สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 857 นรกบนดิน
ตอนที่ 857 นรกบนดิน
ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า จากนั้นหันไปมองสตรีสองคนและเด็กอีกสองคนที่ทหารพาขี่ม้ากลับมาและลงจากหลังม้าเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดระแวง
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวปลอบใจ “ไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่…ไม่มีผู้ใดสามารถแย่งเด็กคนใดไปจากเมืองชุนมู่ได้แน่ กลับไปเถิด!”
เมื่อสตรีสาวได้ยินดังนี้ขอบตาจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที นางรีบฉุดให้บุตรทั้งสองคนก้มศีรษะคำนับขอบคุณไป๋ชิงเหยียน “หม่อมฉันจะจดจำบุญคุณขององค์หญิงเจิ้นกั๋วตลอดไป ไม่มีวันลืมแน่นอนเพคะ หู่ตั้น นิวนิวรีบคำนับขอบคุณองค์หญิงเจิ้นกั๋วเร็วเข้า!”
หญิงชรารีบก้มศีรษะคำนับทั้งน้ำตาเช่นเดียวกัน “ขอบพระทัยองค์หญิงเจิ้นกั๋วมากเพคะ!”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!” หลิวหงไม่เห็นด้วยที่ไป๋ชิงเหยียนปล่อยตัวเด็กสองคนนี้ไป ในเมื่อจักรพรรดิต้าจิ้นมีราชโองการออกมาแล้ว พวกเขาก็ควรนำตัวเด็กเหล่านี้ไปยังหอบูชาเก้าชั้น เขาเชื่อว่าจักรพรรดิต้าจิ้นใช้บัลลังก์ต่อรองกับเหลียงอ๋องจริง ทว่า เขาไม่เชื่อว่าจักรพรรดิต้าจิ้นจะนำชีวิตของเด็กหนึ่งพันคนไปปรุงยาวิเศษเพื่อให้ตัวเองมีอายุยืนยาวเด็ดขาด
ไป๋ชิงเหยียนไม่สนใจเสียงคัดค้านของหลิวหง หญิงสาวประคองสตรีสาวและหญิงชราให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิด ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเจ้ากลับบ้านไปเถิด”
เมื่อเห็นคนของทางการมาเพิ่มมากขึ้น แต่ละคนถืออาวุธมุ่งตรงไปยังจวนว่าการ ไป๋ชิงเหยียนจึงออกคำสั่งเสียงเย็น “หยางอู่เช่อล้อมจวนว่าการเอาไว้ อย่าให้คนของทางการแตะต้องชาวบ้านแม้แต่ปลายเล็บ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หยางอู่เช่อรับคำสั่ง จากนั้นพาทหารม้าครึ่งหนึ่งไปขวางหน้าจวนว่าการเอาไว้
เมื่อคนของทางการที่มาเสริมทัพเห็นทหารม้าห้าสิบนายขวางหน้าจวนว่าการและชักดาบใส่พวกเขา เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไปในจวนว่าการ คนของทางการจึงมองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์
ภายในจวนว่าการ ชาวบ้านบางคนพบตัวลูกหลานของตัวเองแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นว่าลูกหลานของตัวเองถูกขังอยู่ในกรงไม้ก็รีบตรงไปเข้าทำลายกรงและพาตัวลูกหลานของตัวเองออกมาพลางสาปแช่งคนของทางการไปด้วย พวกเขากอดเด็กเหล่านั้นไว้ในอ้อมกอด ทั้งกอดทั้งหอมลูกหลานของตัวเอง
บุรุษพิการที่เคยเป็นนายกองห้าในกองทัพมาก่อนตะโกนให้ชาวบ้านทุกคนรีบแยกย้าย ชาวบ้านจึงได้สติและรีบจูงมือลูกหลานของตัวเองวิ่งออกไปจากจวนว่าการ
ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อวิ่งออกมาด้านนอก พวกเขาจะเห็นทหารล้อมจวนว่าการไว้อย่างแน่นหนา ทว่า ที่น่าแปลกก็คือทหารเหล่านั้นไม่ได้ชักดาบใส่พวกเขา กลับชูดาบไปทางคนของทางการที่ถูกขวางอยู่ด้านนอกจวนว่าการแทน
บุรุษพิการปกป้องชาวบ้านและลูกชายของตัวเองไว้ทางด้านหลัง จากนั้นมองไปทางทหารต้าจิ้นด้วยความหวาดระแวง
“ท่านแม่ทัพผู้นี้…ท่านชี้ดาบผิดทางหรือไม่” คนของทางการที่เตรียมมาปราบปรามความวุ่นวายไม่เข้าใจสถานการณ์ “ชาวบ้านที่บุกมาแย่งเด็กเหล่านั้นอยู่ทางโน้นนะขอรับ!”
“ข้ารู้ดี!” หยางอู่เช่อยืนกำดาบอยู่ด้านหน้าสุด “องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงมีรับสั่งไม่ให้พวกเจ้าเข้าใกล้ชาวบ้าน!”
คนของจวนว่าการรู้ดีว่าพวกเขาสู้ทหารเหล่านี้ไม่ได้ เขาจึงรีบหันไปสั่งการลูกน้อง “รีบไปเรียนท่านนายอำเภอว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วเสด็จมาที่นี่!”
ไป๋ชิงเหยียนและหลิวหงพาทหารม้าอีกห้าสิบนายที่เหลือเดินตรงไปยังจวนว่าการ
ไป๋ชิงเหยียนเหลือบมองคนของจวนว่าการแวบหนึ่ง จากนั้นเดินตรงเข้าไปในจวนว่าการ
ชาวบ้านที่อยู่ในจวนว่าการต่างซ่อนลูกหลานของตัวเองไว้ทางด้านหลัง ขบกรามมองไปทางกลุ่มของไป๋ชิงเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกตน ราวกับว่าหากกลุ่มของไป๋ชิงเหยียนจะมาแย่งเด็กไปอีกครั้งพวกเขาพร้อมสู้จนตัวตาย
“ทำทุกคนตกใจแล้ว!” หลิวหงเดินเข้าไปด้านใน เขากลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะขัดราชโองการ ชิงอนุญาตให้ชาวบ้านพาเด็กเหล่านี้กลับไปบ้านของตัวเอง เขาจึงรีบก้าวเข้าไปยกมือคารวะชาวบ้านทุกคน “ทุกท่าน ข้าคือแม่ทัพใหญ่หลิวหงแห่งแคว้นต้าจิ้น วันนี้ข้าขอเอาชีวิตของตัวเองเป็นประกันว่าฝ่าบาทไม่ได้จะนำชีวิตของเด็กเหล่านี้ไปปรุงยาวิเศษ พระองค์แค่ต้องการคัดเด็กบริสุทธิ์เหล่านี้ขึ้นไปบนหอบูชาเก้าชั้นพร้อมกับพระองค์เพื่อขอยาวิเศษเท่านั้น!”
“ถุย! เจ้าคิดว่ากำลังหลอกผู้ใดอยู่กัน!” สตรีกลางคนโมโหร้ายคนหนึ่งถ่มน้ำลายใส่หลิวหงด้วยความโมโห จานนั้นกล่าวเสียงรอดไรฟัน “ถ้าดีจริง เหตุใดท่านนายอำเภอจึงไม่ส่งบุตรชายของตัวเองไปเล่า แล้วยังตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลอื่นอีก พวกเขาล้วนซื้อตัวเด็กจากพ่อค้าทาสเพื่อส่งไปแทนทั้งนั้น!”
เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น บัดนี้เด็กอายุห้าถึงสิบขวบที่อยู่ในมือของคนค้าทาสจึงเป็นที่ต้องการมาก ค่าตัวของพวกเขาแพงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“นั่นนะสิ! หากแค่ส่งเด็กขึ้นไปขอพรบนหอบูชาเก้าชั้นด้วยเท่านั้นเหตุใดต้องใช้วิธีบังคับกันเช่นนี้ด้วย! ครอบครัวใดไม่ส่งเด็กให้ทางการ เพื่อนบ้านละแวกเดียวกันจะโดนประหารชีวิตด้วย เจ้าคิดว่าพวกเราโง่หรืออย่างไร!”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!” อดีตนายกองห้าที่ขาพิการเบิกตาโพลงมองไปทางไป๋ชิงเหยียนในชุดเกราะเงินที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่อย่างตกใจ เขาจำไป๋ชิงเหยียนได้ ขอบตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
บุรุษขาพิการเดินเข้าไปด้านหน้า เขาจับไม้เท้าพลางคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว กระหม่อมคือทหารกองทัพต้าจิ้นที่ได้รับบาดเจ็บในสงครามหนานเจียง สมัยรัชศกเซวียนเจียปีที่สิบหกจนต้องถอนตัวออกจากกองทัพพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยมีวาสนาพบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋ว เด็กที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นทายาทของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบทั้งสิ้น! กระหม่อมเคยได้ยินองค์หญิงเจิ้นกั๋วสั่งสอนทหารต้าจิ้นในค่ายทหาร องค์หญิงเจิ้นกั๋วตรัสว่าเงินของทหารมาจากภาษีของชาวบ้าน ทหารคือกองกำลังของชาวบ้าน แม้กระหม่อมจะเรียนมาน้อย ทว่า กระหม่อมจดจำถ้อยคำขององค์หญิงเจิ้นกั๋วได้ขึ้นใจ! องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้โปรดเห็นแก่บิดาที่พลีชีพเพื่อบ้านเมืองของเด็กเหล่านี้ ปล่อยเด็กเหล่านี้ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!”
“หลานสาวคนโตของเจิ้นกั๋วอ๋องแห่งตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ!”
“คือองค์หญิงเจิ้นกั๋วของตระกูลไป๋จริงๆ ใช่หรือไม่”
เมื่อชาวบ้านเห็นว่าบุรุษที่พาพวกเขามาชิงตัวเด็กๆ ออกจากจวนว่าการคุกเข่าลงบนพื้นจึงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างต่างนานา จากนั้นพากันคุกเข่าลงตาม พวกเขาต่างแย่งกันตะโกนบอกว่าปู่ บิดา ลุงและอาของเด็กเหล่านี้เสียชีวิตในสนามรบเพื่อบ้านเมือง
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้โปรดช่วยคุ้มครองพวกเราเช่นเดียวกับที่เจิ้นกั๋วอ๋องที่ล่วงลับไปแล้วทำด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” คนชราที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากเจิ้นกั๋วอ๋องก้มศีรษะคำนับแนบพื้น จากนั้นกล่าวทั้งน้ำตา
ไป๋ชิงเหยียนกำบังเหียนม้าแน่นจนแทบแหลกคามือ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ
หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นและดังกังวาน “มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดสามารถแย่งลูกหลานของทุกท่านไปได้แน่นอน ทุกท่านพาเด็กๆ กลับบ้านไปก่อนเถิด!”
ไม่รอให้ชาวบ้านก้มศีรษะคำนับขอบคุณไป๋ชิงเหยียน หลิวหงตวาดขึ้นเสียงดังลั่นอย่างทนไม่ไหว “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว! ท่านจะขัดขืนพระราชโองการอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เด็กเหล่านี้คือเด็กที่ฝ่าบาททรงประกาศในราชโองการว่าต้องการตัว พวกเราคือขุนนาง จะขัดขืนพระประสงค์ของฝ่าบาทได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้เท่ากับไม่เคารพฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“จักรพรรดิเช่นนี้คู่ควรให้ข้าเคารพอย่างนั้นหรือ!” ไป๋ชิงเหยียนกัดฟันกรอด จากนั้นหันไปตวาดใส่หลิวหงเสียงดังลั่น “ไม่ว่าจะเป็นเด็กสองคนที่เราเจอที่นอกเมืองชุนมู่หรือเด็กที่อยู่ในเมืองชุนมู่เหล่านี้ ปู่ บิดา ลุงและอาของพวกเขาล้วนเสียชีวิตในสนามรบทั้งสิ้น! พวกเขาสละเลือดเนื้อของตัวเองปกป้องชาวบ้านแถบชายแดนเอาไว้ ฮ่องเต้จะนำชีวิตของทายาทที่เหลืออยู่บนโลกนี้เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาไปทำเป็นยาวิเศษเพื่อให้ตัวเองมีอายุที่ยืนยาว จักรพรรดิเช่นนี้คู่ควรให้คนเคารพนับถืออย่างนั้นหรือ!”
หลิวหงกำหมัดแน่น “ฝ่าบาทคือจักรพรรดิ พวกเราเป็นเพียงขุนนาง หากจักรพรรดิทรงทำผิด พวกเรามีหน้าที่โน้มน้าวตักเตือน ไม่ใช่ไม่เคารพพระองค์เช่นนี้!”
“โน้มน้าวอย่างนั้นหรือ! หลู่เซียงไม่ได้โน้มน้าวพระองค์หรือ! ฮ่องเต้ทรงเชื่อคำโน้มน้าวหรือไม่ พระองค์ปลดหลู่เซียงออกจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและจับเขาขังคุกเพราะเขาขัดขืนราชโองการ จากนั้นแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาแทน ทั้งหมดนี่เป็นเพราะสิ่งใดกัน ไม่ใช่เพราะว่าหลู่เซียงกล่าวโน้มน้าวพระองค์หรืออย่างไร!” ไป๋ชิงเหยียนถามหลิวหงเสียงดัง “นี่แค่เมืองชุนมู่เท่านั้น ไม่รู้ว่าอีกกี่เมืองในต้าจิ้นที่กำลังเกณฑ์เด็กส่งไปให้ราชสำนักเช่นเดียวกับเมืองชุนมู่ ไม่รู้ว่ามีชาวบ้านอีกกี่เมืองในต้าจิ้นที่ต้องเผชิญกับสภาพที่เหมือนนรกบนดินเช่นนี้!”