สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 839 อับจนหนทาง
ตอนที่ 839 อับจนหนทาง
“เมื่อครู่ยังอยู่อยู่เลยเจ้าค่ะ” เจี่ยงหมัวมัวกล่าวพลางเดินออกไปดู “ข้าจะไปตามเว่ยจงให้เจ้าค่ะ”
“หมัวมัวช้าก่อน!” ไป๋จิ่นเซ่อเรียกเจี่ยงหมัวมัวเอาไว้ จากนั้นหันไปหาองค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า เสี่ยวชีสั่งให้เว่ยจงไปส่งข่าวให้พี่หญิงใหญ่แล้วเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่กำลังทำสงครามเพื่อต้าจิ้นอยู่ไกลถึงต้าเหลียง เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ควรให้พี่หญิงใหญ่รับรู้และเตรียมพร้อมไว้เจ้าค่ะ”
องค์หญิงใหญ่ก้มมองดูใบหน้าหลานสาวของตัวเอง แม้พยายามปกปิดความอ่อนล้าเนื่องจากร่างกายที่แก่ชราลงทุกวันมากเท่าใดก็ไม่มีทางปิดมิด
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะอำนาจของราชวงศ์หลินกำลังจะสิ้นสุดแล้วหรือไม่
นับตั้งแต่ที่เจิ้นกั๋วอ๋องจากไป เมืองหลวงจึงเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อนเช่นนี้
เมื่อราชวงศ์หนึ่งกำลังจะสิ้นอำนาจลงมักจะมีเหตุการณ์บ่งบอกเช่นเดียวกันท้องฟ้าในยามกลางวันที่ใกล้จะมืดสนิทลงในยามกลางคืน
เหตุการณ์ความวุ่นวายที่ประตูอู่เต๋อทำให้ชาวบ้านเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์กันหนักขึ้น หากครานี้เกิดเหตุการณ์กบฏขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าชาวบ้านจะมองราชวงศ์เช่นไร
แม้ในเมืองหลวงจะยังคงเจริญรุ่งเรืองเหมือนเคย ทว่า องค์หญิงใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงที่ราชวงศ์ต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสูงสุดจนถึงทุกวันนี้ นางเริ่มสัมผัสได้ว่าอำนาจของราชวงศ์กำลังค่อยๆ เสื่อมคลายลง วันสุดท้ายของราชวงศ์ใกล้มาถึงแล้ว
องค์หญิงใหญ่ลูบศีรษะของไป๋จิ่นเซ่ออย่างปลอบโยนพลางกล่าว “เมืองหลวงกำลังเกิดเรื่องวุ่นวาย แม้พวกเราจะอยู่นอกเมือง ทว่า หากพี่หญิงใหญ่ของเจ้ารับรู้ข่าวแล้วนำทัพกลับมาช่วยเหลือ เหลียงอ๋องอาจส่งคนมาจับตัวย่า เจ้าและคนที่อยู่ทางซั่วหยางเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่พี่หญิงใหญ่ของเจ้าได้ เจ้ารีบเก็บของให้เรียบร้อย ย่าจะให้คนส่งเจ้าไปยังซั่วหยางโดยเร็วที่สุด เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ของเจ้าว่าหากราชสำนักส่งคนมารับตัวพวกเจ้าไปเมืองหลวงห้ามหลงเชื่อพวกนั้นโดยเด็ดขาด โชคดีที่ซั่วหยางมีกองกำลังอยู่ อย่างน้อยก็พอต้านทานได้สักระยะ”
ไป๋จิ่นเซ่อบีบมือองค์หญิงใหญ่แน่น “ท่านย่า พวกเราไปด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ!”
แสงไฟจากเปลวเทียนสะท้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นขององค์หญิงใหญ่จนเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาชัดยิ่งกว่าเดิม องค์หญิงใหญ่ลูบศีรษะของไป๋จิ่นเซ่อเบาๆ “ย่าแก่แล้ว ไปไม่ไหวแล้ว! พี่หญิงรองของเจ้ายังอยู่ในเมืองหลวง วังหลวงในเมืองหลวงคือสถานที่ที่ย่าเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ย่าต้องอยู่คุ้มครองที่นี่!”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของไป๋จิ่นเซ่อไม่เปลี่ยนแปลง ทว่า ในใจอดเป็นกังวลไม่ได้ พี่หญิงใหญ่ใกล้นำทัพบุกกลับมาโค่นล้มราชวงศ์หลินแล้ว หากท่านย่ารู้เรื่องนี้ ท่านจะกลายเป็นศัตรูกับพี่หญิงใหญ่หรือไม่นะ!
“เสี่ยวชีจะอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าที่นี่เจ้าค่ะ ให้เจี่ยงหมัวมัวกลับไปบอกท่านแม่ของข้าที่ซั่วหยางแทนเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นเซ่อตัดสินใจแน่วแน่ หากนางอยู่ที่นี่นางยังพอช่วยเกลี้ยกล่อมท่านย่าได้
“เด็กโง่!” องค์หญิงใหญ่หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นหันไปทางเจี่ยงหมัวมัว “ส่งคุณหนูเจ็ดกลับไปซั่วหยางเดี๋ยวนี้”
“ท่านย่า!” ไป๋จิ่นเซ่อตกตะลึง
องค์หญิงใหญ่โน้มกายกอดไป๋จิ่นเซ่อไว้แนบอก จากนั้นลูบหลังนางเบาๆ พลางกล่าวขึ้น “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเป็นห่วงย่า ย่าคือองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าจิ้น ย่าเกิดในราชวงศ์ มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งสถานการณ์ในเมืองหลวงอันตรายมากเท่าใด ย่าก็ยิ่งไม่อาจจากไปได้ ทว่า เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าคือหลานสาวของย่า ย่าต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย ไปเถิด!”
ไป๋จิ่นเซ่อกำผ้าคลุมที่วางอยู่บนหน้าตักขององค์หญิงใหญ่แน่น ดวงตาแดงก่ำจนน่ากลัว
นางได้แต่หวังว่าท่านย่าจะคิดเช่นนี้จริงๆ หวังว่าท่านย่าจะปกป้องหลานสาวของตัวเองจริงๆ ไม่กลายเป็นศัตรูกับพี่หญิงใหญ่
วันที่ยี่สิบห้า เดือนสาม รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบแปด เซี่ยอวี่จั่งอดีตหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์นำตราพยัคฆ์ขององค์รัชทายาทรวบรวมองครักษ์รักษาพระองค์บุกไปจับตัวกบฏเหลียงอ๋อง หลี่เม่า หลี่หมิงรุ่ยและฟ่านอวี๋ไหว ทว่า เขาไม่อาจควบคุมสถานการณ์ที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศไว้ได้
ฟ่านอวี๋ไหวและเหลียงอ๋องยกมือขึ้นสูงพลางป่าวประกาศว่าองค์รัชทายาทกักขังจักรพรรดิต้าจิ้นเอาไว้ จากนั้นควบคุมอำนาจในราชสำนักไว้เอง เหลียงอ๋องและฟ่านอวี๋ไหวแค่ต้องการช่วยเหลือจักรพรรดิต้าจิ้นออกมาเท่านั้น
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าและพรรคพวกของเขาอันได้แก่เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งออกตัวปกป้องฟ่านอวี๋ไหว เข้าควบคุมประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ปิดล้อมเมืองหลวงเอาไว้อย่างแน่นหนา
ฝ่ายขุนนางจงรักภักดีที่นำโดยหลู่เซียงรีบพาครอบครัวของตัวเองเข้าไปในวังหลวงเพื่อต่อต้านฝ่ายกบฏของเหลียงอ๋อง ฟ่านอวี๋ไหวและหลี่เม่า
หลู่เซียงกลัวว่าพวกของฟ่านอวี๋ไหวจะตามหาตัวองค์รัชทายาทในเมืองหลวงจนเจอหรือบุกทำลายจวนองค์รัชทายาท เขาจึงแสร้งประกาศออกไปว่าองค์รัชทายาทเข้ามาในวังหลวงแล้ว
สายลับของหลี่เม่ากล่าวว่ามีรถม้าของจวนองค์รัชทายาทเข้าไปในวังหลวงจริงๆ
ฮูหยินฉินไป๋จิ่นซิ่วถอดเครื่องแต่งกายชุดแดงของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะแทน หญิงสาวสู้รบต้านทานกองกำลังของฟ่านอวี๋ไหวเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซี่ยอวี่จั่งอย่างเต็มที่
ขณะที่เหลียงอ๋องกำลังเป็นกังวล ข่าวการยึดเมืองเจียงตูได้ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วถูกส่งกลับมายังเมืองหลวงพอดี เหลียงอ๋องยิ่งหวั่นวิตกยิ่งกว่าเดิม เขาสั่งให้ฟ่านอวี๋ไหวรีบยึดประตูอู่เต๋อให้ได้โดยเร็วที่สุด
ฟางเหล่าเดินทางไปถึงซั่วหยางในวันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสามช่วงตะวันลับขอบฟ้าพอดี เขาแหวกม่านมองดูแสงไฟสว่างจ้าของตลาดนัดกลางคืนในเมืองซั่วหยางที่ทอดไปตามถนนสายยาว
บนถนนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงของบรรดาชาวบ้าน ฟางเหล่าลงจากรถม้า เขามองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเสียงตะโกนทักทายของชาวบ้านซั่วหยางที่เดินผ่านไปผ่านมา เขาตะลึงงันกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองซั่วหยางไปชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่ซั่วหยางแล้ว ทว่า ตอนนั้นจำนวนชาวบ้านในเมืองซั่วหยางไม่ได้มีมากถึงเพียงนี้ เสื้อผ้าของชาวบ้านมีสีสันสดใสกว่าตอนที่เขาเคยพบ ตอนนั้นรอยยิ้มของชาวบ้านไม่ได้ดูสดใสและมีความสุขเหมือนดั่งตอนนี้
ฟางเหล่าเดินทอดยาวไปตามถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟ เขาจำได้ว่าตอนนั้นมีเพียงถนนสายหลักของเมืองซั่วหยางเท่านั้นที่ดูครึกครื้น ตอนนี้แม้กระทั่งซอยเล็กๆ ในเมืองซั่วหยางกลับเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย
เขาเดินมาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ทว่า เขาไม่เห็นซอยที่มืดสนิทในซั่วหยางเลยแม้แต่ซอยเดียว แม้กระทั่งซอยเล็กๆ ที่แทบไม่มีผู้คนเดินผ่านก็ยังมีโคมไฟส่องสว่างเพื่อนำทางให้ผู้คน ซั่วหยางราวกับเมืองที่ไม่เคยหลับใหล
ฟางเหล่านั่งอยู่ในโรงสุราที่โอ่อ่าที่สุดในเมืองซั่วหยาง เอนกายมองดูบรรยากาศที่คึกคักด้านล่าง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมืองเล็กๆ อย่างซั่วหยางถึงได้พัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้
เจ้าเมืองซั่วหยางคือผู้ใดกัน เหตุใดจึงมีความสามารถมากถึงเพียงนี้
ทหารหน่วยตรวจเมืองสองกองของซั่วหยางกำลังเดินมาแต่ไกล ชาวบ้านต่างหลีกทางให้กองกำลังเคลื่อนผ่าน
ฟางเหล่าลุกขึ้นยืนพลางมองไปทางด้านล่าง เขาเห็นร่างผอมเพรียวของเด็กสาวที่มีอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีในชุดเกราะสง่างามเดินนำทหารตรวจเมืองกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างองอาจ
ชาวบ้านเมืองซั่วหยางไม่ได้หวาดกลัวทหารราวกับหนูเจอแมวจนต้องรีบหลีกทางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและระมัดระวังดั่งที่ฟางเหล่าจินตนาการเอาไว้ กลับมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเอ่ยทักทายสาวน้อยผู้นั้น
หญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่งใจกล้าถึงขนาดยืนถือถ้วยชาอยู่ริมถนน เมื่อเห็นสาวน้อยผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้จึงรีบตะโกนเรียก “คุณหนูห้าตรวจเมืองลำบากแล้ว! ดื่มชาสักนิดเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะท่านยาย กองทัพซั่วหยางมีกฎว่ายามออกตรวจเมืองห้ามดื่มกินเด็ดขาดเจ้าค่ะ!” เด็กสาวในชุดนักรบผู้นั้นโบกมือให้หญิงชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สาวน้อยกำดาบที่เอวแน่นพลางเดินจากไป
ทุกที่ที่เดินผ่านชาวบ้านบริเวณนั้นต่างพากันตะโกน…
“ลำบากคุณหนูห้านำทัพมาตรวจเมืองแล้วเจ้าค่ะ!”
ฟางเหล่ามองดูหน่วยตรวจเมืองที่ดูพร้อมเพรียงประหนึ่งกองทัพที่ถูกฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี เขารู้สึกว่ากองทัพเหล่านี้สูสีกับกองกำลังรักษาพระองค์เลยทีเดียว
จู่ๆ องครักษ์คนหนึ่งก็ขี่ม้าเร็วเข้ามาพลางตะโกนเรียกเสียงดังลั่น “คุณหนูห้า ฮูหยินให้มาตามคุณหนูกลับจวนขอรับ”
บ่าวรับใช้ของโรงสุราที่กำลังรินน้ำชาให้ฟางเหล่าเห็นฟางเหล่าชะโงกหน้ามองไปด้านล่างจึงกล่าวออกมายิ้มๆ “ท่านมาจากต่างเมืองใช่หรือไม่ขอรับ”