สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 151 ถูกฟ้าผ่าเสียแล้ว
“ดวงอาทิตย์หรือ!”
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกพรั่นพรึงในใจ เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่ามณีวิญญาณจะกว้างใหญ่ แต่ก็มิได้มีท้องฟ้าสีครามปุยเมฆสีขาว ไม่มีดวงอาทิตย์ เงยหน้าขึ้นมองก็มีเพียงความอลหม่าน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง
“มีดวงอาทิตย์ ก็มีดวงจันทร์ด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าไม่ต้องยกออกไปอีกแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้อง ต่อจากนี้ไปที่นี่ก็จะมียามกลางวันอันสว่างไสวและราตรีกาลอันมืดมิดแล้วล่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ “ถ้าหากข้าปรารถนา ที่นี่ยังมีลมพายุและฝนตกได้อีกด้วย ต่อจากนี้ไปก็จะเพาะปลูกสมุนไพรได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นแล้ว”
“เช่นนั้นที่นี่ก็มิได้กลายเป็นโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่งไปแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ
“ถูกต้อง ตอนนี้ที่นี่ก็กลายเป็นโลกใบหนึ่งไปแล้วละ” เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้าพูด “เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่นี่ยังไม่มีอะไรมากนัก จึงมิได้กว้างใหญ่เหมือนกับดินแดนอื่นๆ แต่ถ้ามีโอกาสยกระดับอย่างต่อเนื่อง ก็จะค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นได้เช่นเดียวกัน”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะยกระดับขึ้นได้”
“ถ้าไม่หาของดีๆ มาผสานรวมเหมือนครั้งนี้ พลังยุทธ์ของเจ้าก็ต้องยกระดับ เพราะตอนนี้ข้ากับเจ้าเชื่อมสัมพันธ์กัน ถ้าหากพลังยุทธ์ของเจ้ายกระดับก็ย่อมมีประโยชน์ต่อข้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์จนใจ ยังข้องเกี่ยวกับพลังยุทธ์ของตนอีกด้วย เจ้าคำรามน้อยเป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ เดิมทีคงจะล้ำเลิศยิ่งนัก แต่พลังยุทธ์กลับลดลงเพราะทำพันธสัญญากับเธอ หรือพูดได้ว่าหากพลังยุทธ์ของเธอยกระดับ มันก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาเอง
หลิงหลงเป็นสุดยอดอาวุธเทพ แต่เพราะตนเช่นกัน ตอนนี้จึงแปลงเป็นค้อน เป็นกระทะก้นแบนได้เท่านั้น
นี่ก็บอกได้ว่ามีความสัมพันธ์กับพลังยุทธ์ของตน
จะว่าไปแล้ว รอบกายตนมีแต่สิ่งของล้ำเลิศ แต่ตอนนี้ก็เหมือนกับเธออารักขาขุมสมบัติอยู่หลายแห่ง แต่กลับมิได้เปิดประตูขุมสมบัติ ได้แต่แอบมองผ่านรอยแยกประตูเท่านั้น
“ในเมื่อไม่ต้องยกต้นผลอสรพิษทองคำออกไปทุกคืนก็ดี ยกย้ายไปมาอยู่ตลอดช่างยุ่งยากยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ว่า หมัวซามิได้บอกว่าต้องอยู่ในสร้อยข้อมือเท่านั้นจึงจะสัมผัสถึงอีกครึ่งหนึ่งได้หรอกหรือ หรือว่าอยู่ข้างนอกก็ได้ด้วย”
“ไม่ต้องอยู่ในนี้แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเจดีย์เจ็ดชั้นนี้หลอมขึ้นจากสิ่งใด หลังจากผสานรวมกับมันแล้วพลังของข้าก็ยกระดับ ตอนนี้ดูดซับสารสำคัญจากฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงวิญญาณได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ
“พรืด…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ระเบิดหัวเราะออกมาในทันใด ยังดูดซับสารสำคัญจากฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ด้วย ที่แท้หมัวซาหลอมมันให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่!
เมื่อเห็นเจ้าวิญญาณน้อยโมโห เธอจึงรีบหุบยิ้มในทันทีแล้วถามว่า “แล้วเจดีย์เจ็ดชั้นนั่นเล่า”
“ตอนนี้พวกเราก็อยู่กันภายในเจดีย์เจ็ดชั้นนี่แหละ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ตรงนี้นับได้ว่าเป็นชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เจ็ดชั้นกระมัง”
“อื้มๆ เดิมทีชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เจ็ดชั้นไม่ใหญ่โตสักเท่าไหร่ แต่หลังจากผสานรวมกับข้าแล้วจึงขยายใหญ่ขึ้น” เจ้าวิญญาณน้อยพูด เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เจดีย์อันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาอย่างช้าๆ “ตอนนี้ข้าคือวิญญาณครวญของเจดีย์แห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงควบคุมเจดีย์แห่งนี้ได้ สิ่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเจ้า เช่นนี้เจ้าจึงจะเข้าไปถึงชั้นบนๆ ทั้งหลายได้”
“จริงหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์วางเจ้าวิญญาณน้อยลงแล้วผลักประตูเดินเข้าไป ลานแรกดูมืดสลัวอยู่บ้าง น่าจะเป็นเพราะว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพในจินตนาการของเจ้าวิญญาณน้อยเองเท่านั้น
“ด้านในสุดมีบันไดอยู่อันหนึ่ง ขึ้นไปชั้นบนได้จากตรงนั้น แต่ว่า…”
เจ้าวิญญาณน้อยยังพูดไม่ทันจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งตรงขึ้นไปข้างบนเสียแล้ว ผลปรากฏว่าถูกอะไรบางอย่างขวางเอาไว้แล้วสะท้อนกลับ ทำให้เธอกระเด็นตกลงมาอย่างแรง
“โอ๊ย นั่นมันของสิ่งใดกัน เจ็บก้นเหลือเกิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืนพลางคลำก้นกบตนเอง
เจ้าวิญญาณน้อยเหินบินเข้ามาแล้วพูดว่า “ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย เจ้าจะรีบอะไรหนักหนาเล่า! ชั้นที่สองนี้ยังไม่เปิด เจ้ายังขึ้นไปมิได้หรอก”
“ฮะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองแนวกั้นบางๆ ที่บันไดนั้นอย่างอับจนคำพูด นี่ล้อเธอเล่นหรืออย่างไร !
“ฮะอะไรกันเล่า เจ้าวิ่งเร็วขนาดนั้นของเจ้าเองนี่นา!” เจ้าวิญญาณน้อยจีบปากจีบคออย่างน่าเอ็นดู
ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าวิญญาณน้อยมา เขย่าตัวเขาแล้วถามว่า “เจ้าวิญญาณน้อย เจ้ามิใช่วิญญาณครวญหรอกหรือ แม้แต่เจ้าก็เปิดมิได้อย่างนั้นหรือ”
“ข้ามิใช่วิญญาณครวญดั้งเดิมเสียหน่อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “ถ้าหากข้าเป็นวิญญาณครวญดั้งเดิม เจ้าอยากจะไปสักกี่ชั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ข้าฝืนบุกรุกเข้ามาที่นี่ เปิดใช้งานชั้นบนๆ เหล่านั้นได้ก็ไม่เลวแล้ว อยากจะเปิดหมดทุกชั้นย่อมเป็นไปไม่ได้หรอก”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะขึ้นไปได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก “มีความเกี่ยวโยงกับพลังยุทธ์ของข้าอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง ฉลาดมาก!”
“เป็นเพราะพลังยุทธ์ต่ำต้อยอีกแล้ว สวรรค์เอ๋ย เจ้าให้สายฟ้าฟาดข้าตายไปเลยดีกว่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์โอดครวญ
“เปรี้ยง…”
อสนีบาตสายหนึ่งฟาดตรงลงมาบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ฟาดใส่จนร่างกายเธอดำเมี่ยมไปทั้งร่าง เส้นผมก็ม้วนหยิกไปหมดด้วย
“ฮ่าๆๆๆ…”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเธอ เจ้าวิญญาณน้อยกับเจ้าคำรามน้อยต่างพากันหัวเราะอย่างไร้ความปรานี แม้กระทั่งหมัวซาก็อดยกมุมปากยิ้มไม่ได้เช่นกัน
“แค่กๆ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมสองครั้งแล้วพ่นควันดำออกมา
“เจ้าวิญญาณน้อย นี่มันเรื่องอันใดกัน!”
เธอได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นว่าตนเองถูกสายฟ้าฟาดจนแทบจะกลายเป็นตอตะโกอยู่แล้วจึงตะคอกใส่เจ้าวิญญาณน้อย
เจ้าวิญญาณน้อยกุมท้องตัวเอง ฝืนหยุดหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮิๆ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าเนื่องจากที่นี่เป็นโลกที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งเจ้าก็คือเจ้านายของที่นี่ ดังนั้นคำพูดของเจ้าในที่แห่งนี้ก็คือประกาศิตสวรรค์ เจ้าบอกว่าให้ฟ้าผ่าเจ้า อสนีบาตจึงฟาดเข้าใส่อย่างไรเล่า!”
เจ้าคำรามน้อยบินมาบนศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดึงเส้นผมเธอพลางพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ เจ้าพูดอยู่เสมอว่าชาติก่อนมีผมม้วนหยิกอะไรนั่น อยากจะดัดผมหยิก ตอนนี้ก็ไม่ต้องดัดแล้ว ผมเจ้าหยิกเรียบร้อยหมดแล้วละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือมาดึงเส้นผมหลายครั้ง ร่างกายเจ็บแปลบไปหมด
“เจ้ากินยาวิเศษรักษาอาการก่อนดีกว่า” เจ้าวิญญาณน้อยแนะนำอย่างจริงจัง
แค่กๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษขวดหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้วกินลงไปสองเม็ด หลังจากนั้นจึงออกมาจากเจดีย์เล็ก
“เย่ว์เย่ว์ ข้าค้นพบว่าระยะเวลาของที่นี่กับข้างนอกไม่เหมือนกัน!” เจ้าคำรามน้อยออกมาพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่เหมือนกันอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เช็ดถูใบหน้าที่ดำเปรอะเปื้อน เช็ดเป็นรอยสีขาวสองรอย ดูน่าขบขันมากเข้าไปใหญ่
“ระยะเวลาของที่นี่เคลื่อนผ่านไปเร็วกว่าเวลาข้างนอกอยู่เล็กน้อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ก่อนหน้านี้ก็มิได้เป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรอกหรือ สมุนไพรของที่นี่ก็เติบโตเร็วกว่าข้างนอกอยู่พอสมควรเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างไม่เห็นว่าแปลกแต่อย่างใด
“นั่นมันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้ายกระดับแล้วนะ!” เจ้าวิญญาณน้อยไม่พอใจกับท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยเสียงดังว่า “การเคลื่อนของระยะเวลาก่อนหน้านี้พูดถึงเฉพาะพืชพรรณเท่านั้น ตอนนี้สัตว์ที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ก็พูดได้ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้างนอกก็เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง!”
“มนุษย์ก็ได้เหมือนกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกตากว้างจ้องมองเจ้าวิญญาณน้อย
“หึหึ แน่นอนอยู่แล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองใจ
“ล้ำเลิศถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์กอดเจ้าวิญญาณน้อยแล้วนวดคลึงมันอยู่ในอ้อมแขนพลางมองหมัวซาแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “หมัวซา ที่แท้แล้วท่านทำของที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ให้กับข้าเชียวหรือ!”
“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ หลักๆ ก็คงเป็นเพราะวัตถุที่สร้างเจดีย์เจ็ดชั้นกระมัง” หมัวซาเห็นดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มจนแทบจะกลายเป็นขีดแล้ว ในใจจึงตื่นเต้นยินดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
“อ๊ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงปัญหาที่จริงจังยิ่งอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ “หากเป็นเช่นนี้แล้วถ้าข้ามาอยู่ที่นี่บ่อยๆ แล้วข้าจะไม่แก่เร็วกว่าผู้อื่นหรอกหรือ”