมาเสียงดัง “เสี่ยวสือชี! พี่จะพาเจ้ากลับบ้าน”
“พยุงฮูหยินสี่ขึ้นมา!” ต่งซื่อกลั้นสะอื้น ฝืนตะโกนออกมา “กลับบ้าน!”
เงินกระดาษปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้า ต่งซื่อ นายหญิงใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเดินอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน โปรยเงินกระดาษเพื่อนำทางดวงวิญญาณของผู้จงรักภักดีด้วยตัวเอง
ต่งชิงเยว่ยกโลงศพไม้ขึ้นพาดบ่า ตะโกนขึ้น “ยกโลง!”
นอกจากโลงศพโลงเล็กที่แตกละเอียดไปแล้ว โลงศพอีกสามโลงถูกแบกขึ้น เคลื่อนขบวนผ่านประตูเมืองทิศใต้เข้าสู่เมืองหลวงท่ามกลางการอารักขาขององครักษ์ตระกูลไป๋
ไป๋ชิงเสวียนที่เมื่อครู่ร้องไห้อยู่รีบคลานหนีไปอยู่ด้านข้าง ในใจกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองทิศใต้เห็นชาวบ้านที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดพากันคุกเข่าลง ชายหนุ่มก้มศีรษะลงยกมือกำหมัดข้างหนึ่งแนบไว้ที่แผ่นอก คำนับแบบทหารให้แก่ดวงวิญญาณของผู้กล้าที่ค่อยๆ เคลื่อนขบวนเข้าไปในเมือง
ไป๋ชิงเหยียนกอดร่างของน้องสิบเจ็ด น้องชายคนเล็กสุดไว้แน่น ไป๋จิ่นถงประคองศีรษะของน้องสิบเจ็ดมั่น ศีรษะเชื่อมต่อกับลำคออย่างแนบสนิท พวกนางเดินตามหลังโลงศพทั้งสามโลง ฝีเท้าก้าวอย่างหนักแน่นไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง
ไป๋จิ่นจื้อมองดูชาวบ้านที่ร้องไห้คุกเข่าคำนับอยู่ตามทางเดิน แทบอยากถือแส้ตรงไปที่หนานเจียง ฆ่าพวกคนชั่วที่ทำร้ายบุรุษตระกูลไป๋ ทำร้ายน้องสิบเจ็ดของนางให้ตายตามไปเสียตอนนี้เลย!
“ท่าทีของซิ่นอ๋องที่มีต่อตระกูลไป๋คือท่าทีของราชวงศ์ที่มีต่อตระกูลไป๋ เสี่ยวซื่อ วันนี้เจ้าเห็นกับตาของตัวเองแล้วใช่หรือไม่ ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อน้องสิบเจ็ดอย่างใด ปฏิบัติต่อท่านปู่ ท่านลุงและน้องชายอย่างใด…ให้พวกท่านใช้โลงศพอย่างใด อีกทั้งปฏิบัติต่อตระกูลไป๋ของเราอย่างใดบ้าง! เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่ว่าตระกูลไป๋ในตอนนี้ไม่ใช่ตระกูลไป๋แบบที่เจ้าคิดไว้อีกต่อไปแล้ว บัดนี้ตระกูลไป๋ตกอยู่ในอันตราย ไม่มีเวลารอคอยให้เจ้าค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกแล้ว! เสี่ยวซื่อ…เจ้าต้องโตได้แล้ว!”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปด้านหน้าด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว กล่าวให้ไป๋จิ่นจื้อซึ่งประคองเอวของน้องสิบเจ็ดอยู่ข้างกายของนางฟังทีละคำ
ไป๋จิ่นจื้อน้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม พยักหน้าพลางสะอื้น “เสี่ยวซื่อเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
เซียวหรงเหยี่ยนยืนเอามือไขว้หลัง มือกำหยกจักจั่นที่ถูกขัดจนเป็นเงาใสอยู่ตลอดเวลา สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าขาวซีดของไป๋ชิงเหยียน รู้สึกว่าหญิงสาวซ่อนสิ่งที่อยู่ในดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่อยู่แล้ว
หลู่หยวนเผิงเดินน้ำตาคลอตามชาวบ้านไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง ทว่ายังไม่ทันจะถึงจวนเจิ้นกั๋วกงเขาก็โดนองครักษ์จวนหลู่จับตัวกลับจวนไปเสียก่อน
ชาวบ้านเดินร้องไห้ตามขบวนไปจนถึงจวนเจิ้นกั๋วกง องค์หญิงใหญ่พาบรรดาเด็กสาวของตระกูลไป๋มายืนรออยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงนานแล้ว นางได้ยินเรื่องชั่วช้าที่ซิ่นอ๋องทำที่หน้าประตูเมืองทิศใต้แล้ว ยิ่งเมื่อเห็นหลานสาวทั้งสี่ประคองร่างของหลานชายคนที่สิบเจ็ดของนางกลับมา องค์หญิงใหญ่เบิกตาโพลงมองไปยังร่างของหลานชาย เอื้อมมือออกไปแต่ไม่กล้าแตะต้อง นางเปล่งเสียงร้องไห้โฮ โกรธแค้นอย่างที่สุด!
“ซิ่นอ๋องกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างใด! เขาทำเช่นนี้กับบุรุษตระกูลไป๋ได้อย่างใดกัน! ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวัง! ข้าจะ…” องค์หญิงใหญ่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นหมดสติไปในทันที
“องค์หญิงใหญ่! องค์หญิงใหญ่เพคะ!” เจี่ยงหมัวมัวตกใจจนหน้าซีดเผือด
หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงอลหม่านในทันที ต่งซื่อยืนนิ่งราวกับเป็นเสาหลักให้คนทุกอยู่ที่หน้าประตูจวน สั่งให้คนพาองค์หญิงใหญ่กลับเรือนฉางโซ่ว สั่งให้คนทำความสะอาดร่างของท่านกั๋วกง ท่านชายห้า คุณชายหกและคุณชายสิบเจ็ดใหม่อีกครั้ง จากนั้นนำร่างบรรจุลงโลงศพ ส่วนร่างของบุรุษตระกูลไป๋คนอื่นๆ ที่ไม่ได้กลับมาให้ใช้เสื้อผ้าของพวกเขาบรรจุลงโลงศพแทน
ตระกูลไป๋น่าเวทนาถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าที่สนามรบคงเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจยิ่งกว่า
มองผ่านประตูที่เปิดออกของจวนเจิ้นกั๋วกง โลงศพยี่สิบกว่าโลงตั้งเรียงรายอยู่ในกระโจมซึ่งกางอยู่กลางลานหญ้าเป็นภาพที่น่าหดหู่เกินบรรยาย!
ชาวบ้านน้ำตานองหน้า ร้องไห้ให้กับจวนเจิ้นกั๋วกง และร้องไห้ให้กับแคว้นต้าจิ้น แคว้นซีเหลียงร่วมมือกับแคว้นหนานเยี่ยนบุกโจมตีแคว้นต้าจิ้น บุรุษตระกูลไป๋ล้วนเสียชีวิตลงหมดแล้ว ผู้ใดจะปกป้องบ้านเมือง ปกป้องชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นกัน!
ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากเรือนฉางโซ่วขององค์หญิงใหญ่ เงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ดวงตาร้อนผ่าวจนต้องหลับตาลง น้ำไหลรินอาบใบหน้า
“พี่หญิงใหญ่…”
ได้ยินเสียงสั่นเทาสะอึกสะอื้นของไป๋จิ่นเซ่อ น้องสาวคนที่เจ็ด ไป๋ชิงเหยียนเบนหน้าหนีลอบเช็ดน้ำตา หมุนตัวกลับมา มองดูไป๋จิ่นเซ่อ น้องสาวที่เป็นบุตรอนุซึ่งยืนกำชายเสื้อของนางแน่น
หญิงสาวควบคุมอารมณ์ของตัวเอง กุมมือเย็บเฉียบของน้องสาวไว้พลางย่อกายลงประสานสายตากับนาง เอ่ยถามเสียงแหบพร่า “เสี่ยวชีมาได้อย่างใด แม่นมของเจ้าเล่า”
ดวงตาของไป๋จิ่นเซ่อแดงก่ำ กัดฟันถาม “พี่หญิงใหญ่ ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและบรรดาท่านพี่ถูกผู้อื่นทำร้ายใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ไม่รอให้ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยตอบ ไป๋จิ่นเซ่อกล่าวต่อ
“พี่หญิงใหญ่ เสี่ยวชีมิใช่เด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาแล้วนะเจ้าคะ ข้าเก้าขวบแล้ว! ข้าเคยอ่านตำราพิชัยสงครามกับพี่หญิงใหญ่ เคยร่ำเรียนหลักปรัชญากับท่านอาจารย์ ข้ามิใช่เด็กโง่! หากมิใช่เพราะมีคนลอบทำร้าย บุรุษตระกูลไป๋ของเราจะเสียชีวิตทั้งหมดเช่นนี้ได้อย่างใดเจ้าคะ แม้กระทั่งท่านพี่สิบเจ็ดก็ไม่ละเว้น นี่มันต้องการโค่นล้างพวกเราทั้งตระกูลชัดๆ!”
มองดูดวงตาที่เคยใสบริสุทธิ์ของไป๋จิ่นเซ่อ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่หนักแน่นจนเกินวัย ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากแน่นด้วยความปวดใจ เอื้อมมือลูบไปบนศีรษะของไป๋จิ่นเซ่อ สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
เด็กน้อยที่ควรจะบริสุทธิ์สดใสไร้ความกังวล เติบโตขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนเพราะการจากไปของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและบรรดาพี่ชาย ไป๋ชิงเหยียนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี
“เสี่ยวชี…” ไป๋ชิงเหยียนย่อกายใช้นิ้วชี้ปาดน้ำตาให้ไป๋จิ่นเซ่อ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้และบรรดาพี่ๆ จะทวงความยุติธรรมคืนให้ตระกูลไป๋ จะปกป้องให้เสี่ยวชีเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย! หนทางข้างหน้าอีกยาวไกลอนาคตของตระกูลไป๋อยู่ในมือของพวกเราพี่น้อง มีคำกล่าวไว้ว่าอย่าดูถูกคนที่ตกทุกข์ได้ยาก! เมื่อเจ้าเติบโตขึ้น…พี่จะให้เจ้าได้เห็นว่าแคว้นต้าจิ้นแห่งนี้ ผู้ใดเป็นผู้กำหนด!”
ไป๋จิ่นเซ่อมองไปยังไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พยักหน้ารัว “เสี่ยวชีเข้าใจเจ้าค่ะ”
เหลือบเห็นฉินหมัวมัว บ่าวรับใช้ข้างกายของต่งซื่อเดินเข้ามาในเรือนฉางโซ่ว ไป๋ชิงเหยียนหยัดกายขึ้นมองไปทางฉินหมัวมัว “หมัวมัว…”
ฉินหมัวมัวทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเสร็จจึงกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ คุณหนูเจ็ด คนจากซั่วหยางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ! ฮูหยินซื่อจื่อให้บ่าวมารายงานองค์หญิงใหญ่เจ้าค่ะ หากร่างกายขององค์หญิงใหญ่ไม่พร้อม ฮูหยินซื่อจื่อจะให้พวกเขามาคาราวะองค์หญิงใหญ่วันหลังแล้วให้พ่อบ้านเหาพาพวกเขาไปพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ”
———————————————
[1] เสี่ยวชี สรรพนามเรียกบุตรหรือพี่น้องลำดับที่เจ็ด