สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 961 กระดูกสันหลัง
ตอนที่ 961 กระดูกสันหลัง
ไป๋ชิงเหยียนดีใจอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวเอ่ยสั่งต่อ “ตามเซียวรั่วเจียงและเสิ่นชิงจู๋มาด้วย”
แสงสว่างสุดท้ายบนท้องฟ้าถูกความมืดเข้าปกคลุม วังหลวงทั้งวังสว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟ ตำหนักใหญ่เด่นตระหง่านท่ามกลางแสงไฟ มองจากที่ไกลๆ ช่างดูยิ่งใหญ่และทรงบารมีจนน่าหวั่นเกรง
เสิ่นคุนหยาง กู่เหวินชังและเว่ยจ้าวเหนียนยังไม่เท่าใดนัก พวกเขาเคยติดตามเจิ้นกั๋วอ๋องเข้าวังมาก่อน ทว่า เฉิงหย่วนจื้อและเสิ่นเหลียงอวี้เคยมองเห็นวังหลวงจากทางด้านนอกนับครั้งไม่ถ้วน นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้ามาในวังหลวง พวกเขาจึงรู้สึกว่าทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมด
เฉิงหย่วนจื้อรู้สึกว่าวังหลวงงดงามและโอ่อ่าสมกับเป็นวังหลวง แม้แต่บันไดหยกขาวที่ทอดยาวไปยังตำหนักนั่นยังมีโคมไฟนกกระเรียนมงกุฎแดงขนาดเท่าเอวคนตั้งอยู่ทุกๆ ห้าขั้น โคมไฟส่องแสงสว่างจนบันไดหยกซึ่งไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่น้อยเรืองรองเป็นสีเหลืองนวล
เฉิงหย่วนจื้อเดินมองซ้ายมองขวาอย่างสำรวจ เมื่อเดินถึงบันไดตำหนักเขาเห็นไป๋ชิงเหยียนยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนบันไดขั้นสูงสุด
ไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดฝึกซ้อมประจำวัน หญิงสาวยืนรอต้อนรับบรรดาแม่ทัพตระกูลไป๋อยู่ตรงนี้นานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเดินมาจึงยิ้มกว้างทันที
“เสี่ยวไป๋ไซว่!” เฉิงหย่วนจื้อไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นของตัวเองไว้ได้ เขาชี้นิ้วไปทางไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่บนบันไดสูงพลางตะโกนเรียกด้วยเสียงห้าวกร้านจนดึงดูดสายตาของทหารรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่สองข้างทางของบันได
วันนี้ไป๋ชิงเหยียนขึ้นครองราชย์ นอกจากเสิ่นคุนหยางแล้ว บรรดาแม่ทัพอีกสี่คนที่เหลือต่างอยู่ป้องกันกองทัพของอ๋องเหล่านั้นที่นอกเมือง ทว่า เสี่ยวไป๋ไซว่ของพวกเขาโค่นล้มราชวงศ์เก่าและขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินี พวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน
ตอนอยู่ที่หนานเจียง ไป๋ชิงเหยียนบอกพวกเขาอย่างชัดเจนแล้วว่านางต้องการสั่งสมกองกำลังส่วนตัวเพื่อกองทัพไป๋ที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ หากว่าวันหนึ่งมีจักรพรรดิทรราชย์ พวกเขาจะได้โค่นล้มจักรพรรดิเพื่อปกป้องชาวบ้าน
หลังจากที่ตระกูลไป๋เผชิญกับปัญหาใหญ่ เสี่ยวไป๋ไซว่ที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่เล็ก เสี่ยวไป๋ไซว่ที่เคยเป็นคนวู่วาม มักนำทัพอยู่ด้านหน้าสุดเสมอประคับประคองตระกูลไป๋ให้รอดจากวิกฤตครั้งนั้นไปได้ด้วยความสามารถทั้งหมดของนาง หญิงสาวกลายเป็นคนสุขุม รอบคอบและหนักแน่น แม้จะอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ทว่า หญิงสาวไม่เคยลืมปณิธานแรกเริ่ม ไม่เคยลืมความตั้งใจแรกที่ก่อตั้งกองทัพไป๋ขึ้นมา ไม่ลืมปณิธานของตระกูลไป๋ที่ต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง
วันนี้เสี่ยวไป๋ไซว่ของพวกเขาทำได้แล้ว หญิงสาวโค้นล้มจักรพรรดิที่วันๆ เอาแต่คิดจะมีอายุยืนยาวจนทำให้ชาวบ้านไม่สงบสุข จากนั้นขึ้นครองราชย์แทนที่ หญิงสาวแก้แค้นให้กองทัพไป๋และสร้างแคว้นต้าโจวขึ้นมาใหม่
ไม่มีผู้ใดจะมีความสุขเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เท่ากับแม่ทัพของกองทัพไป๋อย่างพวกเขาที่เห็นไป๋ชิงเหยียนเติบโตมาตั้งแต่เล็กอีกแล้ว
“เหล่าเฉิง!” กู่เหวินชังรีบจับนิ้วของเฉิงหย่วนจื้อที่ชี้ไปทางไป๋ชิงเหยียนลง จากนั้นสื่อให้เขามองไปทางทหารรักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “บัดนี้เสี่ยวไป๋ไซว่คือจักรพรรดินีแล้ว ที่นี่คือวังหลวง เจ้าต้องรักษามารยาทให้ดี ทำความเคารพและเรียกเสี่ยวไป๋ไซว่ว่าฝ่าบาท!”
สิ้นเสียงของกู่เหวินชัง เขาก็เห็นไป๋จิ่นซิ่วเข็นรถเข็นของไป๋ชิงอวิ๋นออกมา ไป๋จิ่นเจาและไป๋จิ่นหวาในชุดนักรบยืนอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียน
บรรดาแม่ทัพของกองทัพไป๋มองไปทางคุณหนูรองที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา มองไปทางคุณชายเก้าไป๋ชิงอวิ๋นที่รอดตายจากสงครามมาได้ ขอบตาของพวกเขาร้อนผ่าว พวกเขารู้สึกเหมือนย้อนเห็นภาพที่พวกเขาเคยร่วมรบกับทายาทของตระกูลไป๋เหล่านี้ในสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือด ทว่า เพียงแค่พริบตาเดียว พวกเขากลับเติบโตกันหมดแล้ว!
แม้แต่คุณหนูทั้งสองที่ก่อนที่พวกเขาออกเดินทางไปออกรบยังมัดแกะสองข้างและถูกหมัวมัวอุ้มไว้ในอ้อมแขน บัดนี้กลับสวมชุดเกราะ ยืนอยู่บนบันไดสูงด้วยท่าทีองอาจสง่างามแล้ว คุณหนูเจ็ดตระกูลไป๋ยืนอยู่ข้างกายเสี่ยวไป๋ไซว่ แม้อายุยังน้อย ทว่า เด็กสาวมีความองอาจคล้ายคลึงกับเสี่ยวไป๋ไซว่ วันหน้าต้องกลายเป็นแม่ทัพที่ดุดันของกองทัพไป๋ได้แน่นอน
หลังจากที่ญาติผู้ใหญ่ของตระกูลไป๋เสียชีวิตลง ทายาทตระกูลไป๋ซึ่งนำโดยเสี่ยวไป๋ไซว่กลายเป็นเสาหลักของตระกูลไป๋
ตอนนี้กู่เหวินชังรู้สึกเลือดร้อนไปทั้งร่าง เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ
ทั้งๆ ที่ต่อให้เขาต้องทำสงครามในตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถสู้หนึ่งต่อร้อยได้ ทว่า เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋ชิงอวิ๋น ไป๋จิ่นเจา ไป๋จิ่นหวา ไป๋จิ่นเซ่อและไป๋ชิงเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างกายเขา กู่เหวินชังรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ
ยังดีที่สวรรค์มีตา เหลือทายาทเหล่านี้ไว้ให้ตระกูลไป๋!
“ไปกันเถิดขอรับลุงเสิ่น ลุงกู่ ลุงเว่ย แม่ทัพเสิ่น แม่ทัพเฉิง พี่หญิงใหญ่รอพวกเราอยู่ขอรับ” ไป๋ชิงเจวี๋ยกล่าวพลางเดินนำหน้า
เฉิงหย่วนจื้อที่เดินตามไป๋ชิงเจวี๋ยขึ้นไปบนบันไดสูงไม่เห็นร่างของกู่เหวินชังเดินตามมาด้วย เขารู้ว่าขาของกู่เหวินชังไม่ดีจึงเตรียมหันกลับไปช่วยประคอง เมื่อหันกลับไปจึงเห็นกู่เหวินชังกำลังใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของตัวเอง เขาจึงตะโกนออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เหล่ากู่ เหตุใดท่านถึงร้องไห้กัน”
กู่เหวินชัง “…”
กู่เหวินชังเงยหน้าถลึงตาใส่เฉิงหย่วนจื้อ จากนั้นตวาดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ร้องไห้อันใด ทรายเข้าตาข้าต่างหาก!”
“ข้าก็ว่าแล้ว ท่านเป็นชายอกสามศอกแท้ๆ แค่ขาไม่ดี เดินช้ากว่าพวกข้าเท่านั้นเอง! หากท่านร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้ข้าคงดูถูกท่านแน่” เฉิงหย่วนจื้อเดินลงมาจากบันได “ข้าประคองท่านเอง”
“ขาไม่ดีก็ยังเตะเจ้าปลิวได้ยี่สิบครั้งนะ!” กู่เหวินชังกล่าวจบจึงเดินขึ้นบันไดสูงไป
“ท่านขี้โม้แล้ว!” เฉิงหย่วนจื้อใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกของตัวเอง จากนั้นเดินลงจากบันไดไปสองสามขั้นเพื่อประคองกู่เหวินชัง “ข้าตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนขาท่านยังดียังเตะข้าปลิวไม่ได้ ตอนนี้ต่อให้ท่านอยากเตะข้าให้ปลิวก็คงทำได้เพียงคุยโวเท่านั้นแหล่ะ”
เว่ยจ้าวเหนียนที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดเกราะเป็นชุดธรรมดาก้มหน้าหัวเราะออกมาเบาๆ เขามองดูเฉิงหย่วนจื้อที่กำลังช่วยประคองกู่เหวินชังท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองนวล จากนั้นหันกลับไปมองไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่บนบันไดสูง ในใจเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
ไป๋ชิงเจวี๋ยที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดหันกลับไปมองกู่เหวินชังและเฉิงหย่วนจื้อที่กำลังหยอกล้อกันเล่นอย่างมีความสุข ลมกลางคืนที่มีไอร้อนหลงเหลือจากแดดในตอนกลางวันพัดผมของไป๋ชิงเจวี๋ยปลิวสะบัดตามแรงลม ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เขาไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้ในกองทัพไป๋นานมากแล้ว
ต่อให้อยู่ที่หนานเจียง เขาก็ไม่เคยเห็นบรรดาแม่ทัพของกองทัพไป๋กล่าวหยอกล้อกันเล่นอย่างมีความสุขเช่นนี้เลย
ไป๋จิ่นเจา ไป๋จิ่นหวาและไป๋จิ่นเซ่อไม่เคยติดตามแม่ทัพเหล่านี้ไปออกรบในสนามรบจริง พวกนางเคยเห็นแม่ทัพเหล่านี้ตอนก่อนออกเดินทางไปรบหรือได้ยินนามของพวกเขาจากปากของญาติผู้ใหญ่และบรรดาพี่ๆ ของนางเท่านั้น
โดยเฉพาะไป๋จิ่นเซ่อที่ไม่เคยนำทัพออกรบหรือเข้าฝึกซ้อมในค่ายทหารเลยครั้ง เด็กสาวมองบรรดาแม่ทัพเหล่านั้นอย่างสนใจและเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
กองทัพไป๋สูญเสียในสงครามหนานเจียงในรัชศกเซวียนเจียเป็นจำนวนมาก บัดนี้แม่ทัพเก่าแก่ที่มากความสามารถของกองทัพไป๋ที่รอดชีวิตจากสงครามเหลือเพียงแม่ทัพห้าคนนี้เท่านั้น
บรรดาแม่ทัพเดินขึ้นไปบนบันไดสูง พวกเขาเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวใต้หลังคาตำหนักใหญ่ พวกเขารู้สึกว่าบารมีของไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ด้อยไปกว่าตำหนักขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังหญิงสาวแม้แต่น้อย
“เซียวรั่วเจียงและชิงจู๋ยังไม่มาหรือ” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถามเว่ยจง
เว่ยจงก้าวไปด้านหน้า จากนั้นรายงานไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อม “แม่นางเสิ่นและหรู่ซยงของฝ่าบาทส่งคนมาแจ้งว่าพวกเขาอาจมาช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นบรรดาแม่ทัพใกล้ขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว ไป๋ชิงเหยียนจึงพยักหน้าพลางเดินลงบันไดไปสองสามขั้นเพื่อต้อนรับพวกเขาอย่างใจร้อน เสิ่นคุนหยางและบรรดาแม่ทัพทุกคนคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นเพื่อทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน