สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 115 ดักฟัง
“วิเศษ ขอบใจหัวหน้าสมาคมอู๋มาก” วั่นอู๋เฟิงพูดจบแล้วจึงหยิบยาวิเศษมากินลงไป เพียงไม่นานก็รู้สึกได้ว่าร่างกายอบอุ่น อาการปวดหนึบบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บก็บรรเทาลง น่าพอใจจนเขาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
อู๋หลินนั่งลง สมาคมนักหลอมวัตถุจึงยืนขึ้นแล้วมอบอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งให้กับวั่นอู๋เฟิง
ถึงแม้ว่าอาวุธวิญญาณนี้จะหายาก แต่สำหรับวั่นอู๋เฟิงแล้วย่อมไม่ดึงดูดใจเท่ายาวิเศษยอดราชัน ดังนั้นเขาจึงมองเพียงสองสามครั้งแล้วให้องครักษ์เก็บลงไปอีกด้านหนึ่ง
ตามด้วยสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สมาคมสัตว์อสูรวิเศษ และตระกูลใหญ่ตระกูลต่างๆ ทุกคนถวายของขวัญต่างๆ นานา ซึ่งทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เปิดโลกทัศน์กว้างไกลอย่างแท้จริง
แต่ของขวัญนี้เห็นครั้งเดียวเป็นจำนวนมากก็ไร้ความหมาย ช่วงการถวายของขวัญนี้กลับกลายเป็นการแข่งขันระหว่างขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่ง ยิ่งใครถวายของขวัญล้ำค่าหรือน่าอัศจรรย์ ตระกูลนั้นก็จะได้หน้าเป็นอย่างมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ช่วงการถวายของขวัญนี้จึงสิ้นสุดลง องค์ชายใหญ่โบกไม้โบกมือ นางในจึงเก็บผลไม้ทิพย์และของว่างก่อนหน้านี้ลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นอาหารค่ำของงานเลี้ยงนี้แทน การร้องรำทำเพลงก็เริ่มต้นเปิดฉากแสดง
งานเลี้ยงล้วนเหมือนกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต่อให้เป็นคนละโลกก็แทบไม่ต่างกัน สำหรับซือหม่าโยวเย่ว์ที่เห็นงานเลี้ยงสังสรรค์นานาชนิดในชาติก่อนมาจนชินตาแล้ว การแสดงเหล่านี้จึงไม่มีแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง เธอทำความเคารพซือหม่าเลี่ยครั้งหนึ่งแล้วอาศัยจังหวะที่ทุกคนมิได้สนใจออกไปจากตำหนักใหญ่อย่างเงียบๆ
ระยะเวลางานเลี้ยงยาวนานยิ่ง ดังนั้นจึงอาจจะมีคนลุกออกมาสูดอากาศบ้างเป็นระยะๆ อยู่แล้ว การที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาย่อมมิได้ไปดึงดูดความสนใจของใครเข้า
“ช่างน่าเบื่อเสียจริง ไม่รู้ว่าจะกลับก่อนได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินอยู่ในวังตามลำพัง เมื่อเห็นว่าตระกูลน่าหลานไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เธอจึงมีความรู้สึกนั่งไม่ติดที่และอยากกลับบ้าน
ได้ยินซือหม่าโยวเล่อพูดว่าทางด้านนี้มีบ่อเก็บน้ำอยู่แห่งหนึ่ง เธอจึงเดินมาทางนี้ตามความรู้สึก ยังเดินไม่ทันถึงก็ได้ยินเสียงสนทนาโต้ตอบ เมื่อฟังออกว่าเป็นใคร ในใจเธอก็มีความสุขอย่างยิ่ง เงาร่างหายลับเข้าไปในภูเขาจำลองด้านข้าง
เธอนึกขึ้นมาได้ว่าหินเสียงก้อนนั้นยังอยู่กับตัวจึงหยิบมันออกมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ลวดลายบนหินเสียงเริ่มโคจร เป็นสัญญาณว่ามันเริ่มบันทึกเสียงในบริเวณรอบๆ แล้ว
“มู่หรงอาน นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร” น่าหลานหลานมองมู่หรงอานทั้งน้ำตา ท่าทางน่าสงสารจับใจนั้นทำให้มู่หรงอานกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
น่าหลานหลานผู้นี้มีรูปโฉมงดงามอย่างแท้จริง ทั้งยังทำให้คนสงสารจากหัวใจ น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว หรือพูดได้ว่านางไม่มีประโยชน์ต่อเขามากเท่ากับสือมั่วลี่
แต่เมื่อเนื้อชิ้นโตถูกส่งมาให้ถึงที่แล้วใครจะไม่อยากกัดกินสักคำสองคำบ้างเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโฉมงามเช่นนี้เลย
ถ้าหากรับการบ่มเพาะจากสมาคมนักหลอมยาไปพร้อมๆ กับได้รับการสนับสนุนจากตระกูลน่าหลาน เช่นนั้นอนาคตของเขาก็คงจะราบรื่นไม่น้อยเลย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาของเขาก็กลับมาอ่อนโยนเช่นเมื่อก่อน เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วดึงมือน่าหลานหลานพลางเอ่ยว่า “เด็กโง่ ข้าจะหมายความว่าอย่างไรได้เล่า หัวใจของข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ตอนนี้ในใจของข้าคิดถึงเพียงเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
“เช่นนั้นระหว่างเจ้ากับสือมั่วลี่นั่นมันเรื่องอันใดกัน พวกเจ้าไปอยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังจะแต่งงานกันอีกด้วย เช่นนั้นระหว่างพวกเราคืออะไรกันเล่า!” น่าหลานหลานรักมู่หรงอานด้วยใจจริง เมื่อเห็นเขาอ่อนโยนกับตนเช่นเคยจึงใจอ่อนลงมาบ้าง แต่เมื่อนึกถึงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเขากับสือมั่วลี่ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง
มู่หรงอานออกแรงดึง น่าหลานหลานจึงตรงเข้าสู่อ้อมอกของเขา
“ข้ากับนางก็แค่เล่นละครไปอย่างนั้นเอง” มู่หรงอานจุมพิตหน้าผากน่าหลานหลานแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้นี่ บิดาของนางคือปรมาจารย์ศิลาสือเหล่ย ถ้าหากข้าติดตามเขาเพื่อศึกษาการหลอมยาได้ เช่นนั้นอนาคตของข้าก็จะไร้ซึ่งขีดจำกัด แต่เจ้ารู้ไหมว่าสือเหล่ยผู้นั้นเป็นคนเช่นไร การเข้าใกล้เขานั้นไม่ง่ายเลย ถ้าหากข้าไม่ใช้คนที่มีอิทธิพลต่อเขา เขาย่อมไม่มีทางเห็นข้าอยู่ในสายตา ดังนั้นจึงคิดหาวิธีเข้าใกล้นาง ทว่าข้าไม่มีความรู้สึกต่อนางเลย ข้าชอบพอแค่เจ้าเท่านั้น เจ้าต้องเชื่อข้านะ”
“เช่นนั้นเหตุใดตอนที่ข้าบาดเจ็บเจ้าจึงไม่เคยมาเหลียวแลข้าเลยเล่า” น่าหลานหลานได้ฟังคำพูดของมู่หรงอาน ในใจก็เชื่อเขาไปแล้ว แต่ยังคงน้อยใจอยู่เช่นเดิม
“ตอนนั้นข้ายุ่งกับการจัดการสือมั่วลี่อยู่น่ะสิ เพื่อให้นางเชื่อข้า จึงจำเป็นต้องอยู่ข้างกายนางตลอด” มู่หรงอานพูด “แต่ข้าก็ให้คนคอยฟังสถานการณ์จากเจ้าอยู่ด้วยนะ”
“จริงหรือ” น่าหลานหลานมองมู่หรงอาน หัวใจเชื่อคำพูดของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
มู่หรงอานเห็นท่าทีเช่นนี้ของนางก็รู้ว่านางเชื่อตนแล้วจึงก้มตัวลงจุมพิตริมฝีปากนางแล้วเอ่ยว่า “เป็นความจริงแน่นอนอยู่แล้ว! พวกเราอยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้แล้วข้าจะไปชอบหญิงอื่นได้อย่างไร ข้าก็แค่หลอกใช้นางเท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นต่อไปภายหน้าเจ้าไม่ต้องไปอยู่กับนางหรอกหรือ” น่าหลานหลานถาม
“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” มู่หรงอานพูดเสียงดัง ต่อมาจึงตระหนักได้ว่าตนตอบสนองอย่างรุนแรงเกินไป จึงลดเสียงเบาเอ่ยปลอบประโลม “ตอนนี้ข้ายังศึกษาการหลอมยาไม่สำเร็จ ถ้าหากแตกหักกับสือมั่วลี่ในตอนนี้ ช่วงที่ผ่านมาของข้าก็คงสูญเปล่าแล้ว”
“แต่ว่า… แต่ข้าไม่อยากเห็นเจ้ากับสือมั่วลี่นั่นใกล้ชิดกันเช่นนั้นนี่นา” น่าหลานหลานพูดอย่างไม่พอใจ
“เด็กโง่ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าข้ากับนางเพียงแค่แสดงละครเท่านั้น ในใจของข้ามีเพียงแค่เจ้า ไม่มีผู้อื่นอยู่เลย” มู่หรงอานปลอบประโลม พูดจบแล้วยังก้มตัวลงจุมพิตนาง มือยังขยับขึ้นลงอย่างอยู่ไม่สุขอีกด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าไฟรักระหว่างคนทั้งสองเริ่มติด ทั้งยังรู้สึกว่าฟังมาได้พอสมควรแล้ว จึงเก็บหินเสียงก่อนจะจากไปอย่างเงียบๆ
แต่คิดๆ ดูแล้วก็มิอาจปล่อยพวกเขาสองคนไปง่ายๆ ได้ หลังจากเดินออกห่างมาแล้วจึงบอกกับทหารยามผู้หนึ่งว่าตนคล้ายจะทำของหล่นเอาไว้แถวริมทะเลสาบ ให้เขาไปช่วยหาหน่อย เมื่อเห็นว่าทหารยามหลายคนเดินมุ่งหน้าไปยังริมทะเลสาบแล้วเธอจึงยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะหมุนกายเดินกลับไปยังตำหนักใหญ่
ยังเดินไปไม่ถึงประตูตำหนักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของน่าหลานเหอดังมาจากด้านใน
“ฝ่าบาท ในเมื่อตระกูลซือหม่ามีบุคคลปริศนาผู้นั้นอยู่แต่กลับซ่อนเร้นเอาไว้เช่นนี้ แม้กระทั่งฝ่าบาททรงเอ่ยปากก็ยังไม่ยอมบอก ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวใจบีบรัด น่าหลานเหอผู้นี้มาแล้ว
ซือหม่าเลี่ยเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เขาเคยคิดว่าน่าหลานเหอจะต้องคิดหาวิธีสืบเรื่องยาวิเศษของตระกูลซือหม่าให้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะพูดออกมาท่ามกลางธารกำนัล
“ท่านแม่ทัพซือหม่า ท่านหาตัวคนที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้แล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงมิให้พวกเราทุกคนได้รู้จักสักหน่อยเล่า” วาจานี้ของวั่นอู๋เฟิงแฝงไว้ด้วยคำถาม แต่สีหน้าและน้ำเสียงของเขากลับหนาวเหน็บเย็นชา แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
“เรื่องนี้… มิใช่ว่ากระหม่อมไม่อยากพูดหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เจ้าเด็กผู้นั้นไม่ชอบการเป็นที่รู้จัก…” ซือหม่าเลี่ยพูด
“ท่านปู่ ในเมื่อทุกคนอยากรู้ ท่านก็บอกพวกเขาไปจะเป็นไรเล่า มิฉะนั้นพวกเขาคงจะคิดว่าพวกเราตระกูลซือหม่ามีอะไรที่มิอาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้น่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาจากข้างนอกพลางอมยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาท อันที่จริงมิใช่ว่าท่านปู่ไม่อยากบอกนะพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นข้าน้อยเองที่ไม่ให้ท่านปู่พูดออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ทุกคนคิดว่าข้าน้อยเรียกร้องความสนใจ”
“เจ้าคือซือหม่าโยวเย่ว์หรือ” ถึงแม้ว่าวั่นอู๋เฟิงจะไม่เคยพบเธอมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เธอนั่งอยู่กับพวกซือหม่าเลี่ย แล้วตอนนี้ยังมาเรียกซือหม่าเลี่ยว่าท่านปู่อีก นอกจากคนเหล่านั้นที่เขาเคยพบแล้วก็ต้องเป็นซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแน่นอน
แต่เขาเป็นคนไร้ค่ามิใช่หรือ แล้วจะเป็นบุคคลปริศนาที่น่าหลานเหอพูดถึงไปได้อย่างไรกันเล่า