สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 969 เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและชาวบ้าน
ตอนที่ 969 เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและชาวบ้าน
นึกถึงตอนที่ตระกูลไป๋ถูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋รังแก พวกเขายังโมโหแทนตระกูลไป๋อยู่เลย ทุกคนได้แต่คิดว่าตระกูลไป๋เป็นตระกูลนักรบที่จงรักภักดีต่อแคว้นมาโดยตลอด เมื่อบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตเพื่อบ้านเมืองทั้งหมด ตระกูลไป๋กลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ทว่า ทุกตระกูลล้วนมีกฎว่าสตรีไม่สามารถรับสืบทอดทรัพย์สมบัติและกิจการของตระกูลได้ หากบุรุษในตระกูลเสียชีวิตลง หากไม่ยกทรัพย์สมบัติของตระกูลให้ตระกูลบรรพบุรุษ คนในตระกูลก็ต้องรับบุตรชายจากตระกูลบรรพบุรุษมาเป็นทายาทบุญธรรมเพื่อรับสืบทอดสมบัติต่อไป
“ตระกูลไป๋ยังเป็นเช่นนี้ แล้วสตรีหม้ายในครอบครัวธรรมดาจะถูกรังแกถึงเพียงใดกัน” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ตระกูลไป๋เคยเผชิญกับเหตุการณ์นี้มาก่อน พวกเราจึงรู้ความรุนแรงของมันดี ดังนั้นกฎจึงต้องถูกเปลี่ยนแปลง ความคิดที่ว่าบุรุษสูงส่งกว่าสตรีต้องเปลี่ยนไป! สตรีตระกูลไป๋ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ พวกเราได้เกิดมาในตระกูลไป๋ที่ไม่เคยดูถูกสตรี พวกเราได้ร่ำเรียนวิชา ได้เรียนตำราพิชัยสงคราม ได้ไปฝึกฝนในค่ายทหารเช่นเดียวกับบุรุษเมื่ออายุครบสิบปี! ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าทายาทตระกูลไป๋ไม่เคยมีคนไร้ประโยชน์!”
น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนหนักแน่นขึ้น เหล่าบัณฑิตต่างคล้อยตามคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน แต่ละคนนั่งหยัดกายตรงอย่างตั้งใจฟังในสิ่งที่หญิงสาวกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนขยับเท้าเล็กน้อย “พวกท่านลองคิดดูว่าหากตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงดูถูกสตรีเหมือนตระกูลอื่น เมื่อเหลียงอ๋องก่อกบฏ น้องสาวคนรองที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วของข้าจะนำทัพต่อต้านเหลียงอ๋องได้เช่นไร นางจะช่วยเหลือชีวิตชาวบ้านในเมืองหลวงที่ถูกเหลียงอ๋องยึดไป จะช่วยเหลือชีวิตของครอบครัวขุนนางเหล่านั้นไว้ได้อย่างไรกัน”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวถึงน้องสาวของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ “เกาอี้จวิ้นจู่ไป๋จิ่นจื้อน้องสาวคนที่สี่ของข้าจะนำทัพบุกไปโจมตีเมืองหลวงจนกลายเป็นผู้มีความดีความชอบยิ่งใหญ่ในการทำลายต้าเหลียงได้อย่างไรกัน”
“ทุกท่านลองคิดดูว่าหากสตรีของตระกูลไป๋ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีจากท่านปู่และญาติผู้ใหญ่ในตระกูล หากพวกข้าไม่ได้ร่ำเรียนวิชาตั้งแต่เล็กจนมีปณิธานยิ่งใหญ่ มีใจรักและปกป้องชาวบ้านเช่นเดียวกับบรรพบุรุษในตระกูล เมื่อบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงในสงครามหนานเจียงในรัชศกเซวียนเจียในตอนนั้น ตระกูลไป๋คงถูกยัดเยียดข้อหากบฏและดับสูญไปนานแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าที่แม้แต่ตระกูลไป๋ยังปกป้องไว้ไม่ได้จะสามารถเดินทางไปออกรบที่หนานเจียงได้อย่างไรกัน หากตอนนั้นตระกูลไป๋ยอมแพ้ อย่าว่าแต่การยึดครองต้าเหลียงเลย บัดนี้แผ่นดินที่เรายืนอยู่จะกลายเป็นของซีเหลียงหรือต้าเยี่ยนก็ยังไม่อาจรู้ได้”
“ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้คิดอวดอ้างความดีความชอบของตัวเอง ทว่า ข้าแค่อยากบอกกับทุกท่านว่าแม้ตระกูลไป๋จะเหลือเพียงสตรี พวกข้าก็สามารถบุกไปทำสงครามในสนามรบได้เช่นเดียวกัน เพราะตระกูลไป๋ไม่เคยดูถูกสตรี ทุกคนล้วนมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล เพราะท่านปู่ ท่านพ่อและท่านอาของข้าไม่เคยเห็นความสำคัญของสตรีน้อยกว่าบุรุษ พวกท่านล้วนสอนให้พวกข้าตระหนักไว้เสมอว่าการปกป้องชาวบ้านของแคว้นคือหน้าที่ของพวกเรา”
“เมื่อญาติผู้ใหญ่ของตระกูลไป๋กลับมาจากสนามรบ พวกเขามักจะเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามรบและแม่ทัพฝ่ายศัตรูที่พวกเขาเคยสู้รบด้วยให้พวกเราฟังอย่างละเอียด พวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่อบุรุษและสตรีอย่างแบ่งแยก ดังนั้นข้าจึงรู้แผนการรบของแม่ทัพหลักที่สงครามหนานเจียงและภูมิประเทศแถบนั้นเป็นอย่างดี เช่นนี้ข้าจึงมีโอกาสรบชนะฝ่ายศัตรูมากกว่า!”
“นี่เป็นเพียงแค่ตระกูลไป๋เท่านั้น หากมีตระกูลอื่นที่ไม่ดูถูกสตรีเพิ่มมากขึ้น อนุญาตให้สตรีได้ร่ำเรียนเท่าเทียมกับบุรุษ หากสตรีเหล่านั้นยินดีอยู่ดูแลสามีและบุตรภายในจวน พวกนางจะไม่อบรมสั่งสอนบุตรของตัวเองได้ดีขึ้นเพราะมีความรู้มากขึ้นหรืออย่างไร เมื่อสตรีมีหนทางให้เลือกมากขึ้น ไม่ได้เกิดมาเพื่อแต่งงานออกเรือนไปดูแลสามีและบุตรเพียงอย่างเดียว หากวันหน้าตระกูลของพวกท่านเกิดเรื่องขึ้นหรือแคว้นเกิดภัยพิบัติขึ้น พวกเราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลและแคว้นของพวกเรา ไม่ต้องเป็นห่วงว่าสตรีหม้ายจะถูกผู้อื่นรังแกอีกต่อไป”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองทางบัณฑิตที่เมื่อครู่กล่าวกับนางว่าแคว้นอาจเกิดความวุ่นวายหากอนุญาตให้สตรีเข้าร่วมการสอบขุนนางและรับราชการอีกครั้ง “อีกเรื่อง เมื่อครู่บัณฑิตผู้นี้กล่าวว่าต้าโจวมีคนมากความสามารถมากเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกจากสตรีอีก…”
เมื่อได้ยินเสียงบัณฑิตบางคนเห็นด้วย ไป๋ชิงเหยียนจึงหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้ากลุ่มบัณฑิตที่เสียงคัดค้านดังที่สุด จากนั้นเอ่ยถาม “คนมีความสามารถในต้าโจวมากเพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ คนมีความสามารถที่ข้าหมายถึงไม่ใช่เพียงคนที่มีความรู้แต่ในตำราเท่านั้น ข้าเชื่อว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นหัวกะทิทั้งสิ้น ทว่า หากข้าส่งพวกเจ้าไปผลักดันการปกครองระบอบใหม่ที่ต้าเหลียง บัณฑิตคนใดในที่นี้สามารถเสนอแผนการที่สมบูรณ์แบบให้ข้าได้บ้าง เราควรใช้แผนการประณีประนอมหรือใช้แผนการที่รุนแรงดี”
ไป๋ชิงเหยียนกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นสีหน้าของบัณฑิตแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไป บางคนเริ่มนั่งไม่ติดที่ ไป๋ชิงเหยียนจึงเงยหน้ามองไปทางบัณฑิตที่อยู่บนชั้นสอง “บัดนี้ซีเหลียงกับหรงตี๋กำลังจะทำสงครามกัน ทั้งสองแคว้นต่างอยากทำสัญญาผูกมิตรกับต้าโจว ต้าโจวควรรับมือกับสถานการณ์นี้เช่นไร ผูกมิตรกับซีเหลียงหรือหรงตี๋จะทำให้ต้าโจวได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน”
ไป๋ชิงเหยียนหมุนตัวกลับไปมองกลุ่มบัณฑิตที่นั่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของห้องโถง “พวกเราควรสร้างหุบเขาฉงหลวนและเมืองสุ่ยเจียงที่ถูกทำลายไปแล้วขึ้นมาใหม่เช่นไร มีผู้ใดมีข้อเสนอบ้างหรือไม่ว่าพวกเราจะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนน้อยลงได้เช่นไร”
บรรดาบัณฑิตที่นั่งอยู่ในโถงไม่มีผู้ใดตอบได้สักคน พวกเขากระชับมือของตัวเองแน่นอย่างไม่รู้ตัว ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจบางอย่างขึ้นทันที…
พวกเขาเข้าใจแล้ว คนมีความสามารถที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวถึงไม่ได้หมายถึงบัณฑิตที่มีความรู้เหนือผู้อื่น ทว่า คือคนที่มีความสามารถที่สามารถลงมือปฏิบัติได้จริง
เหมือนดั่งที่หญิงสาวกล่าวก่อนหน้านี้ว่าต้องการสร้างผลประโยชน์ให้แคว้นและชาวบ้าน!
สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนเคร่งขรึมขึ้นทันที “คนมีความสามารถไม่เคยมีมากพอสำหรับแคว้นหนึ่งแคว้น! ความคิดและวิสัยทัศน์ของพวกเจ้าควรกว้างไกลกว่านี้ ต่อให้แคว้นต้าโจวจะมีพื้นที่เพียงเท่าที่ต้าจิ้นเคยมี ข้าก็ยังไม่กล้ากล่าวว่าพวกเรามีคนมีความสามารถมากพอแล้ว บัดนี้ต้าโจวยึดครองแคว้นต้าเหลียงมาเป็นของเรา อีกทั้งหวังจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง สร้างยุคสมัยที่มีแต่สันติสุข เช่นนี้คนมีความสามารถของแคว้นต้าโจวมากเพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ!”
นี่คือครั้งแรกที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่าจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งต่อหน้าเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย นอกเหนือจากที่นางเคยกล่าวกับทหารในกองทัพและเหล่าขุนนางไปแล้ว
แน่นอนว่าเหล่าบัณฑิตแตกตื่นขึ้นมาทันที
“รวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งอย่างนั้นหรือ!”
“ต้องทำสงครามอีกอย่างนั้นหรือ”
“เอาแต่ทำสงครามทั้งเดือนทั้งปีเช่นนี้! ปากบอกว่าทำเพื่อชาวบ้าน ทว่า ทุกครั้งที่ทำสงครามผู้ที่เดือดร้อนล้วนเป็นชาวบ้านทั้งสิ้น ไม่สามารถทำสัญญาสงบศึก ทำข้อตกลงว่าจะไม่รุกรานกันไม่ได้หรืออย่างไร”
“ต้าโจวเพิ่งทำลายต้าเหลียง เพิ่งยึดครองดินแดนของต้าเหลียงได้ จะให้ชาวบ้านได้พักผ่อนบ้างไม่ได้หรืออย่างไรกัน”
“บัณฑิตที่เอาแต่มุดหัวอยู่แต่ในตำราอย่างพวกเจ้าจะไปเข้าใจอันใดกัน! หากต้องการทำเพื่อชาวบ้านจริงๆ ก็ต้องรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งให้ได้! มีเพียงการรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเท่านั้นทุกคนจึงจะพบกับสันติสุขที่แท้จริง!” เฉิงหย่วนจื้อทนต่อไปไม่ไหว เขาผลักเสิ่นคุนหยางออก จากนั้นสาวเท้าเข้าไปในโถงน่าเสียนทันที
เฉิงหย่วนจื้อกำหมัดคารวะไป๋ชิงเหยียน ดวงตาที่คมราวกับเหล็กเบิกโพลงพลางมองไปทางบัณฑิตในโถงอย่างโมโห “พวกบัณฑิตอ่อนแอที่เอาแต่ท่องตำราอย่างพวกเจ้าเคยรู้บ้างหรือไม่ว่าชาวบ้านแถบชายแดนมีชีวิตเช่นไร พวกเจ้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรือง มองเห็นทุกอย่างแค่ในกระดาษเท่านั้น หึ มีเพียงแค่ความฟุ้ง…อันใดนะ!”
“ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ!” บัณฑิตคนหนึ่งช่วยแก้สำนวนให้เฉิงหย่วนจื้อ
“ใช่! ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ! เมื่อศัตรูบุกมารุกราน ชาวบ้านแถบชายแดนถูกศัตรูไล่สังหารราวกับวัวควาย หรงตี๋บุกมาแย่งชิงเสบียงอาหารจากเราทุกปี เมื่อบุกมาเมืองใดล้วนสังหารสิ่งมีชีวิตในเมืองจนหมดสิ้น! พวกเจ้าคนใดเคยวิ่งหนีเอาตัวรอดจากคมดาบของหรงตี๋บ้าง!”
*******************