สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 871 คุกเข่าสวามิภักดิ์
ตอนที่ 871 คุกเข่าสวามิภักดิ์
เสียสละความรู้สึกส่วนตัวเพื่อส่วนรวมคือสิ่งที่ผู้เป็นจักรพรรดิต้องเรียนรู้
ใจของจักรพรรดิไม่ได้แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจน ใจของจักรพรรดิไม่อาจร้อนเกินไปได้
ใจของจักรพรรดิต้องโหดเหี้ยม เลือดของจักรพรรดิต้องเย็นชา
จักรพรรดิไม่ควรยึดติดอยู่กับความรู้สึกส่วนตัว จักรพรรดิต้องเรียนรู้ที่จะถ่วงสมดุล เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก ไม่ใช่มีคุณธรรมและรักพวกพ้อง เห็นแก่ความรู้สึกเป็นหลักอย่างวิญญูชน
การเป็นจักรพรรดิของแคว้นๆ หนึ่งไม่ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นเหตุใดจักรพรรดิองค์ก่อนๆ ถึงได้ถูกกล่าวขานว่าเดียวดายและโง่งมกัน
ผู้ที่จะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องโดดเดี่ยว บัลลังก์แห่งนั้นไม่ได้ครอบครองได้ง่ายๆ อย่างที่คนอื่นคิดและเห็น เมื่อนั่งแล้วยิ่งไม่อาจทำตามใจปรารถนาได้ดั่งที่เหลียงอ๋องคิด
องค์หญิงใหญ่เห็นความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของราชวงศ์ในสมัยของเสด็จพ่อ เสด็จพี่และจักรพรรดิต้าจิ้นองค์ปัจจุบันกับตาของตัวเอง รับรู้ความปิติในการมีอำนาจของราชวงศ์อยู่ในครอบครอง ทว่า ไม่นานก็จะตามมาด้วยภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งและแรงกดดันมหาศาลที่ไม่อาจปฏิเสธได้
บัลลังก์ที่เยือกเย็นเป็นเหมือนกับกรงขังสีทองที่ใหญ่และหนักอึ้งที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ มันกีดกันญาติ มิตรสหายและความรักไว้อีกโลกหนึ่ง มีเพียงจักรพรรดิที่สามารถตัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปได้เท่านั้นจึงจะเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่และสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง!
ทว่า ช่างน่าขันนัก บางทีคงจะมีแต่ผู้ที่ขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นจริงๆ เท่านั้นจึงจะรู้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของมัน
ทว่า หากขึ้นไปนั่งแล้วนั่นหมายถึงตลอดชีวิต มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากบัลลังก์นั้นได้…
ดังนั้นหากสุดท้ายองค์หญิงใหญ่จะยับยั้งการล่มสลายของราชวงศ์หลินไม่ได้ นางก็จะสอนบทเรียนที่สำคัญที่สุดของการเป็นจักรพรรดิให้อาเป่าของนาง
เมื่อต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์และความรักจะทำเช่นไร องค์หญิงใหญ่จึงเลือกที่จะทำเช่นนี้
เมื่อนางมีแผนการเช่นนี้นางยิ่งไม่อาจพาไป๋จิ่นเซ่อและเจี่ยงหมัวมัวมาด้วยได้ มิเช่นนั้นเหลียงอ๋องจะมีเครื่องมือข่มขู่อาเป่าเพิ่มขึ้นอีกสองชีวิต
องค์หญิงใหญ่ฝากคำกล่าวที่ต้องการบอกกับอาเป่าไว้ที่เจี่ยงหมัวมัวหมดแล้ว เจี่ยงหมัวมัวต้องอยู่ถ่ายทอดคำของนางให้อาเป่าฟัง
องค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่บนรถม้ามองดูเมืองหลวงที่ห่างออกไปเรื่อยๆ นางได้แต่คิดอยู่ในใจว่าหากนางไม่ได้เกิดมาในราชวงศ์บางทีนางอาจไม่เป็นเช่นนี้ นางจะสามารถเป็นภรรยาของไป๋เวยถิงได้อย่างเต็มภาคภูมิ สามารถเป็นย่าของอาเป่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งๆ ที่นางและอาเป่าคือคนที่สนิทกันที่สุดบนโลกแห่งนี้ ทว่า สุดท้ายกลับต้องหันหลังให้กัน…ยืนอยู่กันคนละฝั่ง
ไป๋จิ่นเซ่อและเจี่ยงหมัวมัวถูกองค์หญิงใหญ่สั่งกักบริเวณอยู่แต่ในเรือนฉางโซ่ว เจี่ยงหมัวมัวถูกองค์หญิงใหญ่ตีจนสลบ บัดนี้ยังคงไม่ได้สติ ไป๋จิ่นเซ่อเป็นกังวลมาก
เด็กสาวมองดูองครักษ์ถือดาบเฝ้าอยู่หน้าเรือนฉางโซ่ว นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นแอบย่องไปที่สวนทางด้านหลังของเรือนฉางโซ่ว นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้…จากนั้นกระโดดลงมาจากต้นไม้สูง เด็กสาวใช้สองมือยันพื้นจนฝ่ามือปวดแสบไปหมด
ไป๋จิ่นเซ่อกัดฟันไม่ให้เปล่งเสียงร้องออกมาเพราะกลัวว่าองครักษ์ที่คุ้มกันเรือนฉางโซ่วอยู่จะได้ยิน นางข่มความเจ็บปวดถลกชายกระโปรงวิ่งไปทางประตูหลังของจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋ว นางต้องรีบไปรายงานให้พี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรองรับรู้เรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
เมื่อไป๋จิ่นเซ่อวิ่งไปถึงประตูหลังจวน ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเห็นว่ามีองครักษ์เฝ้าอยู่ที่ประตูทางออก นางจึงรีบหลบอยู่หลังกำแพงพลางกลั้นหายใจนิ่ง
ท่านย่าจากไปอย่างรีบร้อน ไม่มีทางมีเวลาสั่งคนทั้งจวนให้เฝ้านางไว้แน่นอน คนเฝ้าประตูหลังอาจเป็นคนที่พี่หญิงรองส่งมา นางไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงถึงเพียงนี้
เมื่อคิดได้ดังนี้ไป๋จิ่นเซ่อจึงไม่หลบซ่อนอีกต่อไป นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนใบหน้า พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ จากนั้นเดินออกมาจากด้านหลังกำแพงด้วยท่าทีสงบนิ่งแล้วเอ่ยสั่งเสียงดัง “พาข้าไปพบพี่หญิงรองเดี๋ยวนี้!”
กองกำลังที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจวนจำไป๋จิ่นเซ่อได้จึงรีบทำความเคารพเด็กสาว “คุณหนูเจ็ด บัดนี้เมืองหลวงกำลังวุ่นวายไม่เหมาะที่จะออกไปด้านนอกขอรับ คุณหนูเจ็ดมีสิ่งใดจะเรียนให้คุณหนูรองทราบข้าจะไปเรียนแทนให้เองขอรับ!”
“ท่านย่าของข้า องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าจิ้นถูกเหลียงอ๋องจับตัวไป เจ้าจะไปรายงานเรื่องนี้แทนข้าได้อย่างนั้นหรือ!” แวตาของไป๋จิ่นเซ่อคมกริบ “เตรียมม้า! ข้าจะไปพบพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรอง เร็วเข้า!”
“พวกข้าจะไปส่งคุณหนูเจ็ดเองขอรับ!” ทหารหันไปสั่งการ “ไปจูงม้ามา!”
เมื่อไป๋ชิงเหยียนนำทัพบุกเข้ามาในเมืองหลวงได้ก็สั่งให้จี้ถิงอวี๋พากองกำลังส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปที่จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วทันที
เมื่อจี้ถิงอวี๋นำทัพเลี้ยวเข้าไปในซอยจวนขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว เขาเห็นทหารกลุ่มหนึ่งคุ้มกันไป๋จิ่นเซ่อขี่ม้าออกมาจากจวน
เมื่อไป๋จิ่นเซ่อเห็นจี้ถิงอวี๋ที่อยู่ห่างออกไป เด็กสาวจึงเบิกตาโพลง จากนั้นตะโกนลั่น “จี้ถิงอวี๋!”
จี้ถิงอวี๋รีบยกมือส่งสัญญาณให้กองทัพหยุดนิ่ง จากนั้นควบม้าเข้าไปหาไป๋จิ่นเซ่อ
ไป๋จิ่นเซ่อกระชากบังเหียนม้าให้หยุดลง จากนั้นเอ่ยถามเสียงสูง “พี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรองอยู่ที่ใด”
จี้ถิงอวี๋กำหมัดคารวะ “คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองกำลังโจมตีวังหลวงอยู่ขอรับ อีกไม่นานคงยึดเมืองหลวงได้แล้วขอรับ!”
“เหลียงอ๋องจับตัวท่านย่า จักรพรรดิต้าจิ้นที่ทุกคนคิดว่าสวรรคตและองค์รัชทายาทหนีออกนอกเมืองไปแล้ว” ไป๋จิ่นเซ่อกล่าวเสียงดังลั่น
จี้ถิงอวี๋ตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน เขาสั่งให้กองกำลังกลุ่มหนึ่งอยู่คุ้มกันความปลอดภัยของไป๋จิ่นเซ่อ
“คุณหนูเจ็ดไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ จี้ถิงอวี๋จะช่วยองค์หญิงใหญ่กลับมาให้ได้ขอรับ!” จี้ถิงอวี๋กล่าวจบก็พากองกำลังที่เหลือออกจากเมืองไปทันที
“พวกข้าจะคุ้มกันคุณหนูเจ็ดกลับจวนขอรับ!”
“ไม่กลับจวน ข้าจะไปพบพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรอง!” ไป๋จิ่นเซ่อควบม้าทะยานไปทางวังหลวงซึ่งเต็มไปด้วยเสียงสู้รบทันที
เมื่อทหารห้าพันนายที่อยู่คุ้มกันวังหลวงรู้ข่าวว่าเหลียงอ๋องพาคนหนีออกไปจากเมืองหลวงสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่มีกำลังใจสู้รบอีกต่อไป ยิ่งเห็นธงเฮยฟานไป๋หมั่งและร่างของสตรีในชุดเกราะสีเงินขี่ม้าศึกสีขาวเข้ามาใกล้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว รู้ดีแก่ใจว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร พวกเขาจึงวางอาวุธยอมจำนน
ประตูอู่เต๋อบานใหญ่และหนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นเซ่อขี่ม้าควบคู่กันเข้าไปในวังหลวงท่ามกลางการคุ้มครองของกองทัพ
เหล่าทหารที่เปิดประตูอู่เต๋อออกพากันคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นเพื่อแสดงความภักดี
แม้แต่บรรดาทหารในวังหลวงก็พากันวางอาวุธในมือลง คุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นเช่นเดียวกัน
เมื่อบรรดาขุนนางฝ่ายในของหลู่เซียงที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ยินเสียงสู้รบหยุดลง สถานการณ์สงบลง พวกเขาจึงช่วยกันประคองร่างเดินออกมาจากที่ซ่อนตัว
พวกเขาเห็นบรรดากองกำลังรักษาพระองค์คุกเข่าก้มศีรษะไปทางประตูอู่เต๋อ พวกเขาช่วยกันประคองร่างของกันและกันเดินไปหยุดอยู่หน้าตำหนักใหญ่ พวกเขาเห็นไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นเซ่อซึ่งขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนขี่ม้าผ่านเสาเคลือบน้ำมันสีแดงต้นใหญ่ในวังหลวงมาแต่ไกล
ขอบตาของต่งชิงผิงร้อนผ่าว เมื่อเห็นร่างของหลานสาวขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน จู่ๆ เขาก็นึกถึงเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงผู้แข็งแกร่งและไป๋ฉีซานน้องเขยผู้ทะนง ทว่า อบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาทันที
แม้บุรุษตระกูลไป๋จะเสียชีวิตลงหมดแล้ว ทว่า หลานสาวของเขาสืบทอดนิสัยและความสามารถของบรรพบุรุษของนางมาอย่างเต็มเปี่ยม นางเก่งกาจทั้งเรื่องรบและการวางแผน มีศีลธรรมและศักดิ์ศรีที่น่าภาคภูมิยิ่งนัก
เกราะเงินเปื้อนเลือดของไป๋ชิงเหยียนถูกแสงแดดส่องกระทบจนเปล่งแสงเยือกเย็น หญิงสาวร่างผอมเพรียวขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน ด้านหลังของนางคือพลทหารโล่และทหารม้าเหล็ก เสียงย่ำเท้าที่พร้อมเพรียงและดังสนั่นไปทั่วบริเวณประกอบกับแสงสีทองที่สะท้อนลงบนเกราะและหมวกเปื้อนเลือดของพวกเขายิ่งทำให้เมืองหลวงแห่งนี้ดูตึงเครียดมากกว่าเดิม
บรรดาขุนนางไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังใจเต้นรัวเพราะเพิ่งผ่านความเป็นความตายจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือเพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้าน่ายำเกรงเกินไปกันแน่ ขอบตาของขุนนางแต่ละคนแดงก่ำ ขุนนางบางคนถึงกับสะอื้นออกมาเบาๆ จากนั้นรีบใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาทิ้งทันที
หลู่เซียงกำหมัดแน่น เขามองดูไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่วที่ดูองอาจทะนงตรงหน้า เขาอดเปรียบเทียบกับจักรพรรดิต้าจิ้น องค์รัชทายาทและเหลียงอ๋องขึ้นมาไม่ได้
จักรพรรดิและราชวงศ์เช่นนั้นคู่ควรให้ตระกูลไป๋เช่นนี้สนับสนุนได้อย่างไรกัน!
หลู่เซียงรู้สึกเสียดายแทนตระกูลไป๋ เสียดายแทนไป๋เวยถิง