สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 112 สมาคมนักหลอมยา
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอาบแดดอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างอารมณ์ดียิ่ง วันนี้เธอเพิ่งจะมอบยาวิเศษชุดหนึ่งให้กับพวกซือหม่าโยวหมิง ได้รู้ปฏิกิริยาตอบสนองของตระกูลน่าหลานจากปากพวกเขา เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของคนที่มาสืบข่าวยามที่เห็นพวกเขาหยิบเอายาวิเศษชุดที่สองออกมาแล้ว และเมื่อนึกถึงสีหน้าของพวกน่าหลานเหอในตอนนี้ หัวใจของเธอก็สุขสันต์ยิ่งนัก
“คุณชาย อีกสองวันก็จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแล้วนะเจ้าคะ ท่านจะไปหรือไม่” ชุนเจี้ยนชงน้ำชาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ถ้วยหนึ่งก่อนจะส่งให้เธอพลางถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์รับถ้วยชามา เมื่อนึกถึงที่เจ้าอ้วนชวีบอกว่าขุมอำนาจมากมายล้วนไปกันทั้งสิ้นจึงพูดว่า “ไปสิ เหตุใดจึงจะไม่ไปเล่า ข้ายังอยากจะไปดูสภาพของน่าหลานเหอผู้นั้นในตอนนี้สักหน่อย”
“กลัวแต่ว่าตระกูลน่าหลานจะมาหาเรื่องคุณชายน่ะสิเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนพูด
“คนไร้ค่าที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่เช่นข้า พวกเขาจะมาหาเรื่องภายใต้ชื่อตระกูลใหญ่ได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สิ่งที่ข้ากังวลก็คือพวกเขาจะมาหาเรื่องท่านปู่น่ะสิ”
นี่คือเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้เธอคิดจะไป
ตอนนี้สงครามการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแล้ว สำหรับเรื่องที่มีนักหลอมยาโผล่มาอย่างฉับพลันนั้นเกรงว่าน่าหลานเหอคงจะไม่มีทางปล่อยให้โอกาสในการหาเรื่องนี้หลุดลอยไปแน่
“ตระกูลน่าหลานนี้ครอบครัวก็ใหญ่ ทั้งยังมีธุรกิจใหญ่โต เพียงแต่ว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนัก มีวิธีอะไรที่ทำให้พวกเขาตายไปเลยหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูใบชาในถ้วยชา พลางปล่อยใจไปตามความคิด
“คุณชายเจ้าคะ ไม่ว่าจะทำอย่างไร พวกเราก็มิอาจทำให้คนตระกูลน่าหลานตายไปตรงๆ ได้หรอกเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะราชวงศ์ไม่อนุญาตน่ะสิเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนพูด “ท่านแม่ทัพปกครองกองทัพ และถึงแม้ว่าตระกูลน่าหลานนั่นจะเป็นเพียงแค่ตระกูลหนึ่ง แต่ก็ถ่วงสมดุลอำนาจในเมืองหลวงได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว สถานะของท่านแม่ทัพทำให้เขาได้แต่กดดันตระกูลน่าหลาน แต่มิอาจล้างบางพวกเขาได้”
“เช่นนั้นผู้ใดที่ล้างบางพวกเขาได้บ้างเล่า”
“ฝ่าบาทอย่างไรเล่าเจ้าคะ!” ชุนเจี้ยนพูด “มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่มีอิทธิพลพอจะล้างบางตระกูลใหญ่เช่นนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่มีความสามารถนี้”
“ฝ่าบาทหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสิ่งที่ซือหม่าเลี่ยเคยพูด คนผู้นั้นยังคิดจะใช้ตระกูลน่าหลานมายับยั้งตระกูลซือหม่าอยู่เลย แล้วจะมาล้างบางพวกเขาได้อย่างไรกัน
“เรื่องนี้มิใช่ว่าจะหมดหนทางหรอกนะเจ้าคะ เพียงแค่เข้าไปให้ถูกจุดก็ใช้ได้แล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “ข้าเคยได้ยินท่านแม่ทัพพูดว่าขณะนี้ฝ่าบาททรงคลางแคลงพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ดวงตาเป็นประกาย จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้้นจากเก้าอี้มาขยี้ใบหน้าชุนเจี้ยนพลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ชุนเจี้ยน เจ้าช่างแสนรู้เสียจริง ข้าจะไปปรึกษากับท่านปู่เดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบแล้วเธอก็รีบร้อนวิ่งออกไป ทิ้งชุนเจี้ยนเอาไว้ให้ยืนตกตะลึงอยู่
“คุณชาย… เขาไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยจริงๆ…”
สองวันให้หลังก็ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบหนึ่งร้อยห้าสิบชันษาของกษัตริย์แห่งอาณาจักรตงเฉิน ราชวงศ์จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตเชิญแขกเหรื่อมากมายเพื่อพระองค์ องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามเป็นเจ้าภาพ เชิญขุมอำนาจชั้นหนึ่งทั่วราชอาณาจักรมาทั้งหมด จัดงานเลี้ยงใหญ่โตมโหฬารขึ้นที่พระราชวังหลวง
ซือหม่าเลี่ยเป็นแม่ทัพใหญ่ จึงต้องดูแลความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในงานเลี้ยง ดังนั้นเขาจึงเข้าวังตั้งแต่เช้า พอพลบค่ำ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนั่งรถเทียมสัตว์อสูรไปยังพระราชวังกับพวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คน
รถเทียมสัตว์อสูรมาถึงประตูพระราชวังแล้วก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้
“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวหมิงเปิดประตูรถมาถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปตามประตู ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งยืนขวางทางพวกเธอไว้อยู่ตรงหน้ารถเทียมสัตว์อสูร
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายใหญ่นั่นเอง” ดูเหมือนว่าหัวหน้าทหารองครักษ์จะรู้จักซือหม่าโยวหมิง เขาประสานมือคำนับพลางพูดว่า “องค์ชายใหญ่ทรงมีบัญชา เพื่อแสดงความเคารพต่อฝ่าบาท คืนนี้ทุกคนห้ามนั่งรถเทียมสัตว์อสูรเข้าวัง ดังนั้นขอเชิญคุณชายใหญ่และคุณชายทุกท่านลงจากรถแล้วเดินเท้าเข้าวังนะขอรับ”
“คนอื่นๆ ก็ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวฉีถาม
“ขอรับ ต้องจอดรถเทียมสัตว์อสูรเอาไว้รวมกันทางด้านโน้น” ผู้เป็นหัวหน้าชี้ไปยังพื้นที่ว่างด้านข้าง
ซือหม่าโยวเย่ว์มองออกไปจากหน้าต่างก็เห็นรถเทียมสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งจอดอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้นที่ว่างนั้น
ซือหม่าโยวหมิงมองปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ลงไปกันเถิด”
“อื้ม”
ทั้งห้าคนลงจากรถ ทหารองครักษ์คนหนึ่งนำทางคนขับรถม้าไปยังที่จอดรถม้าข้างๆ
“ขอบพระคุณคุณชายทุกท่านที่ให้ความร่วมมือขอรับ” หัวหน้าประสานมือขอบคุณอีกครั้ง
“พวกเราเข้าไปกันเถิด” ซือหม่าโยวฉีตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังมองประเมินสถานการณ์อยู่ เตือนให้เธอเดินไปพร้อมกับทุกคน อย่าเดินรั้งท้ายอยู่คนเดียว
ในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าสู่ประตูวังนั้นเอง รถเทียมสัตว์อสูรอีกสองคันก็ถูกขวางเอาไว้เช่นกัน
“อะไรนะ จะให้พวกเราเดินเข้าไปอย่างนั้นหรือ!”
น้ำเสียงตวาดแหลมอย่างฉับพลันดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบในทันใด แม้กระทั่งพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังต้องหันมามอง
ซือหม่าโยวเล่อเห็นสัญลักษณ์บนรถเทียมสัตว์อสูรแล้วจึงเบ้ปากก่อนจะเอ่ยว่า “สมาคมนักหลอมยานี่ช่างหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ คงจะรู้สึกว่าตัวเองเลิศเลอมากเลยสินะ!”
“พวกเขายอดเยี่ยมจริงๆ นี่นา” ซือหม่าโยวหมิงถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเล่อทีหนึ่งแล้วพูดว่า “คืนนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท พวกเราอย่าก่อเรื่องอันใดเลยจะดีกว่า มิฉะนั้นอาจชักนำเรื่องยุ่งยากมาสู่ท่านปู่ก็ได้”
“พวกเรารู้อยู่แล้วน่า” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางลูบศีรษะ
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถเทียมสัตว์อสูร ตามด้วยหญิงสาวสวมอาภรณ์สีขาว ทั้งยังมีบุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่งด้วย และผู้ที่ลงมาท้ายสุดก็คือชายชราคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าหญิงสาวอาภรณ์ขาวจะไม่พอใจที่ถูกขวางทาง สีหน้าดำทะมึนราวกับน้ำหมึก นางเดินเข้าไปชกหัวหน้าทหารยามหมัดหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่างไม่รู้จักดูเอาเสียเลยว่านี่คือรถของผู้ใด ถึงได้บังอาจให้พวกเราเดินเข้าไป ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วใช่หรือไม่!”
หัวหน้าทหารยามผู้นั้นลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดว่า “นี่คือบัญชาขององค์ชายใหญ่ขอรับ ไม่ว่าผู้ใดที่จะเข้าไปในพระราชวังล้วนต้องเดินเท้าเข้าไปทั้งสิ้น ขอท่านปรมาจารย์ศิลาและหัวหน้าสมาคมอู๋โปรดอภัยด้วยนะขอรับ”
“เฮอะ องค์ชายใหญ่ก็ตรัสว่าพวกเราจำเป็นต้องเดินเท้าเข้าไปในพระราชวังด้วยอย่างนั้นหรือ” บุรุษวัยกลางคนเชิดคางขึ้นสูง วางท่าทียโสโอหังอย่างยิ่ง
“ปรมาจารย์ศิลาขอรับ องค์ชายใหญ่ตรัสว่าทุกคนเลยขอรับ” หัวหน้าทหารยามพูด
สือเหล่ยคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าทหารยามผู้นั้นจะกล้าตอบเขามาเช่นนี้ จึงหน้าเสียไปในทันที ในขณะที่กำลังจะบันดาลโทสะใส่หัวหน้าทหารยามผู้นั้นนั่นเอง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พูดขึ้นมา
“โอ้… นี่มิใช่ปรมาจารย์ศิลาหรอกหรือ มาโวยวายอะไรอยู่ที่นี่เล่า”
สือเหล่ยที่กำลังจะบันดาลโทสะถูกขัดจังหวะ จึงถลึงตาใส่ผู้พูดอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์คนไร้ค่าผู้นี้ สีหน้าจึงยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่
“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ เจ้ามาด้วยได้อย่างไรกัน” บุรุษหนุ่มมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงหรี่ตาทั้งสองลงเล็กน้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้เห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นเต็มๆ ตา มู่หรงอานผู้นี้ไปอยู่กับสมาคมนักหลอมยาตั้งแต่เมื่อใดกัน
เมื่อมองหญิงสาวอาภรณ์ขาวข้างกายเขาอีกครั้ง พอน่าหลานหลานถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย เขาก็เปลี่ยนคนเลยหรือ
“วันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาททั้งที คนอย่างข้าก็ต้องอยากมาเปิดหูเปิดตาอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ปรมาจารย์ศิลา หากไม่เต็มใจเข้าไปก็ไม่ต้องเข้าไปก็ได้นี่นา ไอ้หยา ท่านพี่ทหารยาม ท่านก็ไม่ดูเสียบ้างเลยว่านี่คือรถเทียมสัตว์อสูรของใคร นี่คือปรมาจารย์ศิลาและหัวหน้าสมาคมอู๋แห่งสมาคมนักหลอมยาเชียวนะ ท่านจะให้พวกเขาลงมาได้อย่างไรกัน ข้ารู้ดีที่ท่านบอกว่านี่คือบัญชาขององค์ชายใหญ่ แต่สถานะของสมาคมนักหลอมยาเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสั่นคลอนได้หรือไร พวกเขายังจำเป็นต้องลงมาเดินเท้าอีกหรือ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ สีหน้าของหัวหน้าสมาคมผู้นั้นและสือเหล่ยก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด สายตาที่ผู้คนรอบๆ มองพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ถ้าหากพวกเขายังคงยืนกรานที่จะนั่งรถเทียมสัตว์อสูรเข้าไป นั่นก็เท่ากับพูดเป็นนัยว่าสถานะของสมาคมนักหลอมยาอยู่เหนือกว่าองค์ชายใหญ่ เหนือกว่าทั้งราชวงศ์เสียอีก!
…………………..………