สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 6 ตอนที่ 63
“อา…อยากตายจริงๆ”
เริ่นจื่อหลิงล้มลงบนเก้าอี้ในสำนักงานด้วยสภาพเหมือนศพ ดวงตาไร้แวว ใบหน้าซีดเซียวเหมือนโดนผู้ชายทั้งเมืองรุมโทรมมา
จากนั้นห้องของรองบรรณาธิการก็ถูกเปิดออก หลีจื่อถือถุงขนาดใหญ่เดินเข้ามาพร้อมเคี้ยวไปด้วยพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “พี่เริ่น พี่ยังมาทำงานได้อีกเหรอ?! ฉันยังคิดว่าพี่จะลานอนครึ่งวันซะอีก”
“อยากตายจริงๆ…” เริ่นจื่อหลิงลูบท้องของตัวเอง “หลีจื่อ รินน้ำให้ฉันหน่อยสิ”
“เอานี่”
หลังเริ่นจื่อหลิงดื่มน้ำแล้วก็ลูบจมูกของตัวเองถึงได้เอ่ยถามว่า “จริงสิ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? เธอเป็นคนส่งฉันกลับบ้านใช่ไหม?”
“พี่ไม่รู้เลยเหรอ?” หลีจื่อถามอย่างมึนงง “ลั่วชิวไม่ได้พูดกับพี่งั้นเหรอ?”
“ฉันจะรู้อะไร?” เริ่นจื่อหลิงพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ตอนฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้า ในบ้านก็มีแค่ฉันคนเดียวแล้ว…ฉันกลับบ้านได้ยังไง? จริงสิ ห้อง! พวกเขาจัดการสำเร็จหรือยัง?”
“…” หลีจื่อนั่งลงโดยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “พี่เริ่น ถ้าหากฉันพูดว่าไม่สำเร็จ พี่จะผิดหวังมากใช่ไหม?”
“แล้ว…ฉันผ่านอะไรมาบ้าง?” เริ่นจื่อหลิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
หลีจื่อหัวเราะไม่หยุด จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีลับลมคมนัย สุดท้ายถึงได้อธิบายว่า “มีเรื่องบางเรื่องรู้แบบแยกส่วนถึงจะดีกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่ารู้ว่าตัวเองผ่านอะไรหรือไม่ผ่านอะไรมาบ้าง…พี่เริ่น เชื่อฉันเถอะ ถ้าหากพี่รู้ความจริง พี่จะต้องเลือกรู้แค่บางส่วนแน่นอน”
“อะไรกัน ท่าทางดูมีลับลมคมนัย?” เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว “หรือฉันจะเมาจนเป็นบ้าแก้ผ้าวิ่งกลางถนน?”
เฮอ เฮอ เฮอๆ…หลีจื่อให้คำตอบแบบนี้ออกไป
“เธอจะพูดหรือไม่พูด? อยากโดนตีแล้วใช่ไหม?” รองบรรณาธิการเริ่นเปิดโหมดคลั่ง ดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้คิดจะบีบใบหน้ารูปไข่ของหลีจื่อ
“หยุดเดี๋ยวนี้! อย่าวิ่ง! ฉันรับรองว่าจะไม่บีบคอเธอให้ตาย!”
เพิ่งจะเช้าตรู่ ภายในสำนักพิมพ์ก็เต็มไปด้วยความร่าเริง
การวิ่งไล่จับใช้เวลาไปได้ไม่นานก็ถูกเจ้าของสำนักพิมพ์หยุดเอาไว้ “พวกเธอคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองหรือไง? เหมาะสมงั้นเหรอ!”
เจ้าของสำนักพิมพ์คงจะค้นพบแล้วว่าบัตรกำนัลร้านอาหารของตัวเองหายไป ดังนั้นจึงมีสีหน้าบูดบึ้ง อีกทั้งยังแน่ใจว่าคนร้ายเป็นใคร
แต่ถึงจะแน่ใจก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเพียงแค่ผู้หญิงตรงหน้าไปพูดอะไรกับแม่เสือที่บ้านของเขาคนนั้น เขาก็ต้องตายแน่
“แค่กๆๆ นี่เป็นบัตรผ่านของสถานีโทรทัศน์สองใบ” เจ้าของสำนักพิมพ์ยื่นบัตรผ่านให้เริ่นจื่อหลิงและหลีจื่อ “รายการนักดนตรีในคืนนี้ พวกเธอต้องไปถ่ายของดีๆ กลับมาให้ฉัน ทางที่ดีหาอะไรที่เขียนได้กลับมา”
เริ่นจื่อหลิงเหลือบมองบัตรผ่านแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องในวงการบันเทิงแบบนี้ คุณเองก็รู้ดี ฉันชอบงานติดตามคดีศพไร้หัวเมื่อไม่กี่วันก่อนมากกว่า”
“เริ่นจื่อหลิง! งั้นเอาบัตรกำนัลร้านอาหารของฉันคืนมา!”
“หลีจื่อ เก็บของ พวกเราออกเดินทางไป…สถานีโทรทัศน์กันเถอะ!”
เจ้าของสำนักพิมพ์มองเริ่นจื่อหลิงลากหลีจื่อจากไปอย่างรวดเร็ว และก็ยิ้มออกมาชั่วขณะ “ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นเธอ!”
…
…
หม่าโฮ่วเต๋อถูกเหล่าฉินเรียกมาที่ห้องหนึ่งในสถาบันนิติเวชวิทยา
“เหล่าฉิน ถ้านายจะบอกผลการชันสูตรศพแค่บอกฉันก็พอ จะพาฉันมาที่นี่ทำไม?” เซอร์หม่ามองเหล่าฉินอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่
เหล่าฉินแก้ไขจุดบกพร่องของภาพบนซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์พร้อมพูดไปด้วยว่า “ฉันใช้คอมพิวเตอร์จำลองการทดลองเพื่ออธิบายให้ชัดเจนมากขึ้น…นายดูนี่”
เหล่าฉินชี้ไปที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์และเอ่ยว่า “ตามร่องรอยบาดแผลส่วนหัว พวกเราจำลองการขาดของหัวผู้ตายออกมาได้”
“อาวุธที่ใช้สังหารคืออะไร?” หม่าโฮ่วเต๋อกระตือรือร้นขึ้นมาชั่วขณะ
แต่เหล่าฉินกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่คลิกปุ่มเริ่มต้น เห็นภาพจำลองในคอมพิวเตอร์เริ่มต้นแสดงจากจุดตัดส่วนคอของผู้ตาย
“บาดแผลพวกนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียว อีกอย่างฉันลองทำภาพจำลองขึ้นมาตามลักษณะของบาดแผล”
“นี่…ดูเหมือนกับดักฟันเลื่อย?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ออกมาเป็นกับดักขนาดใหญ่ “นี่คืออาวุธสังหารงั้นเหรอ?”
เหล่าฉินเอ่ยว่า “ถ้าต้องการจะกัดคอคนให้ขาดได้ในครั้งเดียวก็ต้องใช้แรงมาก แม้จะเป็นกับดักสัตว์ก็ทำไม่ได้…แต่ที่แปลกก็คือ หากดูตามร่องรอยบาดแผลแล้ว มันเป็นบางอย่างที่ดูคล้ายกับกับดักสัตว์ขนาดใหญ่”
หม่าโฮ่วเต๋อถามอย่างมึนงงว่า “ไม่ใช่กับดักสัตว์งั้นเหรอ? แต่จะมีของอะไรอีกที่มีแรงกัดมากขนาดนี้? อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ปากของทีเร็กซ์ใช่ไหม?”
เหล่าฉินมองหม่าโฮ่วเต๋อเหมือนมองดูคนปัญญาอ่อน “นายคิดว่าถ้ามีทีเร็กซ์ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ แล้วจะไม่มีความแตกตื่นเลยงั้นเหรอ?”
“ฉันก็แค่พูดไปงั้นๆ…” หม่าโฮ่วเต๋อหยักไหล่เอ่ยว่า “แต่อย่างน้อยก่อนที่ยังหาส่วนหัวของผู้ตายไม่พบ นี่ก็ถือเป็นอีกเบาะแสอย่างหนึ่ง ยังมีอะไรอื่นอีกไหม?”
ตอนนี้เหล่าฉินกลับดูจริงจังขึ้นมาและเอ่ยว่า “ยังจำเมือกประหลาดที่พบในที่เกิดเหตุได้ไหม?”
หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า
เหล่าฉินเอ่ยว่า “นั่นไม่ใช่เมือกอะไร แต่เป็นเซลล์…เซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน”
หม่าโฮ่วเต๋อไม่เข้าใจ แต่ก็ทำเป็นเข้าใจพูดว่า “นายหมายถึง พวกแบคทีเรียงั้นเหรอ?”
เหล่าฉินพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “เซลล์”
“อาจารย์ฉิน ผมยอมแพ้! ผมไม่เข้าใจ! คุณพูดมาตามตรงเถอะ!” หม่าโฮ่วเต๋อคิดว่าอย่าเสแสร้งว่ารู้เรื่องต่อไปจะดีกว่า
ครั้งนี้เหล่าฉินเอาเมือกแปลกประหลาดเหล่านั้นออกมาวางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ จากนั้นก็หยดของเหลวสีแดงลงไป “สีแดงก็คือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ส่วนสีขาวอ่อนก็คือเมือกพวกนั้น นายมาดูนี่สิ”
หม่าโฮ่วเต๋อหรี่ตาลง จ้องมองอย่างละเอียด ผ่านไปไม่นานเขาก็พูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ว้าว กินหมดแล้ว…เซลล์ของเมือกพวกนี้กินเซลล์ของแบคทีเรียหมดแล้ว”
“เป็นการกลืน” เวลานี้เหล่าฉินพูดอย่างจริงจังว่า “อีกอย่างนอกจากแบคทีเรียชนิดนี้แล้ว ฉันก็ลองทุกๆ แบคทีเรียที่มีหมดแล้ว ผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอะไร เซลล์ของเมือกนี้ก็กลืนได้หมด”
“ให้ตายเถอะ เซลล์เมือกร้ายกาจขนาดนี้เชียวเหรอ…คงไม่ใช่ไวรัสชนิดหนึ่งหรอกใช่ไหม?”
เหล่าฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่ไวรัส เป็นแค่เซลล์ ไม่ติดเชื้อและไม่เป็นอันตราย สิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่าก็คือเซลล์นี้มีความสามารถในการผสานตัวที่แข็งแกร่งมาก…เหล่าหม่า นายรู้ไหมว่าฉันคิดไปถึงอะไร?”
“คิดถึงอะไร?”
เหล่าฉินหรี่ตาลง “แมกโครเฟจ*…แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แมกโครเฟจธรรมดาที่เพาะเลี้ยงออกมาได้ เพราะหลังจากมันกลืนแบคทีเรียชนิดหนึ่งไปแล้วก็จะมีลักษณะของแบคทีเรียชนิดนั้นเกิดขึ้นมาด้วย…มันกลืนแบคทีเรียตั้งหลายชนิด นอกจากร่างกายภายในของมันไม่แตกตัวแล้ว มันยังแข็งแกร่งขึ้น ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับ…”
“เหมือนกับอะไร?”
เหล่าฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยว่า “นอกจากมันจะกลืนกินแล้วยังย่อยและดูดซึมเอาแบคทีเรียมาใช้ประโยชน์ได้ จากนั้นก็…เหมือนว่ามันกำลังวิวัฒนาการ!”
“นี่…นี่มัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนนายกำลังพูดถึงมนุษย์ต่างดาวเลย?” หม่าโฮ่วเต๋อรู้สึกขนลุกขึ้นมา
จะไม่ขนลุกได้ไง?
อยู่สถานที่ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแบบนี้ และก็ยังอยู่กับคนจริงจังไม่ชอบพูดเล่นซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับนิติเวชวิทยาอย่างเหล่าฉินอีก
“ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว” เหล่าฉินส่ายหน้า “ฉันแค่คิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา”
เหล่าฉินพูดแล้วก็หยิบหนังสือออกมาจากชั้นหนังสือข้างๆ เขา พลิกเปิดหนังสือและพูดว่า “คนที่ฉันคิดถึง…เมื่อสามสิบปีก่อน เขาได้ตั้งสมมติฐานในวงการการแพทย์ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาแมกโครเฟจจนวิวัฒนาการตัวเองได้ เพื่อใช้รักษามะเร็งร้ายจัดการยาก ฉันว่าเซลล์ประหลาดชนิดนี้มีส่วนคล้ายกับแมกโครเฟจในสมมติฐานของเขา…อาจจะพูดได้ว่าเซลล์ประหลาดชนิดนี้สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าแมกโครเฟจในความคิดของเขาเสียอีก”
“ฉันสงสัยว่า เซลล์ชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกับนายแพทย์ต่างชาติคนนี้” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว “แต่เมื่อกี้นายพูดว่าเป็นสมมติฐานเมื่อกี่ปีก่อนนะ?”
“สามสิบปีก่อน”
หม่าโฮ่วเต๋อพูดว่า “งั้นตอนนี้คนคนนั้นคงอายุได้เก้าสิบเจ็ดเก้าสิบแปดปีแล้วน่ะสิ?”
เหล่าฉินเพียงแค่ส่ายหน้า…เขาสงสัยมาไม่เพียงแค่วันหรือสองวันแล้ว “ความจริง หลังจากเขียนหนังสือเล่มนี้ได้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิตแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อมองดูชื่อนักเขียนบนหนังสือและอ่านออกเสียงเบาๆ
คาร์ล เฟาสต์
*แมกโครเฟจ คือเซลล์ขนาดใหญ่ที่มีหน้าที่ในการเข้าล้อมรอบและทำลายเซลล์เป้าหมายและได้ชื่อว่าเป็นเซลล์ที่กินเซลล์อื่น