สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 6 ตอนที่ 23
บทที่ 23 เพิ่มพลังสักหน่อย
เมืองนี้มีแม่น้ำไหลผ่าน
ทุกวันทุกคืนจะมีเรือข้ามฟากรับส่งคนไปมาระหว่างแม่น้ำทั้งสองฝั่ง บางครั้งที่ลั่วเพียนเซียนว่างก็จะมานั่งข้ามฟากไปมาเล่นเช่นเดียวกัน
เธอชอบไอน้ำของแม่น้ำสายนี้
แต่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าส่วนลึกของแม่น้ำสายนี้จะมีผนึกของเส้นสายพลังวิญญาณอยู่ด้วย ซูจื่อจวินพาเธอเข้าไปในน้ำและผลักก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งบริเวณทางที่แม่น้ำไหลผ่าน นี่เป็นทางเข้าไปยังผนึกจุดที่สอง
เมื่อมาถึงจุดหมายและมองไปบนผนังหินที่อยู่ส่วนลึกของถ้ำก็จะเห็นตัวอักษรที่เปล่งประกายสีทอง…เหมือนกับผนึกเวทมนตร์
พวกมันถูกเขียนไว้เต็มไปหมดในส่วนลึกของถ้ำแห่งนี้
ผีเสื้อน้อยเชื่อฟังมาโดยตลอด จนกระทั้งมาถึงที่นี่ถึงกล้าเอ่ยปากถาม “พี่จื่อจวิน พวกเราไม่ไปหาเซียงหลิ่วงั้นหรือคะ? ทำไมถึงได้มาที่นี่ก่อน?”
ซูจื่อจวินมองรอบด้านแล้วพูดว่า “อาการบาดเจ็บของฉันยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกวันสองวันถึงจะหายดี เวลานี้ไม่เหมาะที่จะเริ่มโจมตี อีกอย่างเบื้องหลังของเซียงหลิ่วยังมีกำลังคอยสนับสนุนอีก…ช่วงเวลาหนึ่งถึงสองวันนี้ ฉันคิดว่าเซียงหลิ่วน่าจะเร่งทำลายผนึกจุดที่หนึ่ง จากนั้นก็จะมุ่งหน้ามาที่นี่…แต่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่ผนึกทั้งสามไม่ถูกคลายออกจนหมดก็จะไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นพวกเรารอพวกเขาอยู่ที่นี่ดีแล้ว”
“อืมๆ” ลั่วเพียนเซียนพยักหน้าเอ่ยว่า “พี่จื่อจวินจะลอบโจมตีพวกเขา!”
“ฉันซูจื่อจวินเป็นใคร? ฉันต้องลอบโจมตีด้วยงั้นหรือ?” ซูจื่อจวินพูดอย่างดุร้าย “นี่เรียกว่าการพักฟื้นสั่งสมกำลังรอโอกาสโจมตีที่เหมาะสมต่างหาก!”
ผีเสื้อน้อยกะพริบตาซ้ำๆ พยักหน้าด้วยความหวาดกลัว
ซูจื่อจวินไม่พูดมากอีก กำลังจะนั่งลง ตอนนี้เองลั่วเพียนเซียนกลับร้องออกมาว่า “รอเดี๋ยว!”
“มีเรื่องอะไร?”
“รอเดี๋ยว!” ลั่วเพียนเซียนรีบพูด พร้อมทั้งค้นกระเป๋าเป้ของตนเอง
เห็นเธอดึงพับผ้าออกมาจากกระเป๋าเป้และกางออกบนพื้น จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุขและเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว! นั่งได้แล้วค่ะ!”
“…เธอพกของเหล่านี้ออกมาด้วยงั้นหรือ?” ซูจื่อจวินลูบหน้าผาก
ปีศาจผีเสื้อน้อยพูดอย่างมีเหตุผลว่า “ใช่แล้วค่ะ แต่ก่อนท่านป้าเคยสอนฉันว่าเวลาออกจากบ้านให้เตรียมของเยอะหน่อยเผื่อต้องใช้! ในนี้มีร่มกันฝน ไฟฉาย ยังมี…”
ของภายในกระเป๋าเป้ถูกล้วงออกมาโชว์ทีละชิ้นๆ
สุดท้ายลั่วเพียนเซียนก็ล้วงเอาขวดเล็กๆ ที่บรรจุของเหลวสีแดงออกมาจากกระเป๋าเป้
เธอใช้สองมือส่งมันไปที่ตรงหน้าซูจื่อจวิน ยิ้มและพูดว่า “ยังมีเสบียงของพี่จื่อจวินด้วย! ฉันกรองให้แล้ว รสชาติน่าจะดีมาก!”
“เธอ…เธอเอาไอ้นี่มาด้วยเหรอ?” ซูจื่อจวินชะงัก
ลั่วเพียนเซียนพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วค่ะ ตอนออกจากศูนย์สัตว์เลี้ยงเอามาด้วยนิดหน่อย ฉันกลัวว่าพี่จะหิว!”
“เธอ…เธอคิดว่ามาปิคนิคงั้นหรือ!” ซูจื่อจวินพูดอย่างโมโห “เธอไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามสักนิดเลยหรือ?”
“ขอโทษด้วยค่ะ ขอโทษด้วย…” ลั่วเพียนเซียนรีบขอโทษ
“เอาละ วาง…วางของลงเถอะ ถ้าฉันหิวก็จะกินเอง” ซูจื่อจวินถอนหายใจ
จากนั้นเธอก็พ่นไข่มุกลูกหนึ่งออกมาจากปาก โยนไปที่มือของลั่วเพียนเซียนและพูดว่า “เธอกลืนมันลงไปซะ ดูสิว่าสองวันนี้จะสกัดได้เท่าไร”
ลั่วเพียนเซียนถือไข่มุกลูกนั้น เหมือนด้านในจะมีอะไรกำลังหมุนวนอยู่และดูลึกลับมาก นอกจากนั้นเธอยังสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์มาก จึงอดพูดอย่างตกใจไม่ได้ว่า “พี่จื่อจวิน นี่คืออะไรคะ?”
“ไม่มีอะไร” ซูจื่อจวินนั่งลง “เพียงแค่ก่อนออกมาฉันซื้อของเล่นจากเจ้าของสมาคมมาอีก เธออ่อนแอเกินไป ช่วยอะไรไม่ได้ กลืนมันลงไปเพิ่มพลังสักหน่อยสิ”
เพิ่มพลังสักหน่อย…
ลั่วเพียนเซียนสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจด้านในไข่มุก ซึ่งดูเหมือนจะมีพลังปีศาจมากกว่าเธอหลายสิบเท่า…นี่ยังเรียกว่าเพิ่มสักหน่อยอีกหรือ?
“ฉันรับไว้ไม่ได้ค่ะ” ลั่วเพียนเซียนส่ายหน้า ส่งไข่มุกคืน “พี่จื่อจวินต้องต่อสู้กับพวกเซียงหลิ่ว พี่เพิ่มพลังสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?”
“ฉันบอกให้เธอกลืนก็กลืนสิ พูดไร้สาระอีกทำไม?” ซูจื่อจวินสบถแล้วก็ตะคอกสั่งว่า “กลืนลงไป!”
ปีศาจผีเสื้อน้อยตกใจไปชั่วขณะ รีบใช้สองมือส่งไข่มุกเข้าไปในปาก มือยังคงกุมไว้ที่ริมฝีปากของตนเอง เบิกตากว้างมองซูจื่อจวิน ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
คอของเธอยังไม่มีความสามารถในการควบคุม ทำให้ไข่มุกตกลงไปในท้องทันที…ชั่วขณะนั้นลั่วเพียนเซียนก็ไอขึ้นมาและพูดว่า “พี่จื่อจวิน มันใหญ่มากเลย…ร้อนมากด้วย…แคกๆ…”
“จะใหญ่แค่ไหนเธอก็กลืนลงไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” ซูจื่อจวินเอ่ย
ลั่วเพียนเซียนกุมท้องของตนเอง ใบหน้าฉายแววเจ็บปวด “พี่จื่อจวิน พี่ให้ฉันกินอะไร ฉัน…ฉันรู้สึกว่าตัวร้อนมาก ร้อนมากเลย…”
ลั่วเพียนเซียนเริ่มถอดเสื้อผ้าของตนเองอย่างไม่รู้ตัว สติเริ่มเลือนราง “ร้อน…ร้อนมาก…”
“ร้อนมากก็ถูกแล้ว” ซูจื่อจวินหรี่ตาลง เดินไปถึงตรงหน้าของลั่วเพียนเซียน “ของสิ่งนี้มีค่าเท่ากับวิญญาณถึงหนึ่งหมื่นดวง ราคาพอๆ กับเลือดของคาอินแก้วนั้นเลย เธอน่าจะเพิ่มเนื้อหนังได้บ้าง”
เพียงแต่ลั่วเพียนเซียนที่กำลังอยู่ในสภาวะมึนงง คงจะไม่ได้ยินว่าซูจื่อจวินพูดอะไร
ของร้อนๆ เริ่มแผ่กระจายออกภายในท้องของเธอ ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ลั่วเพียนเซียนล้มลงบนพื้น เธอที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้ากำลังขดตัวงอ
นิ้วมือคว้าจับพื้นเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
ปลายเท้าเหยียดตึง
เธอกัดฟันแน่นส่งเสียงครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
คลื่นของความร้อนเหมือนต้องการจะกลืนกินสติของเธอ “พี่จื่อจวิน…ฉัน…ร้อน…ฉัน..อือๆ…อา…”
ซูจื่อจวินยกหัวของลั่วเพียนเซียนขึ้นมาและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “อดทนสักหน่อย เดี๋ยวจะดีขึ้นเอง ไม่เป็นไรหรอก”
เธอก้มหัวลงไปจูบคอของลั่วเพียนเซียนเหมือนกับการดูด ฟันแหลมซี่หนึ่งแทงเข้าไปในร่างกายของลั่วเพียนเซียน จากนั้นก็ควบคุมเลือดในกายของปีศาจผีเสื้อน้อยและเริ่มที่จะจัดการกับพลังปีศาจอันบ้าคลั่งให้
ผนึกเวทมนตร์สีทองภายในถ้ำส่องแสงเปล่งประกาย ซูจื่อจวินกับลั่วเพียนเซียนโอบกอดกัน ก่อนค่อยๆ สงบลง ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
…
…
“ดื่มเถอะ เจ้าของบาร์เลี้ยง”
กุ่ยอิงวางเครื่องดื่มสีส้มแดงขนาดใหญ่เป็นพิเศษของเอลิเซียมบาร์ไว้ตรงหน้าของปีศาจสุนัข ปีศาจสุนัขชะงัก เงยหน้ามองขึ้นไปบนห้องชั้นสองของบาร์แวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว…นั่นเป็นห้องทำงาน
จำได้ว่าเคยเป็นชั้นกระจกที่ดูหรูหราสง่างาม แต่มาครั้งนี้กลับใช้เพียงแค่แผ่นไม้ปิดกั้นเอาไว้ง่ายๆ หากมองผ่านช่องว่าง ปีศาจสุนัขก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของซุนเสี่ยวเซิ่งได้
ซุนเสี่ยวเซิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานขนาดใหญ่ พาดขาไว้บนโต๊ะ สองมือรองหัว…เหมือนกำลังคุยกับใครบางคน
“ขอบคุณ” ปีศาจสุนัขพยักหน้า ใช้สองมือรับแก้วขนาดใหญ่มาจากมือของกุ่ยอิง “ขอบคุณใต้เท้ากุ่ยอิง!”
กุ่ยอิงแสยะยิ้ม…เขาเพียงแค่แสยะยิ้มเฉยๆ ไม่ได้มีความหมายอะไร “นายชื่ออะไร?”
“ผม?” ปีศาจสุนัขชะงักแล้วก็ตอบว่า “เย่ชา ผมชื่อเย่ชา แต่ช่วงนี้เพื่อนผมเริ่มเรียกผมว่าฮัสกี้ ใต้เท้ากุ่ยอิงเรียกผมว่าฮัสกี้ก็ได้!”
“อืม”
กุ่ยอิงพยักหน้าแล้วถอยออกไปอีกด้าน เล่นกับมีดเล็กๆ ใบมือเงียบๆ มองประตูทางเข้าบาร์…เขาเป็นคนเฝ้าประตูของที่นี่
…
ชั้นบน
กุยเชียนอีขมวดคิ้ว “หัวล้าน คิ้วสีม่วง…ไอพิษสีม่วง?”
ซุนเสี่ยวเซิ่งเล่าเรื่องที่ตนเองพบเจอออกมา “ฮา กุยเชียนอี ข้ารู้สึกว่าเคยได้ยินมาชื่อนี้มาจากไหนสักแห่งแต่ก็คิดไม่ออก เจ้ารู้อะไรบ้างไหม?”
“เถ้าแก่ ไอปีศาจของเจ้านั่นปรากฏสีม่วงออกมาด้วยหรือไม่?” กุยเชียนอีเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึม
“น่าจะมีนะ” ซุนเสี่ยวเซิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม ดูเหมือนจะแฝงความหม่นเศร้าและเย็นยะเยือกมาด้วย ถึงจะพูดว่าพลังปีศาจส่วนมากเป็นเช่นนั้นก็เถอะ แต่ของเจ้านี้ดูพิเศษออกไป…แบบว่าสกปรกโสมม”
“เช่นนั้นก็ใช่แล้ว” กุยเชียนอีพยักหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “เถ้าแก่ ข้าคิดว่าคนที่ท่านพบน่าจะเป็นเซียงหลิ่วที่เคยรอดชีวิตไปจากเงื้อมมือของใต้เท้าหลง”
“เซียงหลิ่ว?”
กุยเชียนอีพยักหน้า “ไม่ผิด เป็นเซียงหลิ่ว เขาเป็นสายเลือดสุดท้ายของเผ่าเซียงหลิ่ว ครั้งนั้นเขาฆ่าล้างปีศาจไปจำนวนมากเพื่อสกัดสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง วางแผนจะวิวัฒน์รากกำเนิดของเซียงหลิ่วให้เป็นปีศาจเฒ่า แต่น่าเสียดายไปพบกับใต้เท้าหลงเข้าเสียก่อน สุดท้ายจึงถูกใต้เท้าหลงทำลายพลังปีศาจทั้งร่างแล้วขับไล่ออกจากแผ่นดินเทพ”
“เซียงหลิ่วผู้นี้ทำลายกฎ ทำไมยายเฒ่าถึงไม่ฆ่าเขา?” ซุนเสี่ยวเซิ่งเอ่ยอย่างมึนงง
“เขาสมควรตาย”
กุยเชียนอีส่ายหน้าพูดว่า “แต่เถ้าแก่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของปีศาจในตอนนี้นั้น ทั้งเผ่าของเซียงหลิ่วเหลือเขาเป็นตนสุดท้าย รวมกับในช่วงวิกฤตครั้งล่าสุดก็อาศัยกำลังของเซียงหลิ่วทั้งเผ่าถึงถ่วงเวลาได้สักหน่อย…คงจะเป็นบุญคุณต่อโลกปีศาจในครั้งนั้นที่ส่งผลถึงเขา ทำให้ใต้เท้าหลงยั้งมือไว้ไมตรี”
“ฮา ที่แท้ก็เป็นรุ่นหลังของผู้มีความดีความชอบ ยายเฒ่ามีข้อเสียอย่างหนึ่งคือคิดถึงเรื่องเก่า” ซุนเสี่ยวเซิ่งส่ายหน้า “เซียงหลิ่ว…ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง ข้าจำได้แล้ว ข้าเคยได้ยินชื่อ ตอนที่เข้าห้องน้ำและอ่านหนังสือพิมพ์รายวันของปีศาจ”
“ใช่แล้ว”
กุยเชียนอีทำเป็นไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายของซุนเสี่ยวเซิ่ง พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพลิกดินกลับคืนมาได้อีก…ดูจากท่าที คงได้พลังกลับคืนมาแล้วกระมัง? และก็ไม่รู้ว่าจะมีแผนชั่วอะไรอีก เถ้าแก่ ข้าได้ยินว่าใต้เท้าหลงออกไปข้างนอก ข้าว่าพวกเราระวังไว้หน่อยก็ดี”
ซุนเสี่ยวเซิ่งพูดว่า “ฮา! พลิกดินกลับคืนมางั้นหรือ? ข้าคิดว่าเป็นปลาเค็มพลิกตัวมากกว่า…ถึงอย่างไรก็ยังเป็นปลาเค็มอยู่ดี! ฮา!”