สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 116 ความสงสัยของผู้คน
ซือหม่าโยวเย่ว์ทำความเคารพวั่นอู๋เฟิงแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยซือหม่าโยวเย่ว์คารวะฝ่าบาท ขอทรงมีพระชนมายุยาวนานนับหมื่นปี”
วั่นอู๋เฟิงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยอมรับตัวตนของตนเองจึงเอ่ยว่า “ความหมายในวาจานั้นของเจ้าเมื่อครู่แปลว่าเจ้าคือบุคคลปริศนาของตระกูลซือหม่าที่พูดกันผู้นั้นหรือ”
“ฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งด้วย ความจริงแล้วบุคคลปริศนาอะไรนั่นไม่มีตัวตน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่โลกภายนอกคาดเดาเกี่ยวกับตระกูลเราเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะไม่รู้ว่ายาวิเศษของตระกูลเรามาจากที่ใด ดังนั้นจึงได้คิดฟุ้งซ่านกันไปเอง”
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าเป็นผู้หลอมยาวิเศษที่ตระกูลซือหม่านำมาขายในระยะนี้เองอย่างนั้นหรือ” วั่นอู๋เฟิงพูด
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ จึงได้เรียนรู้การหลอมยามาเล็กน้อยภายใต้การชี้แนะของอาจารย์เฟิง” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
“อาจารย์เฟิงหรือ” วั่นอู๋เฟิงมองไปทางท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโส
ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งพลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ตัวอาจารย์เฟิงเองก็ค่อนข้างลึกลับ เขามิได้บอกข้าว่าหลอมยาไม่เป็น ดังนั้นข้าจึงไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน แต่เขาก็เอาใจใส่โยวเย่ว์เป็นพิเศษจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
วั่นอู๋เฟิงพยักหน้า ตอนนั้นท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสก็เคยบอกเขาเรื่องที่เฟิงจือสิงมาที่วิทยาลัย มิได้บอกเรื่องตัวตนของเขาอย่างชัดเจน บอกเพียงว่าเขาลงมาจากเบื้องบน ด้วยเหตุนี้แม้กระทั่งตนเองก็ยังต้องเกรงใจเขาเลย
“แต่ว่า… ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เขาย่อมมิได้พูดว่าเธอเป็นคนไร้ค่า แต่ก็หมายความเช่นนั้นนั่นเอง
“ฝ่าบาท ข้าน้อยบำเพ็ญได้ยังไม่ถึงปีเลยพ่ะย่ะค่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นจึงทำความเคารพสือเหล่ย “ท่านปรมาจารย์ศิลาน่าจะยังจำเรื่องที่ตอนนั้นท่านปู่ของข้าใช้โสมร้อยปีแลกกับยาวิเศษขั้นสามสองเม็ดของท่านได้กระมัง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงฝึกยุทธ์ได้ขึ้นมา จะว่าไปแล้วยังต้องขอบคุณยาวิเศษของท่านปรมาจารย์ศิลามากจริงๆ มิฉะนั้นตอนนี้ข้าก็คงจะยังเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งอยู่!”
“เช่นนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย” ปรมาจารย์ศิลาพูดอย่างพิศวง
ถึงแม้ว่าเขาจะชอบให้ผู้อื่นชมว่ายาวิเศษของเขามีประโยชน์ แต่สำหรับตระกูลซือหม่าที่ตนไม่ลงรอยด้วยนี้ การมีคนไร้ค่าเพิ่มขึ้นคนหนึ่งย่อมดีกว่ามีปรมาจารย์วิญญาณเพิ่มขึ้นคนหนึ่งอยู่แล้ว
“ประมุขตระกูลน่าหลาน ตอนนี้ท่านยังมีข้อสงสัยอันใดอีกหรือไม่” วั่นอู๋เฟิงมองน่าหลานเหอพลางเอ่ยถาม
น่าหลานเหอคิดไม่ถึงว่านักหลอมยาปริศนาของตระกูลซือหม่าผู้นั้นจะเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ไปได้ เรื่องนี้ทำให้เขาตกตะลึงอย่างแท้จริง
หนึ่งปีก่อนหน้านี้เธอยังบำเพ็ญไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับยืนอยู่ที่นี่ในฐานะนักหลอมยาคนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้เขาและคนอื่นๆ รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายเกินไปเสียแล้ว
“ฝ่าบาท พวกเราเข้าใจว่านักหลอมยาผู้นั้นเป็นนักหลอมยาขั้นสอง หนึ่งปีก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังบำเพ็ญไม่ได้เลย ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี เขาไม่เพียงสำเร็จเป็นนักหลอมยาเท่านั้น แต่ยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย เรื่องนี้คงจะมิได้มีเพียงแต่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่สงสัยหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
วั่นอู๋เฟิงได้ฟังคำพูดของน่าหลานเหอแล้วจึงนึกถึงความเป็นไปไม่ได้ในเรื่องนี้ขึ้นมา ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว ไม่เพียงแต่จะฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น แต่ยังสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย เรื่องนี้ใครจะทำได้บ้างเล่า
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ประมุขตระกูลน่าหลานพูดได้ถูกต้อง เจ้าเพิ่งจะฝึกยุทธ์ได้เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้จริงๆ หรือ” วั่นอู๋เฟิงถาม
“ตอนนั้นเรื่องที่ข้าถูกทำร้ายจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ทุกท่านน่าจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว ถ้าหากข้าฝึกยุทธ์ได้ ตอนนั้นก็คงจะไม่ถูกทำร้ายอย่างน่าอนาถถึงเพียงนั้นหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เรื่องนี้มู่หรงอานและน่าหลานหลานล้วนเป็นพยานให้ข้าได้ เพราะตอนนั้นพวกเขาเห็นข้าถูกตบตีกับตาเลย”
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้ ทุกคนจึงเชื่อเรื่องที่ก่อนหน้านี้เธอมิอาจบำเพ็ญได้กันหมด ถึงอย่างไรเรื่องนี้แค่เรียกผู้มีส่วนร่วมสักคนหนึ่งมาถามก็รู้เรื่องแล้ว เธอย่อมมิอาจพูดเท็จได้
สือมั่วลี่ได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยถึงคนทั้งสองจึงสังเกตว่ามู่หรงอานและน่าหลานหลานต่างก็ไม่อยู่ที่ตำหนักใหญ่กันทั้งคู่!
“เช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่าเจ้าเปลี่ยนจากคนธรรมดาที่ไม่อาจบำเพ็ญได้แล้วสำเร็จเป็นนักหลอมยาภายในปีเดียว ทั้งยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วยอย่างนั้นหรือ” น่าหลานเหอพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบใบหน้าพลางยิ้มอย่างหลงตัวเอง “ไอ้หยา… พรสวรรค์มันมาเอง ข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”
“พรืด…” พี่ชายทั้งหลายต่างพากันขำในท่าทีเช่นนั้นของเธอ
“เป็นไปไม่ได้!” สือเหล่ยพูดเสียงดัง “คนทั่วไปนึกอยากจะสำเร็จเป็นนักหลอมยา ต่างก็มิอาจทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ระหว่างแต่ละระดับขั้นล้วนมีช่องว่างใหญ่โต การก้าวข้ามไปนั้นเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง แล้วเจ้าจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองภายในระยะเวลาปีเดียวได้อย่างไรกัน!”
เขาใช้ระยะเวลาเกือบสิบปีตั้งแต่สัมผัสการหลอมยาจนสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นเพียงแค่นักหลอมยาขั้นสามระดับสูงเท่านั้นเอง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองได้ภายในหนึ่งปี เช่นนั้นเขาจะนับเป็นอะไรได้เล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่อย่างจนใจพลางเอ่ยว่า “ท่านทำมิได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะทำมิได้เสียหน่อย”
สือมั่วลี่รู้สึกว่าตนเอื้อมถึงขอบกั้นของนักหลอมยาขั้นสองได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในบรรดาผู้มีพรสวรรค์แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีแต่กลับแซงหน้าตนไปเสียแล้ว เธอมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเย้ยหยันปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักหลอมยาขั้นสองแล้ว เช่นนั้นเจ้ากล้าหลอมยาวิเศษขั้นสองต่อหน้าทุกคนหรือไม่เล่า”
“ใช้วิธีก่อกวนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว “แต่ไม่มีผลต่อข้าหรอก”
สือมั่วลี่เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากทำจึงพูดว่า “ฝ่าบาทเพคะ เมื่อครู่ประมุขตระกูลน่าหลานบอกว่านักหลอมยาของตระกูลซือหม่าผู้นั้นเป็นนักหลอมยาขั้นสอง แล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็บอกว่าคนผู้นั้นคือเขาเอง แต่ถ้าหากเขาหลอมยาวิเศษขั้นสองออกมาไม่ได้เล่า เช่นนั้นบุคคลปริศนาก็มิใช่ผู้อื่นหรอกหรือ ซึ่งแปลว่าพวกท่านแม่ทัพซือหม่าหลอกลวงฝ่าบาทมิใช่หรือเพคะ”
วั่นอู๋เฟิงได้ฟังคำพูดแล้วสีหน้าเคร่งขรึมลง ต่อให้เขาซึ่งเป็นคนนอกก็ยังรู้ว่าการจะสำเร็จเป็นนักหลอมยานั้นยากเย็นเพียงใด ส่วนการสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองนั้นก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก! เมื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้แล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ซือหม่าโยวเย่ว์จะหลอกลวงตนจริงๆ
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็หลอมยาวิเศษขั้นสองต่อหน้าทุกคนเสียสิ ถ้าหากเจ้าหลอมออกมาได้ก็แล้วไป แต่ถ้าหากหลอมออกมามิได้ หรือว่าเจ้ายังมิได้เป็นนักหลอมยาอยู่แล้ว เช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่าข้าลงโทษตระกูลซือหม่าแล้วกัน!”
มิได้ปรึกษาหารือ หากแต่เป็นบัญชา
ซือหม่าเลี่ยคิดอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขึ้นปรามเอาไว้
เธอแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อทุกท่านมีความสงสัยอยู่ในใจ เช่นนั้นข้าจะหลอมยาก็ได้ แต่ว่าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากข้าหลอมยาวิเศษขั้นสองนี้ออกมาได้ เช่นนั้นพวกประมุขตระกูลน่าหลานที่ตั้งข้อสงสัยข้าผิดๆ เช่นนี้ก็ควรจะขอขมาข้าด้วยใช่หรือไม่”
วั่นอู๋เฟิงมองน่าหลานเหอปราดหนึ่ง
ทั้งสองคนตอบรับในทันใด “ถ้าหากเจ้าหลอมยาออกมาได้จริงๆ ตระกูลน่าหลานของข้าจะต้องขอขมาเจ้าอย่างแน่นอน!”
“ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ ท่านกลับไปยังที่นั่งของท่านก่อนเถิด คอยดูโยวเย่ว์หลอมยาให้ดี”
“อื้ม เจ้าพยายามเข้าแล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด
ถ้าหากสำเร็จ เช่นนั้นคราวนี้ตระกูลซือหม่าก็จะผ่านไปได้อย่างราบรื่น ถ้าหากล้มเหลว เขาก็จะรับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง เธอไม่จำเป็นต้องรับแรงกดดันอะไร เพียงแค่หลอมยาให้ดีๆ ก็พอแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังความหมายของเขาออก จึงยิ้มพลางพยักหน้า
“เจ้าต้องการเตาหลอมยาอะไรบ้างหรือไม่” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสส่งเสียงเอ่ยถาม
“ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่ใส่ใจ ข้าเป็นนักหลอมยาคนหนึ่ง ย่อมต้องพกของที่จำเป็นต้องใช้มาเองอยู่แล้ว แต่ขอให้ฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้คนหาโต๊ะมาให้ข้าตัวหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบ เตาหลอมยาใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน