สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 118 วางแผนจัดการมู่หรงอาน
เจ้าอ้วนชวีหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่มีทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราอันน่าเบื่อหน่ายนั่นแน่นอน ในเมื่อเจ้าต้องการจะไป ย่อมต้องคิดจะทำอะไรบางอย่างแน่”
“อัจฉริยะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งสายตาชมเชยเขา
เจ้าอ้วนชวีเชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจแล้วพูดว่า “นั่นปะไร! ว่ามาสิ อยากให้ข้าทำสิ่งใด”
“ความจริงแล้วง่ายดายยิ่งนัก เจ้ามานี่สิ ข้าจะบอกเจ้าเอง…”
เมื่อมาถึงตำหนักที่จัดงานเลี้ยงสุรา ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าคนวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ล้วนไปกันหมดแล้ว ในบรรดาแขกเหรื่อมากมาย เธอมองปราดเดียวก็เห็นเงาร่างของมู่หรงอาน
ในขณะนี้มู่หรงอานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสือมั่วลี่อยู่ น่าจะกำลังอธิบายเรื่องที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ส่วนน่าหลานหลานอยู่กับหญิงสาวตระกูลน่าหลานอีกคนหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล ถือจอกสุราสนทนากับคนอื่นอยู่ สายตาของนางเหลือบมองไปทางมู่หรงอานอยู่ตลอด คอยสังเกตการสนทนาระหว่างพวกเขา
“คุณชายห้า”
พอซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน สำหรับอดีตคนไร้ค่าที่ตอนนี้ก้าวกระโดดไปเป็นผู้มีพรสวรรค์ ทุกคนยังคงไม่ค่อยเคยชินนัก
แต่ไม่ว่าจะเคยชินหรือไม่ ผู้มีพรสวรรค์เดินไปที่ใดล้วนได้รับการยกย่องชมเชยจากผู้คนทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะอาศัยโอกาสนี้ในการสานสัมพันธ์กับเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีความคิดและเรี่ยวแรงที่จะมาจัดการกับพวกเขาเหล่านี้ จึงเฉยเมยกับพวกเขา เพียงไม่นานก็มีคนที่ฉลาดพอจะไม่มาสร้างความรำคาญให้เธออีก
มู่หรงอาน สือมั่วลี่ และน่าหลานหลานต่างก็สังเกตเห็นแล้วว่าซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามา สายตาที่มองมาทางเธอแฝงไว้ด้วยความคับแค้นสายหนึ่ง
เป็นคนไร้ค่าชัดๆ แล้วจู่ๆ มาสำเร็จเป็นนักหลอมยาที่แสนล้ำค่าได้อย่างไรกัน!
สือมั่วลี่มองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จอกสุราในมือเกือบจะถูกนางบีบแหลกเป็นผุยผง
ก่อนหน้านี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่ว อายุไม่ถึงยี่สิบปีก็เอื้อมถึงขอบเขตของนักหลอมยาขั้นสองแล้ว แต่ตอนนี้มีซือหม่าโยวเย่ว์โผล่มาคนหนึ่ง ตนจึงถูกเปรียบเทียบขึ้นมาในทันที นี่ทำให้นางที่เคยชินกับการเป็นจันทราท่ามกลางหมู่ดารารับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนี้เอง เจ้าอ้วนชวีพูดบางสิ่งขึ้นมาเสียงดังลั่น พลังเสียงนั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วทั้งตำหนักใหญ่ไปจนหมด
ซือหม่าโยวเย่ว์แสร้งทำเป็นดึงรั้งเจ้าอ้วนชวีพลางเอ่ยว่า “เจ้าเบาเสียงลงหน่อยสิ หากใครได้ยินเข้าต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่!”
ในขณะที่เธอพูดยังเหลือบมองไปทางพวกสือมั่วลี่ด้วย คล้ายกับกลัวว่าพวกเขาจะได้ยินเข้า
เดิมทีสือมั่วลี่ก็ถูกเสียงอุทานของเจ้าอ้วนชวีดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นสายตาที่ซือหม่าโยวเย่มองมาทางตน ในใจจึงเกิดความไม่สงบขึ้นมา
หรือเขากำลังพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับตนเล่า
ในใจครุ่นคิด สองเท้าก็ยังย่างก้าวตรงไปทางนั้นอย่างไม่รู้ตัว
เจ้าอ้วนชวีและซือหม่าโยวเย่ว์หมุนตัวหันหลังให้กับทุกคนพลางลดเสียงต่ำเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้าได้ยินมาจริงๆ น่ะหรือ”
“แน่นอนสิ ตอนที่ข้าออกไปเมื่อครู่ก็พบมู่หรงอานกับน่าหลานหลานกำลังพะเน้าพะนอพลอดรักกันอยู่ริมทะเลสาบพอดี ข้าก็เลยเข้าไปฟังอยู่ครู่หนึ่งน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “น่าสงสารสือมั่วลี่ผู้นั้นที่ยังถูกปิดหูปิดตา ถูกมู่หรงอานปั่นหัวเสียจนหัวหมุนติ้วเลยทีเดียว!”
“จริงหรือ โยวเย่ว์ เรื่องนี้เจ้ามิอาจพูดจาเลอะเทอะได้นะ ถ้าหากสือมั่วลี่ได้ยินเข้าคงจะคิดว่าเจ้าป้ายสีมู่หรงอานน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ข้ามิได้พูดจาเลอะเทอะเสียหน่อย ตอนนั้นข้ายังใช้หินเสียงบันทึกเสียงที่พวกเขาพูดเอาไว้ด้วย ถ้าหากเจ้าอยากฟัง รอให้งานเลี้ยงสุราสิ้นสุดลงแล้วข้าจะกลับไปเปิดให้เจ้าฟังเอง”
ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ดื่มสุราอึกหนึ่ง รอให้เจ้าอ้วนชวีรับบทต่อ
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน!” เจ้าอ้วนชวียังไม่ทันเอ่ยปาก สือมั่วลี่ก็ตวาดมาจากด้านหลังพวกเขาเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีร่างกายสั่นสะท้านแล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับมาช้าๆ ก่อนจะยิ้มเยาะคราหนึ่งแล้วพูดว่า “สือมั่วลี่ เหตุใดเจ้าจึงแอบฟังผู้อื่นคุยกันเล่า”
“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไร” สือมั่วลี่มองคนทั้งสองอย่างเย็นชา
“ไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีสายตาล่อกแล่ก ไม่ยอมพูดความจริง จงใจล่อให้เธอกระหายรู้มากยิ่งขึ้น
“พูดมาเร็วเข้า เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นอะไร” สือมั่วลี่เห็นพวกเขาไม่ยอมพูดจึงตะคอกเสียงดัง
เสียงของเธอดึงดูดความสนใจของคนทั่วทั้งตำหนักใหญ่ เมื่อนึกถึงว่าคืนนี้เธอพยายามทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อับอายที่ตำหนักใหญ่ แต่ละคนจึงพากันคาดเดาว่าทั้งสองเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าลำบากใจพลางพูดว่า “โยวเย่ว์ เช่นนั้นเจ้าก็ให้นางฟังไปเสียเถิด เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ผู้อื่นคิดว่าเจ้าไปทำอะไรนาง พอถึงเวลานั้นหากสมาคมนักหลอมยาตรวจสอบขึ้นมา เจ้าก็จะลำบากเปล่าๆ นะ”
เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนชวีพูดเช่นนี้ทุกคนจึงยิ่งคาดเดากันไปใหญ่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้ทำอะไรลงไปเพื่อแก้แค้นสือมั่วลี่หรือไม่
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่ง สายตาของทุกคนล้วนแฝงไปด้วยความคิดต่างๆ นานา เธอถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่เจ้าอยากให้ข้าพูดเองนะ ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่ามาตำหนิข้าแล้วกัน”
“เฮอะ เมื่อครู่เจ้าพูดให้ร้ายอะไรมู่หรงนะ” สือมั่วลี่พูด
“ข้าก็แค่เห็นเขาพะเน้าพะนออยู่กับผู้อื่นเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เป็นนักหลอมยาเหมือนกัน ข้าจึงขอเตือนเจ้าสักประโยคหนึ่ง มู่หรงอานผู้นี้มิได้จริงใจต่อเจ้า เจ้าเลิกกับเขาให้เร็วหน่อยจะดีกว่า”
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอันใดกัน!” มู่หรงอานคิดไม่ถึงว่าตนจะถูกลากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจึงเดินเข้ามาตะคอกใส่
ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “ข้าพูดจาเหลวไหลหรือไม่ เจ้านั่นแหละที่รู้ดีที่สุด”
สือมั่วลี่มองคนทั้งสองอย่างสงสัย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่มู่หรงอานกับน่าหลานหลานไม่อยู่พร้อมกันแล้วจึงถามว่า “มู่หรง เจ้ามิได้ทำเรื่องที่ผิดต่อข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”
“มั่วลี่ เจ้ายังไม่เชื่อคำพูดของข้าอีกหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์ยังตัดใจจากข้าไม่ขาดมาโดยตลอด อาจคิดอยากจะแยกพวกเราจากกันก็เป็นได้” มู่หรงอานคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะรู้เรื่องระหว่างตนกับน่าหลานหลานเข้า จึงหยิบยกเรื่องอื้อฉาวที่ซือหม่าโยวเย่ว์ไล่ตามตนในตอนนั้นมาเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน
“ชิ คนปลิ้นปล้อนเอาแน่เอานอนมิได้ เหยียบเรือสองแคมอย่างเจ้า ไม่คู่ควรแม้แต่จะมาถือรองเท้าให้โยวเย่ว์เสียด้วยซ้ำ!” เจ้าอ้วนชวีมองมู่หรงอานอย่างดูแคลนปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “โยวเย่ว์ เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีหลักฐานมิใช่หรือ หยิบออกมาให้ทุกคนดูเลยสิ มาดูกันว่าเจ้าใส่ร้ายป้ายสีเขาเพื่อจะแยกพวกเขาจากกันหรือไม่”
“เรื่องนี้…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื้อเวลาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง”
“มีอะไรไม่ดีกันเล่า!” เจ้าอ้วนชวีร้อนรนเสียแล้ว “เจ้าคนผู้นี้คอยทำลายชื่อเสียงของเจ้าอยู่นี่ เจ้ายังจะลังเลไปทำไมกัน!”
“เจ้ามีหลักฐานอะไร” สือมั่วลี่มองซือหม่าโยวเย่ว์ “เจ้ามีหลักฐานจริงๆ จะเป็นการดีที่สุด ถ้าหากใส่ร้ายมู่หรงแล้วล่ะก็ อย่าหาว่าสมาคมนักหลอมยาปิดประตูใส่เจ้าแล้วกัน!”
ข่มขู่หรือ ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว
“เอาล่ะ ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าในอนาคตจะเข้าร่วมสมาคมนักหลอมยาหรือไม่ แต่ในเมื่อมีสายตามากมายจับจ้องเช่นนี้ ข้าคงมิอาจยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นได้ สือมั่วลี่ หวังว่าเจ้าจะไม่นึกเสียใจภายหลังนะ!”
พูดจบเธอก็หยิบหินเสียงออกมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ลวดลายบนหินเสียงเริ่มโคจร เสียงสนทนาตอนหนึ่งดังออกมา ซึ่งก็คือเสียงสนทนาระหว่างมู่หรงอานและน่าหลานหลานที่ริมทะเลสาบนั่นเอง!
เมื่อได้ยินเสียงสนทนานี้ ผู้คนในที่นั้นต่างตะลึงงันกันไปหมด ในตอนแรกสือมั่วลี่ยังไม่กล้าเชื่อ ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเดือดดาล นางหันไปมองมู่หรงอานผู้มีสีหน้าแข็งค้าง แล้วฟาดฝ่ามือลงไปฉาดหนึ่ง
“แสดงละครอย่างนั้นหรือ เจ้าช่างเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเสียจริง! เศษสวะชั้นต่ำ!”